จาก1ล้านเป็น500ล้านผมทำอย่างไร

จาก1ล้านเป็น500ล้านผมทำอย่างไร
เล่าประสบการณ์การลงทุนของผมที่นำไปใช้ได้ง่ายๆ

วันพฤหัสบดีที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2565

ท่ามกลางภาวะเงินเฟ้อและเศรษฐกิจถดถอย ไทยเราจะเป็นอย่างไร?

ท่ามกลางภาวะเงินเฟ้อและเศรษฐกิจถดถอย ไทยเราจะเป็นอย่างไร?

         ในช่วงปีสองปีนี้ สิ่งที่เป็นความกังวลของคนทั้งโลกก็คือ ภาวะเงินเฟ้อ เศรษฐกิจถดถอย และการขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอย่างแรงและเร็วของธนาคารกลางในหลายๆประเทศ เราเห็นภาวะเงินเฟ้อก่อตัวขึ้นอย่างเด่นชัดเมื่อปีที่แล้วในสหรัฐอเมริกา แต่ประธานเฟดกลับมีความเห็นว่าเงินเฟ้อที่เกิดขึ้นเป็นภาวะชั่วคราว จึงไม่ได้มีการปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายขึ้นเพื่อกำราบ กลับกลายเป็นการบ่มเพาะภาวะเงินเฟ้อให้รุนแรงมากขึ้น ผ่านมา 1 ปี กอปรกับภาวะสงครามรัสเซีย-ยูเครน ยิ่งทำให้อัตราเงินเฟ้อสูงขึ้นอย่างมากโดยเฉพาะในยุโรป ซึ่งต้องพึ่งพาการนำเข้าพลังงานจากรัสเซีย และการที่รัสเซียรวมทั้งยูเครนเป็นประเทศส่งออกสินค้าเกษตร สงครามทำให้การทำเกษตรเป็นไปได้อย่างลำบาก ส่งผลให้สินค้าเกษตรขาดแคลน ราคาจึงถีบตัวสูงขึ้นเป็นอย่างมาก ซ้ำเติมภาวะเงินเฟ้อที่แย่อยู่แล้วให้แย่ลงไปอีก 

       ต่อมาเฟดเริ่มเปลี่ยนความคิดว่า เงินเฟ้อที่เกิดขึ้นไม่ใช่ภาวะชั่วคราวเสียแล้ว และเริ่มหวั่นเกรงว่าจะเป็นต้นเหตุแห่งความหายนะทางเศรษฐกิจจึงมีการประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอย่างก้าวกระโดดและต่อเนือง โดยเริ่มต้นขึ้นดอกเบี้ยตั้งแต่เดือนมีนาคม 2565 ตามรายละเอียดในภาพที่ 1

 
ภาพที่ 1 การขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐและไทยปี 2565 ที่มา: สถานีโทรทัศน์ อสมท

       ทำให้เมื่อต้นปีดอกเบี้ยนโยบายของไทยและสหรัฐที่ต่างกันเพียง 0.25-0.5% เท่านั้น แต่ล่าสุดเดือนกันยายนอัตราดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐอยู่ที่ 3-3.25% โดยตั้งแต่ต้นปีนี้จนถึงเดือนกันยายนสหรัฐขึ้นดอกเบี้ยนโยบายไป 5 ครั้ง รวมทั้งสิ้น 3% ในขณะที่ประเทศไทยขึ้นดอกเบี้ยไปเพียง 2 ครั้งโดยเริ่มขึ้นดอกเบี้ยในเดือนสิงหาคม 0.25% และอีก 0.25% ในเดือนกันยายน ทำให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทย = 1% จึงมีส่วนต่างระหว่างอัตราดอกเบี้ยของสองประเทศอยู่ที่ 2-2.25% ทำให้ค่าเงินบาทอ่อนลงอย่างรวดเร็วเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐ จากต้นปีที่ 1$ มีค่าเท่ากับ 33.12 บาท แต่มาล่าสุดวันที่ 29 กันยายนเงินบาทอ่อนมาแตะที่ 38.46 บาท อ้อนค่าลง 5.34 บาท หรือคิดเป็น 16.12% ตามภาพที่ 2

 
ภาพที่ 2 ค่าเงินบาทเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ที่มา: investing.com 

        ไม่ใช่เพียงแต่ค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐ แต่ค่าเงินสกุลหลักๆไม่ว่าจะเป็น ยูโร ปอนด์ และเงินเยนของญี่ปุ่น ก็มีค่าอ่อนลงอย่างมาก ตามรูปที่ 3, 4 และ 5

 
ภาพที่ 3 ค่าเงินยูโรเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ที่มา: investing.com

 
ภาพที่ 4 ค่าเงินปอนด์สเตอร์ลิงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ที่มา: XE.com

 
ภาพที่ 5 ค่าเงินเยนเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ที่มา: XE.com

 
ภาพที่ 6 เปรียบเทียบอัตราแลกเปลี่ยนเงินสกุลต่างๆเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐ 

      จากภาพที่ 6 จะเห็นได้ชัดว่าค่าเงินบาทไม่ได้อ่อนค่าอย่างรุนแรง เมื่อเทียบกับค่าเงินสกุลหลัก ดังนั้นจึงไม่แปลกใจว่าทำไมคณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง)ขึ้นดอกเบี้ยเพียงครั้งละ 0.25% และตั้งแต่ต้นปีมาขึ้นดอกเบี้ยไปเพียง 2 ครั้ง รวมแล้วเท่ากับ 0.5%เท่านั้น ที่เป็นเช่นนั้นส่วนหนึ่งก็เพราะว่าเศรษฐกิจไทยกำลังเริ่มฟื้นตัวและหนี้ครัวเรือนต่อ GDP ของไทยยังอยู่ในระดับสูงมากที่สุดเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆในอาเซียนรวมทั้งธุรกิจ smes ซึ่งยังอ่อนแรงจากปัญหาโควิดระบาด การขึ้นอัตราดอกเบี้ยมากเกินไป ก็จะส่งผลกระทบให้กับธุรกิจเหล่านี้รวมทั้งกลุ่มลูกหนี้ต่างๆไม่สามารถที่จะอยู่รอดได้ ยิ่งปัญหาเงินเฟ้อในประเทศไทยก็อยู่ในระดับที่สูง ตัวเลขล่าสุดเดือนสิงหาคมอยู่ที่ 7.86% เมื่อเทียบกับเมื่อเดือนกรกฎาคมที่อยู่ที่ 7.61% ซึ่งมีสาเหตุมาจากราคาพลังงานที่สูงขึ้นเป็นอย่างมาก 

        เปรียบเทียบอัตราแลกเปลี่ยนไปแล้ว สินทรัพย์อีกประเภทหนึ่งที่เราควรจะตรวจสอบดูก็คือราคาทองคำ ในรูปสกุลดอลลาร์สหรัฐและสกุลเงินบาท
ภาพที่ 7 ราคาทองคำเมื่อเทียบกับสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ ที่มา: nasdaq.com

 
ภาพที่ 8 ราคาทองคำเมื่อเทียบกับสกุลเงินบาท ที่มา: https://xn--42cah7d0cxcvbbb9x.com/

 
ภาพที่ 9 ราคาทองคำเมื่อเทียบกับสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐและเงินบาท

 ภาพที่ 9 ถึงแม้ราคาทองคำเมื่อเทียบกับสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐจะอ่อนลงประมาณ 10% แต่ถ้าเราซื้อทองคำในประเทศไทย กลับมีราคาสูงขึ้น 2.4% เพราะว่าค่าเงินบาทอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐนั่นเอง
ภาพที่ 10 เงินกองทุนสำรองอัตราแลกเปลี่ยนของประเทศไทย ที่มา: https://www.ceicdata.com/en/indicator/thailand/foreign-exchange-reserves 

 และจากภาพที่ 10 จะเห็นได้ว่าเงินกองทุนสำรองอัตราแลกเปลี่ยนของประเทศไทย ที่เมื่อต้นปีอยู่ที่ 221.75 พันล้านเหรียญสหรัฐ แต่ล่าสุดเหลือเพียง 195.1 พันล้านเหรียญสหรัฐเมี่อสิ้นเดือนสิงหาคม ลดลงไป 26.65 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็น 8.32% เหตุผลหลักๆก็คงเป็นเพราะทองคำและเงินทุนสำรองที่อยู่ในรูปสกุลเงินอื่นๆที่ไม่ใช่เงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลง 

      เนื้อที่หมดแล้ว คงต้องยกยอดไปต่อในบทความหน้า แต่จะบอกใบ้ให้ว่าอัศวินขี่ม้าขาวที่จะมาช่วยเศรษฐกิจไทยปีหน้าก็คือ การท่องเที่ยว ซึ่งจะเป็นตัวจักรกลหลักที่จะทำให้ GDP ของไทยปีหน้าดีกว่าปีนี้ 

กิติชัย เตชะงามเลิศ
29/9/65

 ติดตามสาระดีๆทั้งไลฟ์สไตล์และการลงทุนได้ที่ 

Facebook : https://www.facebook.com/VI.Kitichai 
Twitter : http://twitter.com/value_talk Instagram : Gid_Kitichai 
 Blog : http://kitichai1.blogspot.com You Tube : http://www.youtube.com/user/wittayu9 

      ถ้าท่านชอบบทความผม ท่านสามารถสมัครสมาชิกโดยเอาเม้าส์ไปทางด้านขวามือจะมีแถบแสดงออกมา แล้วเลือกคลิกไอคอนที่เขียนว่าสมัครรับข้อมูล เมื่อผมมีบทความใหม่ ท่านก็จะทราบทันที

    มายคอนโด สุขุมวิท 81 1 นอน ถูกสุดใน 3 โลก ห้องสวย เพิ่งตกแต่งใหม่ เจ้าของขายเอง เดิน 4 นาที จาก BTS อ่อนนุช

1 นอน 1 น้ำ พื้นที่ 34.81 ตรม. ห้องหันทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ห้องสวย เพิ่งตกแต่งใหม่หมดทั้งห้อง ปูพื้นใหม่ทั้งห้อง ทาสีฝ้าใหม่ทั้งห้อง ติดวอลเปเปอร์ใหม่ทั้งห้อง เปลี่ยนแอร์ใหม่ทั้ง 2 ตัว พร้อมผ้าม่าน เตาไฟฟ้า ตู้เย็น เครื่องซักผ้า Smart TV 40 นิ้ว เครื่องทำน้ำอุ่น และ Microwave ราคา 2.6 ล้านบาท ค่าเช่า 11,000 บาท/เดือน 

 ดูวีดีโอที่ https://youtu.be/xvdsglhXyRU
สามารถดาวน์โหลดรูปภาพและวีดีโอทั้งหมดของ มายคอนโด สุขุมวิท 81 ได้ที่ https://photos.app.goo.gl/UzF4o3rN9e1L3FwdA 
 หรือ https://www.dropbox.com/sh/atdwbx6q3xyi78c/AAA8OI9pXXEPOVTpTo0mTrY2a?dl=0
ที่อยู่: 44 ซอยสุขุมวิท 81 ถนนสุขุมวิท แขวงบางจาก เขตพระโขนง กรุงเทพมหานคร 10250 พิกัด 13.705823, 100.603723 

 โครงการ มายคอนโด สุขุมวิท 81 นี้มี 8 ชั้น มีจำนวนห้องทั้งหมด 146 ยูนิต, ห่างจาก สถานี BTS อ่อนนุช , ห้างโลตัสอ่อนนุช ประมาณ 200 เมตร และ 600 เมตรจากห้างคาร์ฟูร์อ่อนนุช ใกล้ทางด่วน สุขุมวิท 50 และสุขุมวิท 62