จาก1ล้านเป็น500ล้านผมทำอย่างไร

จาก1ล้านเป็น500ล้านผมทำอย่างไร
เล่าประสบการณ์การลงทุนของผมที่นำไปใช้ได้ง่ายๆ

วันพุธที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2557

สิ่งที่ควรทำช่วงปลายปี ตอนที่ 1

                           สิ่งที่ควรทำช่วงปลายปี ตอนที่ 1

              ช่วงนี้ก็เป็นช่วงปลายปีแล้ว ปกติช่วงนี้จะเป็นช่วงแห่งความสุขสันต์ เนื่องจากมีวันหยุดยาวและเทศกาลต่างๆ และเป็นช่วงที่คนพยายามจะรีบเคลียร์งานที่คั่งค้างให้เสร็จสิ้นไป มีงานเลี้ยง ปาร์ตี้ ส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ หรือกระทั่งคริสต์มาสที่คนไทย ที่ถึงแม้ไม่ใช่คริสต์ศาสนิกชน ก็ยังขอร่วมแจมเฮฮาไปกับเขาด้วย แต่มีหลายสิ่งหลายอย่าง ที่ผมอยากให้ท่านผู้อ่านทำกัน ซึ่งผมเองก็จะทำอยู่เป็นประจำช่วงปลายปี คือ
1). ทบทวนสิ่งที่เราทำไปตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบันว่า เราได้ทำสิ่งดีๆ หรือสิ่งไม่ดีกับตัวเองครอบครัว เพื่อนฝูง เพื่อนร่วมงาน สังคมไทย และโลกอย่างไรบ้าง โดยยึดหลัก เอาใจเขามาใส่ใจเรา สิ่งใดที่ดีก็จะนำไปปฏิบัติต่อในปีหน้า สิ่งที่ไม่ดีก็ต้องหาทางปรับปรุงให้ดีขึ้น ส่วนในด้านการลงทุน ผมก็มักจะทบทวนดูว่า การลงทุนในปีนั้นๆ ได้ผลตอบแทนเป็นอย่างไร หุ้นหรืออสังหาริมทรัพย์ที่ลงทุนไปมีรายการไหน ที่ตัดสินใจถูกต้องหรือผิดพลาดอย่างไร โดยเปรียบเทียบกับ Benchmark โดยหุ้นผมจะใช้ SET INDEX เป็น Benchmark บวกกับอัตราเงินปันผลซึ่งผมมักจะตีคร่าวๆ ว่ามีค่าเท่ากับ 3% ซึ่งก็จะคำนึงถึงสภาพตลาดหุ้นและ Sector ของหุ้นที่ผมลงทุนประกอบด้วย และจุดมุ่งหมายที่ตัดสินใจลงทุนตั้งแต่แรกว่าคิดอย่างไร และเป็นไปตามที่คิดไหม ส่วนอสังหาริมทรัพย์ ผมจะดูจากผลตอบแทนที่ได้รับ และความรวดเร็วในการขาย
2). ทบทวนหนี้สิน (ถ้ามี) ว่าเป็นหนี้ที่เกิดจากอะไรบ้าง และอัตราดอกเบี้ยสูงต่ำอย่างไร โดยพยายามที่จะไม่ก่อหนี้เพื่อสินค้าที่เสี่อมมูลค่าได้ง่าย เช่น รถยนต์ โทรศัพท์มือถือ ฯลฯ ปัจจุบันนี้ธุรกิจผ่อนสินค้ารุกไปถึงเครื่องสำอางและทัวร์แล้ว ผมไม่เข้าใจคนที่ซื้อสินค้าเหล่านี้ด้วยเงินผ่อนคิดอย่างไร โดยเฉพาะเครื่องสำอางและทัวร์ ซึ่งเป็นสินค้าและบริการที่ไม่จำเป็นกับชีวิตเลย ซึ่งอัตราดอกเบี้ยประเภทสินเชื่อส่วนบุคคลและบัตรเครดิต จะมีอัตราดอกเบี้ยที่สูงมาก ประมาณ 20กว่า%ต่อปี การที่ท่านจะลงทุนให้ได้ผลตอบแทนในระดับนั้นอย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยทีเดียว ขนาด Warren Buffet นักลงทุนที่มีชื่อเสียงระดับโลก ยังทำผลตอบแทนได้ประมาณ 20 กว่า % เท่านั้น ยกเว้นแต่ท่านมีเงินมากพออยู่แล้ว อยากซื้อมาใช้ หรืออยากไปเที่ยว อย่างนั้นไม่ว่ากัน ส่วนคนที่เป็นหนี้ ควรจะพยายามลดและล้างหนี้ที่มีอัตราดอกเบี้ยเงินกู้สูงที่สุดไปก่อน ส่วนมากมักจะเป็นสินเชื่อบัตรเครดิต และสินเชื่อส่วนบุคคล หลังจากล้างหนี้ที่มีอัตราดอกเบี้ยสูงไปหมดแล้วค่อยมาเปรียบเทียบดูว่า ระหว่างคงหนี้ที่มีอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ต่ำ กับมีเงินเหลือนำไปลงทุนในทรัพย์สินที่คาดหวังผลตอบแทนได้สูงกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ตั้งแต่ 1.50-2 เท่าเป็นต้นไป หรือจะไปล้างหนี้ให้หมดเสียก่อน แล้วค่อยคิดที่จะลงทุน นั่นคงแล้วแต่ Risk Appetite ของแต่ละท่านและความเชื่อมั่นของทรัพย์สินที่จะลงทุนว่ามีโอกาสมากน้อยแค่ไหนที่จะได้ผลตอบแทนจากการลงทุนตามที่คาดหวัง และควรตั้งสัตย์ปฏิญานตนว่าจะไม่ก่อหนี้สินเพื่อซื้อสินค้าที่เสี่อมมูลค่าได้ง่ายดังกล่าวอีก ยกเว้นการก่อหนี้เพื่อซื้อสินทรัพย์ที่จะทวีมูลค่าเมื่อเวลาผ่านไป เช่น บ้าน หรือ คอนโดไว้อาศัยอยู่เองหรือเพื่อปล่อยเช่า แต่ควรที่จะได้ผลตอบแทนจากการเช่าไม่ต่ำกว่า 5-6% ถ้าอย่างนี้ ผมขอสนับสนุนเต็มที่ครับ เพราะว่าท่านจะประหยัดค่าเช่าบ้าน และไม่ว่าท่านจะจ่ายค่าเช่าไปกี่สิบปี ท่านก็ไม่มีวันที่จะได้เป็นเจ้าของ ในขณะที่ถ้าท่านผ่อนบ้านหรือคอนโดกับธนาคาร ภายใน 20-30ปี แล้วแต่ระยะเวลาที่ท่านกู้ ในที่สุดท่านก็จะได้เป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ชิ้นนั้น และราคาก็คงจะมีมูลค่ามากกว่าราคาที่ท่านซื้อไว้ กำไรทั้งได้อยู่อาศัยและมูลค่าที่สูงขึ้น
3). คำนวณรายได้ทั้งปี เพื่อที่จะซื้อกองทุน LTF และ RMF ซึ่งท่านสามารถที่จะซื้อได้ไม่เกินอย่างละ 15% ของรายได้ และไม่เกิน 500,000 บาท สำหรับแต่ละอย่าง ซึ่งกองทุนเหล่านี้ ท่านสามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้ ยิ่งท่านที่มีฐานภาษีที่สูง ยิ่งประหยัดภาษีได้มาก จริงๆแล้ว วิธีซื้อกองทุนดังกล่าว ท่านควรจะซื้อแบบ Dollar Cost Average(DCA) ซึ่งหมายถึงการซื้อกองทุนเป็นจำนวนเงินเท่ากันในวันเดียวกันของทุกเดือน บางท่านชอบลงทุนโดยดูช่วงจังหวะ (Timing) ซึ่งผมคิดว่า โอกาสที่ท่านจะลงทุนได้ถูกจังหวะ ไม่ใช่เรื่องง่าย ผมเห็นเซียนหลายคน ตกม้าตายเรื่อง Timing มานักต่อนักแล้ว ปัจจุบันกองทุนมีบริการตัดบัญชีธนาคารรายเดือน วิธีนี้ช่วยให้ผู้ลงทุนไม่จำเป็นต้องดูว่าตลาดขึ้นหรือลง เท่ากับว่าท่านซื้อหน่วยลงทุนดังกล่าวได้ในราคาเฉลี่ยที่ต่ำนั่นเอง ผลดีก็คือ ถ้าหุ้นขึ้น เราก็จะได้จำนวนหน่วยลงทุนน้อยลง ถ้าหุ้นลงเราก็จะได้จำนวนหน่วยลงทุนมากขึ้น และบลจ.ส่วนใหญ่มักจะมีโปรโมชั่นพร้อมกับของแถมให้กับผู้ลงทุนแบบนี้ด้วย หรือถ้ายอดถือครองกองทุนของบริษัทหลักทรัพย์จดทะเบียนกองทุน (บลจ)ในสถาบันการเงินบางแห่งรวมแล้วมากกว่า 3-10 ล้านบาทขึ้นไป ท่านจะกลายเป็นลูกค้าอภิสิทธ์ จะได้รับ Non-Money benefit มากมาย เช่น ตรวจสุขภาพประจำปีฟรี ใช้บริการ Fitness หรือ ห้องรับรองฟรี ฯลฯ ปัจจุบันสถาบันการเงินต่างๆ มีผู้เชี่ยวชาญ พร้อมที่จะให้คำแนะนำแก่ท่านอยู่แล้ว
4). ซื้อประกันชีวิตที่มีระยะเวลาความคุ้มครอง 10 ปีขึ้นไป ซึ่งท่านสามารถนำเงินที่จ่ายค่าเบี้ย ไปลดหย่อนภาษีได้ถึง 100,000 บาท เลยทีเดียว

 

    กิติชัย เตชะงามเลิศ
           24/12/57

   ถ้าท่านชอบบทความผม ท่านสามารถสมัครสมาชิกโดยเอาเม้าส์ไปทางด้านขวามือจะมีแถบแสดงออกมา แล้วเลือกคลิกไอคอนที่เขียนว่าสมัครรับข้อมูล เมื่อผมมีบทความใหม่ ท่านก็จะทราบทันที

ติดตามสาระดีๆทั้งไลฟ์สไตล์และการลงทุนได้ที่
 Facebook : https://www.facebook.com/VI.Kitichai
Twitter : http://twitter.com/value_talk
Instagram : Gid_Kitichai
Blog : http://kitichai1.blogspot.com
You Tube : http://www.youtube.com/user/wittayu9
 Google+ : https://www.google.com/+KitichaiTaechangamlert
Linkedin : https://www.linkedin.com/in/homeproperty
Pinterest : http://www.pinterest.com/kitichai/
 หรือหนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ทุกวันพุธหน้า B6 และนิตยสารคนรวยหุัน, Condo Guide, Glow, และ Me(Market Evolution) ทุกเดือน รายการ Whats's up Spring ช่อง Spring News TV ทุกวันพุธ ช่วง What's up Money เบรค 2-3 เวลา 10.15-11.00 น. 
        หาอสังหาทั้งถูกและดีเพื่ออยู่เองหรือเพื่อการลงทุน ได้ที่ http://www.pantipmarket.com/mall/homeproperty

วันพฤหัสบดีที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2557

ANOTHER BLACK MONDAY

ANOTHER BLACK MONDAY

          วันจันทร์ที่ผ่านมากลายเป็น Black Monday สำหรับตลาดหุ้นไทย ตลาดหุ้นตกแบบดิ่งพสุธาเลยทีเดียว คือ ลงมาถึง 1,375.99 จุด คิดเป็น 9.17% แต่ยังดีที่เด้งกลับมาช่วงบ่าย ทำให้ตอนปิดตลาด SET INDEX ปิดที่ 1,478,49 ลงไป 36.46 จุดคิดเป็น 2.4% เท่ากับเด้งขึ้นมาจากจุดต่ำสุดถึง 103.50 จุดคิดเป็น 7.45% จากข่าวลือต่างๆ เข้ามามากมาย ยิ่งปัจจุบัน Social Media ถูกใช้แพร่หลายมาก ยิ่งนักลงทุนส่วนใหญ่ก็ใช้ Social Media เป็นประจำ ยิ่งทำให้ข่าวลือต่างๆ สะพัดไปได้ในวงกว้างและรวดเร็ว พอราคาหุ้นตกแรงก็ยิ่งทำให้คนหลงเชื่อข่าวลือ ประกอบกับการที่นักลงทุนรายย่อยใช้วงเงินมาร์จิ้น ซึ่งก่อนหน้านี้หุ้นหลายๆ ตัว ก็ตกลงมาก่อนแล้ว บางส่วนคงต้องถูกโบรกเกอร์บังคับขาย และนักลงทุนบางกลุ่มได้ใช้วิธีการซื้อขายแบบ Program Trading ทำให้เมื่อราคาหุ้นหรือ SET INDEX ตกลงมาถึงระดับหนึ่ง โปรแกรมดังกล่าวก็จะสั่งขายทันทีทำให้เราเห็น SET INDEX ที่ร่วงแรงอย่างวันจันทร์ที่ผ่านมา แต่ผมเชื่อว่าเราจะไม่เห็นราคาหุ้นหรือตลาดตกแรงเป็นร้อยจุดอีกในระยะอันใกล้นี้ ถ้าไม่มีข่าวร้ายที่ร้ายแรงสาหัสจริงๆ เพราะว่าลูกค้ามาร์จิ้นที่จะถูก Force Sell ก็ถูกบังคับขายไปมากแล้ว และ Program Trading ที่ตั้งไว้ก็ถูก Execute ไปเมื่อวันจันทร์แล้ว Program ที่ตั้งค่าใหม่ ก็จะต้องต่ำลงไปกว่านี้มาก กอรปกับราคาหุ้นหลายๆ ตัว ได้ลงมาต่ำกว่าปัจจัยพื้นฐานมากแล้ว ดัชนีตลาดหุ้นเราก็ลงมามากกว่าประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค ทำให้ค่า P/E ตลาดที่เคยสูงในช่วงก่อน ก็เริ่มต่ำลงอยู่ในระดับที่ไม่แพงแล้วเมื่อเทียบกับตลาดเพื่อนบ้าน โอกาสที่จะเห็นฝรั่งขายหนักๆ  ก็น่าจะไม่มากแล้ว สิ่งสำคัญที่ต้องไม่ลืมคือ ประเทศไทยเป็นประเทศที่พึ่งพาน้ำมันเข้าในสัดส่วนที่สูงมาก การที่ราคาน้ำมันตกต่ำอย่างมากในช่วงนี้ ผลกระทบรวมๆ ที่เกิดขึ้นกับเรา น่าจะได้ผลลัพธ์ในแง่บวก เช่น กลุ่มสายการบินเดินเรือ โดยเฉพาะสายการบินที่ไม่ได้ทำการป้องกันราคาน้ำมันล่วงหน้าไว้ จะได้รับผลประโยชน์เต็มๆ เลยทีเดียว หรือกลุ่มอุตสาหกรรมต่างๆ ที่ต้องใช้พลังงานจากน้ำมันหรือใช้ผลิตภัณฑ์จากน้ำมันเป็นวัตถุดิบก็จะมีต้นทุนที่ต่ำลง กลุ่มท่องเที่ยวอาจจะได้รับผลกระทบบ้าง เนื่องจากนักท่องเที่ยวชาวรัสเซีย เป็นนักท่องเที่ยวกลุ่มสำคัญอันดับที่ 3 (ปี 2556 นักท่องเที่ยวรัสเซีย 1,736,990 คน) ของนักท่องเที่ยวทุกชาติที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทย จากการที่เศรษฐกิจรัสเซียซึ่งพึ่งพิงน้ำมันและก๊าซในสัดส่วนที่สูงมาก ปัจจุบันราคาน้ำมันและก๊าซในตลาดโลกก็ตกต่ำลงมาก จึงมีผลกระทบกับรัสเซียค่อนข้างมาก ทำให้ค่าเงินรูเบิลตกต่ำลงมาก นักท่องเที่ยวรัสเซียออกเดินทางมาเที่ยวต่างประเทศรวมทั้งเข้ามาเที่ยวในไทยน่าจะน้อยลงไปด้วย เพราะว่าค่าใช้จ่ายในการเดินทางและท่องเที่ยวจะแพงขึ้นในสายตาของชาวรัสเซีย การที่ชาวรัสเซียมาเที่ยวเมืองไทยมาก นอกจากเป็นเพราะว่าทะเลสวยแล้วยังเป็นเพราะค่าใช้จ่ายในเมืองไทยค่อนข้างถูก แต่พอค่าเงินบาทแข็งแรงค่าขึ้นเมื่อเทียบกับค่าเงินรูเบิล ก็พลอยทำให้ค่าใช้จ่ายต่างๆ เริ่มไม่ถูก และจากเศรษฐกิจของรัสเซียเองที่อ่อนแอลง ก็มีส่วนทำให้เราอาจจะเห็นจำนวนนักท่องเที่ยวรัสเซียน้อยลง การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยคงต้องทำงานหนักขึ้น เพื่อให้จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่จะเดินทางเข้ามาในประเทศไทยเพิ่มขึ้นตามเป้าหมายเดิมที่ตั้งไว้ นักลงทุนคงต้องดูว่ากลุ่มโรงแรมไหนที่มีลูกค้าเป็นนักท่องเที่ยวรัสเซียมากหน่อย ก็คงต้องเปลี่ยนไปลงทุนในกลุ่มโรงแรมอื่นๆ แทน
          นอกจากนั้นกลุ่มพนักงานและปิโตรเคมี รวมกันแล้วมีน้ำหนักต่อ SET INDEX ค่อนข้างมาก ทำให้ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไม่สะท้อนความเป็นไปของเศรษฐกิจไทยอย่างแท้จริง พอหุ้น 2 กลุ่มนี้ราคาตกลงมาก ก็พลอยทำให้ SET INDEX ตกลงมากตามไปด้วย จึงส่งผลกระทบต่อ Sentiment ของตลาด ทำให้นักลงทุนแห่เทขายหุ้นกลุ่มต่างๆ ตามไปด้วย ที่น่าแปลกใจก็คือ กลุ่มสายการบินที่เมื่อวานช่วงที่ลงหนักๆ หุ้นกลุ่มนี้หลายตัวก็ลงไปเกิน 10% เสียด้วย ทั้งๆ ที่น่าจะได้อานิสงค์จากราคาน้ำมันที่ลดลง ผมเชื่อว่าจากนี้ถึงสิ้นปี  น่าจะไม่เห็น SET INDEX ต่ำกว่า 1,400 จุด แล้วจาก
1)    เงินที่จะไหลเข้ามา 2 สัปดาห์สุดท้ายของปีใน LTF และ RMF
2)    TRIGGER FUNDS ที่กำลังตั้งขึ้นมาในเร็วๆ นี้
3)    นักลงทุนมาร์จิ้น โดย FORCE SELL ไปมากแล้ว
4)    TRADING PROGRAM ที่ตั้งค่าไว้ต่ำกว่าปัจจุบันมาก ซึ่งไม่น่าจะมีโอกาสที่จะ EXECUTE ได้ง่าย
5)    ราคาหุ้นลงมามากแล้ว ทำให้ความรู้สึกว่าหุ้นไทยแพงเริ่มหมดไป
6)    อัตราการเติบโตของกำไรของบริษัทจดทะเบียนปีหน้าประมาณ 13% ซึ่งสูงกว่าปีนี้มาก
7)    GDP ไทยปีหน้าจะโตเฉลี่ย 4-4.50% ในขณะที่ปีนี้อาจจะไม่ถึง 1%
8)    WINDOW DRESSING ในช่วงสัปดาห์สุดท้ายของปี




    กิติชัย เตชะงามเลิศ
           17/12/57

ติดตามสาระดีๆทั้งไลฟ์สไตล์และการลงทุนได้ที่ Facebook : https://www.facebook.com/VI.Kitichai Twitter : http://twitter.com/value_talk Instagram : Gid_Kitichai Blog : http://kitichai1.blogspot.com You Tube : http://www.youtube.com/user/wittayu9 Google+ : https://www.google.com/+KitichaiTaechangamlert Linkedin : https://www.linkedin.com/in/homeproperty Pinterest : http://www.pinterest.com/kitichai/ หรือหนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ทุกวันพุธหน้า B6 และนิตยสารคนรวยหุัน, Condo Guide, Glow, และ Me(Market Evolution) ทุกเดือน รายการ Whats's up Spring ช่อง Spring News TV ทุกวันพุธ ช่วง What's up Money เบรค 4 เวลา 10.45-11.00 น. หาอสังหาทั้งถูกและดีเพื่ออยู่เองหรือเพื่อการลงทุน ได้ที่ http://www.pantipmarket.com/mall/homeproperty

วันพุธที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2557

ธุรกิจประกันชีวิตและประกันภัย (ตอนจบ)

ธุรกิจประกันชีวิตและประกันภัย (ตอนจบ)

หลังจาก  SET INDEX พยายามจะทดสอบแนวต้านแถว 1,600 จุด  ตั้งแต่เดือนกันยายนที่ผ่านมาก็ไม่ผ่าน  ทำให้มีการปรับตัวลงไป แถว 1,500 ต้นๆ ในเดือนตุลาคม  แล้วก็มีแรงฮึดวิ่งขึ้นมาอีกรอบที่พยายามจะทดสอบ 1,600 จุดอีกครั้งในเดือนพฤศจิกายน – ธันวาคม จนแล้วจนรอดก็ยังไม่สามารถผ่านแนวต้านนี้ไปได้  โดยเฉพาะเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา  SLT INDEX ลงหนักไปกว่า 22 จุด  นับว่าเป็นการลงภายในวันเดียวที่มากที่สุดในรอบ 2 เดือนที่ผ่านมา  และก็เป็นไปตามแพทเทิร์นเดิมๆ   คือ นักวิเคราะห์ต้องหาเหตุมาสนับสนุนผล  และตันเหตุคราวนี้ก็มาจากข่าวลือเกี่ยวกับการปฏิวัติซ้อน  คงจะเป็นเพราะบทสัมภาษณ์ของพลเอกชวลิต  ยงใจยุทธ  เมื่อเร็วๆ นี้  ซึ่งได้แพร่สะพัดไปใน  SOCIAL  MEDIA ต่างๆ เรื่องปฏิวัติซึ่งไม่เป็นเรื่องจริง  นักลงทุนที่หวั่นไหวไปกับข่าวนี้  จึ่งช่วยเทกันขายหุ้นในตลาดอีกแรง  จริงๆแล้วการที่มีมาตรา 44ก็เป็นเกราะป้องกันการปฏิวัติซ้อนของ คสช. อยู่แล้ว  การเป็นนักลงทุนที่ดีต้องมีความหนักแน่น  และตรวจสอบข้อมูลข่าวสารต่างๆ อย่างระมัดระวังและรอบคอบ  อย่างไรก็ตามการที่ SET INDEX จะตีฝ่าทะลุ 1,600 จุด  คงต้องมีข่าวดีใหม่ ๆ มาสนับสนุน  มิฉะนั้นในระยะสั้นยังมองไม่เห็นโอกาส
                กลับมาคุยกันต่อเรื่องประกันภัยครับ  2 บทความที่แล้วผมเน้นพูดถึงเรื่องประกันชีวิต  แต่บทความนี้ผมจะพูดถึงประกันภัย  เมื่อเปรียบเทียบ INSURANCE PENETRATION AS % OF GDP. ของไทยซึ่งอยู่ที่ประมาณ 1.7 – 1.8 % ในขณะที่เกาหลีอยู่ที่ประมาณเกือบ 4% เมื่อมองแบบนี้แล้วทำให้เห็นได้ว่าการทำประกันภัยภายในประเทศยังอยู่ในระดับที่ต่ำมากเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ นี่ขนาดว่าเรามีบทเรียนจากภาวะน้ำท่วมใหญ่เมื่อปี พ.ศ.2554  ทำให้ภาคเอกชนเริ่มเล็งเห็นประโยชน์จากการทำประกันภัยมากขึ้นแล้วก็ตาม  และเมื่อมาดูบริษัทประกันภัยที่ทำธุรกิจในประเทศไทย  โดยเฉพาะ TOP 5 ของธุรกิจประกันภัยในประเทศล้วนแล้วแต่เป็นบริษัทสัญชาติไทยทั้งสิ้น  และในภาพรวมบริษัทประกันภัยที่ทำธุรกิจในประเทศส่วนใหญ่ประมาณ 80 % เป็นบริษัทสัญชาติไทยแลประมาณสิบกว่า % ที่เป็นบริษัทที่มีต่างชาติเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่  และที่เหลือก็เป็นลักษณะบริษัทร่วมทุนระหว่างไทยกับต่างชาติ  เมื่อดูเบี้ยประกันภัยรับรวมของปี 2556  จะเห็นได้ว่า  บริษัทที่ทำเบี้ยรับรวมสูงสุดคือ  บริษัท วิริยะประกันภัย  ซึ่งทำเบี้ยรับรวมได้ถึง 33,983.11 ล้านบาท (MARKET SHARE = 16.74 %)  ตามมาด้วยบริษัททิพยประกันภัย (TIP) เป็นอันดับ 2 ทำเบี้ยรวมได้ 23,617.95 ล้านบาท (MARKET SHARE = 11.63 %) ที่ 3 เป็นของบริษัท กรุงเทพประกันภัย (BKI) ทำเบี้ยรับรวมได้ 15,057.77 ล้านบาท (MARKET SHARE = 7.42 %) ทิ้งห่างอันดับที่ 4 บริษัท สินมั่นคง ประกันภัย (SMK) ทำเบี้ยรับได้  8,862.72 ล้านบาท (MARKET SHARE = 4.37 %)  ส่วนที่ 5 เป็นของบริษัท เมืองไทยประกันภัย (MTI) ที่ทำเบี้ยรับรวมแทบจะหายใจรดตันคออันดับ 4 ที่ 8,663.53 ล้านบาท (MARKET SHARE = 4.27 %) แต่ถ้าหักเอาเบี้ยประกันภัยรถยนต์ที่มีความเสี่ยงสูงที่สูด  เพราะว่าเป็นภัยชนิดที่ถ้าบริหารจัดการไม่ดีโอกาสขาดทุนเกิดขึ้นได้ง่ายๆ  ทำให้บริษัทประกันภัยหลายๆ บริษัทไม่ค่อยเน้นที่จะขายประกันภัยชนิดนี้  บริษัท วิระยะประกันภัย จะไม่ติด TOP5 เนื่องจากในเบี้ยรับรวมเป็นประกันภัยรถยนต์ถึง 30,940 ล้านบาท  บริษัทที่จะขึ้นมาเป็นอันดับที่ 1 ก็คือ TIP ที่มีเบี้ยรับรวม 18,470 ล้านบาท  ตามมาด้วย BKI เป็นอันดับ 2 โดยมีเบี้ยรับรวม 8,377 ล้านบาท  อันดับ 3 เป็นของ MTI ที่ 4,407 ล้านบาท  ส่วนอันดับ 4 และ 5 เป็นของบริษัทสัญชาติญี่ปุ่นคือ บริษัทโตเกียวมารีนประกันภัยที่ 3,702 ล้านบาท  และบริษัท มิตซุย สุมิโตโม อินชัวรันซ์ ที่ 3,671 ล้านบาท  ตามลำดับ ซึ่ง 2 บริษัทหลังนี้  ส่วนใหญ่จะได้ลูกค้าเป็นบริษัทญี่ปุ่นที่เข้ามาทำธุรกิจในประเทศไทย  คงเป็นเพราะว่าสัญชาติเดียวกันคุยกันรู้เรื่อง  และเชื่อถือกันมากกว่า  รวมทั้งอาจจะทำประกันภัยกับบริษัทประกันภัยตามบริษัทแม่ที่ญี่ปุ่น

                จากการที่เบี้ยประกันภัยรับรวมของประเทศไทยยังต่ำอยู่เมื่อเที่ยบกับหลายๆ ประเทศ   ทำให้โอกาสเติบโตของเบี้ยรับในอนาคตยังมีอีกมาก  นี่ยังไม่นับรวมโครงการขนาดใหญ่ในส่วนของเม็ดเงิน 2.40 ล้านบาทที่รัฐบาลชุดปัจจุบันตั้งใจจะทำ ไม่ว่าจะเป็นโครงการส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าสายปัจจุบัน  และรถไฟฟ้าสายใหม่อีกหลายสาย โครงการรถไฟทางคู่  โครงการขยายทางหลวงชนบทเพื่อสนับสนุนการเกษตร  และการท่องเที่ยว  โครงการก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง  โครงการพัฒนาโครงข่ายขนส่งทางน้ำเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการขนส่งทางน้ำ  ซึ่งโครงการเหล่านี้ล้วนแต่เป็นโครงสร้างพื้นฐานเพื่อการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจของประเทศ  รวมทั้งเป็นการลดต้นทุน LOGISTICS ของไทย  ที่คิดเป็นเปอร์เซนต์ของต้นทุนการผลิตที่สูงมากเมื่อเที่ยบกับประเทศอื่นๆ ซึ่งโครงการเหล่านี้น่าจะต้องประกันภัยทั้งในขั้นตอนที่ก่อสร้าง  และเมื่อสร้างเสร็จแล้ว  ก็คงต้องทำประกันภัยต่อเนื่องไปอีก  โครงการ  MEGA PROGECT นี้  จึงเป็นรายได้ก้อนมหึมาที่บริษัทประกันภัยในประเทศไทยจะได้แบ่งเค็กกัน โดยเฉพาะบริษัทประกันภัยที่ใหญ่ๆ ที่จัดอยู่ใน TOP 5 และบริษัทประกันภัยที่มีหน่วยงานหรือองค์กรของรัฐถือหุ้นอยู่ในสัดส่วนที่มาก  น่าจะยิ่งมีโอกาสได้รับส่วนแบ่ง SLICE ของ CAKE ชิ้นนี้มากกว่ารายอื่นๆ  



กิติชัย เตชะงามเลิศ
                                                                                          10/12/57


เพียงคุณออมแบบผมทุกเดือนๆละ 8,333 บาทผ่านไป 30 ปีคุณจะกลายเป็นเศรษฐี 100 ล้าน รายละเอียดอยู่ในหนังสือ"ออมจากน้อยเป็นร้อยล้าน"ซึ่งวางจำหน่ายแล้วครับ
หนังสือ "จาก 1 ล้านเป็น 500 ล้าน ผมทำอย่างไร" ยอดขายขื้นอันดับหนื่งตั้งแต่วันแรกจำหน่ายและครองอันดับ 1 ติดต่อกันมานาน

ติดตามสาระดีๆทั้งไลฟ์สไตล์และการลงทุนได้ที่ 

Facebook : https://www.facebook.com/VI.Kitichai
Twitter     : http://twitter.com/value_talk
Instagram : Gid_Kitichai
Blog         : http://kitichai1.blogspot.com
You Tube : http://www.youtube.com/user/wittayu9 
Google+  : https://www.google.com/+KitichaiTaechangamlert
Linkedin   : https://www.linkedin.com/in/homeproperty
Pinterest   : http://www.pinterest.com/kitichai/

 หรือหนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ทุกวันพุธหน้า B6  และนิตยสารคนรวยหุัน, Condo Guide, Glow, และ Me(Market Evolution) ทุกเดือน รายการ Whats's up Spring ช่อง Spring News TV ทุกวันพุธ ช่วง What's up Money เบรค 4 เวลา 10.45-11.00 น.

หาอสังหาทั้งถูกและดีเพื่ออยู่เองหรือเพื่อการลงทุน ได้ที่  http://www.pantipmarket.com/mall/homeproperty

วันพุธที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2557

ธุรกิจประกันชีวิตและประกันภัย (ตอนที่ 2)

                                               
หลังจากที่ผมลงทุนในบริษัทไทยพาณิชย์ประกันชีวิตมา 8 ปี จำนวนเปอร์เซ็นต์ของคนไทยที่ทำประกันชีวิตก็เขยิบขึ้นมาที่ 33-34% แล้วเมื่อเทียบกับเพียง 17% เมื่อ 8 ปีที่แล้ว เติบโตขึ้นมาประมาณ 100% แต่อย่าลืมนะครับว่า จำนวนประชากรไทยในปัจจุบันก็มากกว่าเมื่อ 8 ปีที่แล้ว ดังนั้นการเติบโตของผู้ถือกรมธรรม์ประกันชีวิตเพิ่มขึ้นมากกว่า 100% นับว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดีที่คนไทยเริ่มให้ความสนใจกับการทำประกันชีวิต ทั้งเพื่อความคุ้มครอง และเป็นหลักประกันความมั่นคงของชีวิต รวมทั้งยังสามารถนำเงินที่จ่ายค่าเบี้ยประกันชีวิตที่มีความคุ้มครองตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป มาลดหย่อนภาษีได้ตามจริงแต่ไม่เกิน 100,000 บาท และถ้าทำประกันชีวิตแบบบำนาญ ท่านยังสามารถลดหย่อนได้ตามจริงแต่ไม่เกิน 200,000 บาท รวมเป็น 300,000 บาทที่ท่านสามารถจะลดหย่อนภาษีได้ นี่ก็เดือนธันวาคมแล้ว สำหรับท่านที่ยังไม่ได้ทำประกันชีวิตและมีฐานภาษีที่สูง ผมแนะนำให้ท่านทำประกันชีวิตครับ เพราะว่าโลกนี้ไม่มีอะไรแน่อนเราไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเราในอนาคตข้างหน้า ประกันชีวิตเป็นการตอบโจทย์นี้ได้ดี ผมเองก็ทำประกันชีวิตทุกปี แต่จุดมุ่งหมายหลักของผมก็คือการลดหย่อนภาษี ส่วนความคุ้มครองกลายเป็นผลพลอยได้ นอกจากนี้ผมยังซื้อกองทุน LTF และ RMF ทุกปี ซึ่งรัฐบาลใจดีให้สามารถซื้อได้ไม่เกิน 15% ของรายได้แต่ไม่เกิน 500,000 บาท ทั้งกองทุน LTF และ RMF แต่ถ้าท่านซื้อประกันชีวิตแบบบำนาญ 200,000 บาทแล้วท่านสามารถซื้อกองทุน RMF ได้ไม่เกิน 300,000 บาทเท่านั้น ดังนั้นท่านที่มีรายได้ไม่สูงแต่มีเงินออมมาก ผมแนะนำให้ซื้อกองทุน LTF แล RMF 15% ของรายได้แล้วที่เหลือนำเงินออมไปซื้อประกันชีวิตแบบบำนาญให้หมด แต่ต้องไม่เกิน 200,000 บาท ท่านก็จะได้ประหยัดภาษีแบบสูงสุด แล้วอย่าลืมทำประกันสุขภาพให้คุณพ่อคุณแม่ด้วยนะครับ ถ้าท่านทั้งสองมีรายได้ในปีภาษีนี้ไม่เกินท่านละ 30,000 บาท ท่านสามารถนำเบี้ยประกันสุขภาพที่จ่ายจริงแต่ไม่เกิน 15,000 บาทมาลดหย่อนภาษีได้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นท่านต้องทำประกันชีวิตหรือประกันสุขภาพกับบริษัทประกันชีวิตที่ประกอบกิจการภายในประเทศไทยเท่านั้น เพราะว่ารัฐบาลนอกจากต้องการส่งเสริมให้คนไทยทำประกันชีวิตแล้ว ยังต้องการส่งเสริมธุรกิจประกันชีวิตในประเทศให้เติบโตแข็งแกร่งไปด้วย ดังนั้นท่านต้องเลือกเอาระหว่างค่าเบี้ยประกันชีวิตที่ทำในต่างประเทศที่ถูกกว่าภายในประเทศ แต่ท่านก็จะไม่สามารถลดหย่อนภาษีได้เลย ยังไงก็สนับสนุนธุรกิจคนไทยด้วยกันดีกว่าครับ และเมื่อดูตัวเลข Insurance penetration as % of GDP ของไทยเรายังอยู่ที่ 2-3% เท่านั้นในขณะที่ไต้หวันปาเข้าไปที่ 14% กว่าๆ หรือแม้กระทั่งอินเดียซึ่งเป็นชาติที่มี GDP ต่อประชากรต่ำกว่าเรา ยังอยู่ที่ 4-5%  เห็นตัวเลขอย่างนี้แล้วสมาคมประกันชีวิตไทยคงต้องขยันประชาสัมพันธ์ให้มากกว่านี้ซะแล้ว ส่วนคำถามที่ถามมาทางหน้าเฟซบุ๊คเพจของผม www.facebook.com/vi.kitichai เกี่ยวกับเรื่องการที่ SCBLIF จะถอนตัวเองจากการเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ควรจะทำอย่างไรดี ควรจะขายในตลาดหรือควรจะขายช่วงที่ทางธนาคารไทยพาณิชย์ซึ่งเป็นบริษัทแม่จะทำ Tender offer หรือยอมถือต่อแล้ว Exit ออกไปพร้อมกับ SCB ซึ่งมีคนส่งคำถามนี้มาค่อนข้างมาก ผมขออนุญาตตอบแบบนี้ครับว่า
1) ผมไม่มั่นใจว่าหลังจากมีการ Delist ของ SCBLIF แล้วทาง SCB จะมีการเปลี่ยนแปลงค่าธรรมเนียมที่คิดกับ SBCLIF ในการทำธุรกิจ Banc assurance กับธนาคารอย่างไร
2) เมื่อ DELIST แล้ว ทาง SCBLIF ซึ่งมีคณะกรรมการที่ส่วนใหญ่มาจาก SCB จะดูแลผู้ถือหุ้นรายย่อยมากน้อยแค่ไหน เพราะว่าเมื่ออยู่นอกตลาดแล้วก็ไม่จำเป็นต้องปฏิบัติตัวให้อยู่ในกรอบระเบียบวิธีของตลาดหลักทรัพย์และกลต.
3) จากการที่ผู้ถือหุ้นรายย่อยได้มีการร้องเรียนตลาดหลักทรัพย์และกลต. เกี่ยวกับเรื่องราคาที่ผู้ถือหุ้นรายย่อยรู้สึกว่าไม่เหมาะสมคือต่ำเกินไป คงน่าจะสร้างความไม่พอใจกับ SCB ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุดของ SCBLIF คือถือหุ้นอยู่ถึง 94.66% เป็นอย่างมาก
4) SCB เริ่มมีนโยบายที่จะทำ Banc assurance บริษัทประกันภัยอื่นๆ ด้วย ซึ่งต่อไปอาจจะมีวันใดวันหนึ่งที่ธุรกิจประกันชีวิตที่ขายตามสาขาของ SCB อาจจะไม่มีแค่ SCBLIF ก็เป็นได้
5) เมื่อ DELIST แล้วท่านก็จะไม่สามารถที่จะขายหุ้น SCBLIF ในตลาดหลักทรัพย์ได้อีก จะไม่มีตลาดซื้อขายหุ้นตัวนี้รองรับอีกต่อไป ถ้าท่านนึกอยากจะขายขึ้นมาคงจะขายได้ยากพอสมควร หรือถ้าจะขายให้กับทาง SCB ผมก็ไม่แน่ใจว่าเขาจะรับซื้อหรือไม่ และถ้ารับซื้อจะรับซื้อราคาเท่าไร ซึ่งไม่จำเป็นต้องเป็นราคาเดียวกับราคา Tender offer แต่ในใจลึกๆ ผมคิดว่าถึงเวลานั้น SCB คงรับซื้อถ้ามีคนอยากขาย แต่ราคานี่สิครับ ยากที่จะคาดเดาไว้จริงๆ ดังนั้นถ้าท่านพร้อมเป็นนักลงทุนระยะยาวจริงๆ และคิดว่าจะเข้าเป็นหุ้นส่วนธุรกิจกับ SCB ทำธุรกิจประกันชีวิตท่านก็อาจจะถือครองหุ้นตัวนี้ต่อไป แต่ถ้าท่านไม่พร้อมผมอยากให้อ่านสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นได้ทั้ง 5 ข้อนี้อีกครั้ง แล้วค่อยๆ พิจารณาตัดสินใจดูอีกทีว่าทำจะอย่างไรดีกับหุ้น SCBLIF ที่ท่านถืออยู่ดี

กิติชัย เตชะงามเลิศ
                                                                                          03/12/57


ติดตามสาระดีๆทั้งไลฟ์สไตล์และการลงทุนได้ที่ 

Facebook : https://www.facebook.com/VI.Kitichai
Twitter     : http://twitter.com/value_talk
Instagram : Gid_Kitichai
Blog         : http://kitichai1.blogspot.com
You Tube : http://www.youtube.com/user/wittayu9 
Google+  : https://www.google.com/+KitichaiTaechangamlert
Linkedin   : https://www.linkedin.com/in/homeproperty
Pinterest   : http://www.pinterest.com/kitichai/

 หรือหนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ทุกวันพุธหน้า B6  และนิตยสารคนรวยหุัน, Condo Guide, Glow, และ Me(Market Evolution) ทุกเดือน รายการ Whats's up Spring ช่อง Spring News TV ทุกวันพุธ ช่วง What's up Money เบรค 4 เวลา 10.45-11.00 น.

หาอสังหาทั้งถูกและดีเพื่ออยู่เองหรือเพื่อการลงทุน ได้ที่  http://www.pantipmarket.com/mall/homeproperty