จาก1ล้านเป็น500ล้านผมทำอย่างไร

จาก1ล้านเป็น500ล้านผมทำอย่างไร
เล่าประสบการณ์การลงทุนของผมที่นำไปใช้ได้ง่ายๆ

วันพุธที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2557

ธุรกิจเด่น- ดับในปี 2557 ตอนที่ 8

ธุรกิจเด่น- ดับในปี 2557 ตอนที่ 8
          หลังจากที่ผมได้แนะนำให้ลดพอร์ตการลงทุนไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ปรากฏว่า SET INDEX ก็พอดีไปทำ High ที่ 1,381.21 แล้วก็ปรับตัวลงมาต่อเนื่องจนมาอยู่แถว 1,340-1,350 จุด ผมยังมีความคิดว่าตลาดหุ้นไทยปรับตัวน้อยกว่าที่ควร เพราะว่าตลาดหุ้นไทยได้ปรับตัวขึ้นมาตลอดจากจุดต่ำสุดที่ 1,205.44 เมื่อวันที่ 6 มกราคมปีนี้ ขึ้นมาถึง 175.77 จุด ถ้าคิดจากจุดสูงสุด หรือคิดเป็น 14.58% นับว่าเป็นเปอร์เซ็นต์ที่มากพอดู เมื่อเทียบกับสถานการณ์ความไม่มีเสถียรภาพทางการเมือง เศรษฐกิจในประเทศที่ตกต่ำ ค่าเงินบาทที่อ่อนตัว ดัชนีความมั่นใจทั้งของผู้ผลิตและผู้บริโภคที่ต่ำลงเรื่อยๆ  ในขณะที่ตัวเลขหนี้สินครัวเรือนที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนปัจจุบันเกิน 80% ของ GDP ไปแล้ว โดยไทยเป็นอันดับ 2 ใน ASEAN รองจากมาเลเซียที่มีหนี้ครัวเรือนสูงเกิน 80% เช่นกัน โดยเฉพาะเดือนเมษายนนี้ น่าจะมีข้อสรุปในปัญหาต่างๆ ที่จะถูกตัดสินโดยองค์กรอิสระต่างๆ ทั้ง ปปช. และศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งทางกลุ่มคนเสื้อแดงได้รวมพลกันแล้ว และวันที่ 29 มีนาคมนี้ทาง กปปส.ก็นัดชุมนุมใหญ่เช่นกัน ผมว่าตลาดหุ้นยัง Under estimate ทางด้านการเมืองถ้าเกิดเหตุการณ์วุ่นวายขึ้นมา ตลาดหุ้นอาจจะมีการปรับตัวลดลงรุนแรงได้ ดังนั้นช่วงนี้อยากให้ท่านนักลงทุน Wait & See ก่อนครับ ผมคาดว่าไตรมาส 2 น่าจะมีจังหวะให้เก็บหุ้นในราคาถูกได้ โดยเฉพาะถ้า SET INDEX ปรับตัวลงต่ำกว่า 1,335 จุด เราคงได้เห็นตลาดหุ้นปรับตัวเป็นขาลงอย่างชัดเจน ยิ่งหน่วยงานต่างๆ เริ่มทยอยปรับลดการคาดการณ์การเติบโตของ GDP ในปีนี้ลงเหลือ 2-3% เท่านั้น จากเดิม 4-5% และ Analyst Consensus ในเรื่องผลประกอบการที่คาดว่าจะโตลดลงทั้งในแง่ยอดขายและกำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียนต่างๆ ถึงแม้ กนง.จะตัดสินใจลดดอกเบี้ยลงไปอีก 0.25% แต่ธนาคารพาณิชย์กลับลดดอกเบี้ยลงเพียง 0.13% และมีการเข้มงวดมากขึ้นในการพิจารณาปล่อยสินเชื่อ รวมทั้งการชะลอการตัดสินใจซื้อสินค้าคงทนโดยเฉพาะบ้านและรถยนต์ ยิ่งทำให้เศรษฐกิจภายในประเทศยิ่งชะลอตัว ผมเองคาดว่าไตรมาส  1 ปีนี้ GDP เราน่าจะติดลบเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว
          เรากลับมาคุยกันต่อในเรื่องธุรกิจดับในปีนี้ จากบทความก่อนที่ผมพูดถึงธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ล่าสุดถ้าท่านผู้อ่านสังเกตจะพบข่าวที่ผู้บริหารธุรกิจอสังหาริมทรัพย์หลายรายที่ให้สัมภาษณ์ถึงยอดขาย 2 เดือนแรกของปีนี้ ต่างพูดกันเป๊นเสียงเดียวกันว่ายอดขายตกต่ำลงประมาณ 10% ไม่ว่าจะเป็นรายใหญ่ รายกลาง โดนกระทบหมด โดยเฉพาะรายเล็กนี่ยิ่งแย่ใหญ่ มีหลายโครงการที่เพิ่งเริ่มเปิดขายไม่นาน หรือสร้างไปกลางครัน เริ่มมีปัญหาสภาพคล่องต้องนำโครงการดังกล่าวไปเสนอขายให้กับบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ด้วยกัน ปัจจุบันบริษัทอสังหาทั้งหลาย ก็ได้แต่ภาวนาให้ความวุ่นวายทางการเมืองได้จบสิ้นลงโดยเร็ว จะได้รีบออกโครงการใหม่ๆ มาเรียกผู้ซื้อให้เข้าไปเยี่ยมชมและตัดสินใจซื้อ เพื่อให้ยอดขายโดยรวมทั้งปีไม่ต่ำกว่าปีที่แล้ว เมื่อสินค้าปลายน้ำอย่างอสังหาซบเซา สินค้าต้นน้ำอย่างเช่น วัสดุก่อสร้าง ก็ย่อมต้องได้รับผลกระทบไปด้วยเช่นกัน
          3. กลุ่มวัสดุก่อสร้าง ไม่ว่าจะเป็นปูนซีเมนต์เหล็ก กระเบื้องมุงหลังคา กระเบื้องปูพื้น-ผนัง สีทาบ้าน ฯลฯ ล้วนแล้วแต่ได้รับผลกระทบจากความซบเซาของธุรกิจอสังหา ยังดีที่มีโครงการสร้างสาธารณูปโภคที่ยังสร้างไม่เสร็จ และกำลังสร้างกันอยู่ ไม่ว่าจะเป็นส่วนขยายของรถไฟฟ้าสายต่างๆ ที่ยังช่วยให้ยอดขายของปูนซีเมนต์พอไปได้ แต่บทสัมภาษณ์ที่ผู้บริหารของ SCC ได้สะท้อนถึงภาพรวมของกลุ่มนี้ได้ค่อนข้างดี ว่ายังทำได้ต่ำกว่าประมาณการณ์ ยิ่งพรบ.2 ล้านล้านบาทถูกตีตกไปแล้วยิ่งทำให้ อนาคตของกลุ่มนี้ดูไม่สดใส ถึงแม้พรบ. 2 ล้านล้านบาทถ้าไม่ถูตีตกไป รายได้จากกลุ่มนี้ที่จะเกิดจากพรบ.นี้ก็คงมีไม่มากในปีนี้อยู่ดี เราเริ่มเห็นการปรับราคาลงในวัสดุก่อสร้างบางประเภทลงแล้ว ซึ่งแน่นอนว่าจะส่งผลต่อยอดขายและกำไรสุทธิของบริษัทในปีนี้อย่างแน่นอน
          4. กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง จากพรบ. 2 ล้านล้านบาทที่ตกไป รายได้ที่นักวิเคราะห์บางค่ายได้นำไปคำนวณรวมเป็นรายได้ของผู้รับเหมาไว้ ก็จะต้องถูกตัดออกไป ยิ่งภาวะเศรษฐกิจที่ไม่ดี ยอดขายอสังหาริมทรัพย์ที่ตกต่ำ ผู้รับเหมาที่สูญเสียงานที่จะได้จากภาครัฐในพรบ. 2 ล้านล้านบาท คงหันมาแข่งกันรับงานเอกชน ซึ่งโชคไม่ดีที่กำลังประสบปัญหาในด้านยอดขายเช่นกัน เหมือนผีซ้ำด้ามพลอยจริงๆ แต่ราคาหุ้นของบริษัทในกลุ่มรับเหมาก็ได้ตกลงมาค่อนข้างมากแล้ว ถ้าราคายังตกลงไปกว่านี้อีกสัก 5-10% ก็น่าจะเลือกบริษัทที่มีงบการเงินดี และผลประกอบการใช้ได้ เก็บไว้ลงทุนก็ไม่เลวครับ

          เนื้อที่หมดแล้ว มาติดตามบทความในพุธหน้า ว่าจะมีธุรกิจดับอะไรอีกบ้างกันนะครับ
ติดตามอ่านธุรกิจเด่น-ดับในปี 2557 ต่อในฉบับหน้านะครับ
ธุรกิจเด่น-ดับ ในปี 2557 ตอนที่ 1, http://kitichai1.blogspot.com/2014/01/2557-1.html
ธุรกิจเด่น-ดับ ในปี 2557 ตอนที่ 2, http://kitichai1.blogspot.com/2014/01/2557-2.html
ธุรกิจเด่น-ดับ ในปี 2557 ตอนที่ 3, http://kitichai1.blogspot.com/2014/02/2557-3.html
ธุรกิจเด่น-ดับ ในปี 2557 ตอนที่ 4,http://kitichai1.blogspot.com/2014/02/2557-4.html
ธุรกิจเด่น-ดับ ในปี 2557 ตอนที่ 5, http://kitichai1.blogspot.com/2014/02/2557-5.html
ธุรกิจเด่น-ดับ ในปี 2557 ตอนที่ 6, http://kitichai1.blogspot.com/2014/02/2557-6.html

ธุรกิจเด่น-ดับในปี 2557 ตอนที่ 7, http://kitichai1.blogspot.com/2014/03/2557-7.html

กิติชัย เตชะงามเลิศ
                                                                                          26/03/57


ติดตามแนวทางการลงทุนของผมได้ที่ 
Facebook : https://www.facebook.com/VI.Kitichai
Twitter : http://twitter.com/value_talk 
Youtube : http://www.youtube.com/user/wittayu9
Blog :  http://kitichai1.blogspot.com
Instagram : Gid_Kitichai

หรือหนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ทุกวันพุธหน้า B6 หรือหน้า B10 และนิตยสารคนรวยหุัน, Condo Guide, Stock Review, Me(Market Evolution), Glow และ Lisa  ทุกเดือน
     

สนใจซื้ออสังหาเพื่ออยู่เองหรือเพื่อการลงทุน ลองเข้า http://www.pantipmarket.com/mall/homeproperty

วันพุธที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2557

ปัจจัยที่ต้องระมัดระวังในการลงทุนช่วงนี้

ปัจจัยที่ต้องระมัดระวังในการลงทุนช่วงนี้

          ตลาดหุ้นไทยดูแข็งแรงมาก โดยไต่ระดับจาก 1,205.44 ณ วันที่ 6 มกราคมปีนี้ ขึ้นมาแถว 1,370 กว่าจุดในปัจจุบัน จากช่วง Shut down Bangkok ถึงปัจจุบันที่เลิก Shut down SET INDEX ขึ้นมาประมาณ 170 จุดคิดเป็น 14% ถือว่าเป็นการปรับตัวที่มาก เมื่อเหลียวมองดูปัจจัยต่างๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ผ่านมา และขึ้นมาได้เกินความคาดหมายของผมด้วย เราลองมาไล่ดูปัจจัยต่างๆ ที่เกิดขึ้นแล้วและกำลังจะเกิดขึ้นในเร็วๆ นี้กันดูนะครับ
1)    เสถียรภาพทางการเมืองในประเทศยังย่ำแย่อยู่ เรายังไม่สามารถคาดเดาไว้ว่าผลสรุปจะเป็นอย่างไร ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง
1.1)          การเลือกตั้ง สส.ที่ผ่านมา จะเป็นโมฆะไหม
1.2)          สถานภาพของรัฐบาลรักษาการจะสิ้นสุดลงเมื่อใด ถ้าสิ้นสุดแล้วใครจะบริหารประเทศต่อไป
1.3)          คดีต่างๆ ของคณะรัฐมนตรีชุดนี้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องจำนำข้าว พรก.ฉุกเฉิน ฯลฯ
1.4)          สถานภาพของ สว.ที่มีปัญหา
1.5)          กลุ่มเสื้อแดงที่กำลังรวมพลที่ไม่รู้ว่าจะก่อเหตุร้ายอะไรบ้าง โดยเฉพาะหลังจากองค์กรอิสระต่างๆ ประกาศคำวินิจฉัย ออกมาที่จะมีผลกระทบกับคณะรัฐมนตรี และพรรคเพื่อไทย ถ้าออกมาก่อความวุ่นวาย ทหารจะออกมาไหม
สิ่งเหล่านี้จะทำให้ต่างชาตินอกจากจะหยุดขยายกิจการในประเทศไทยแล้วเม็ดเงินลงทุนใหม่ๆ คงจะชะลอดูสถานการณ์กันก่อน นักลงทุนญี่ปุ่นเอง ที่ผ่านมาหลายวิกฤตการณ์ ไม่เคยออกปากว่าจะหยุดลงทุนในไทย แต่ครั้งนี้เราเริ่มได้ยินนักลงทุนชาตินี้พูดออกมาแล้วว่า อาจจะปรารถนาไปลงทุนในประเทศอื่นแทนประเทศไทย เศรษฐกิจภายในประเทศข่วงที่ผ่านมาก็ย่ำแย่มากพอดู พรรคพวกเพื่อนฝูงผมที่ทำธุรกิจอยู่ ก็บ่นประปอดกระแปดว่า ขายไม่ดี ช่วงนี้หลายธุรกิจต้องวิ่งแลกเช็คกันวุ่นวาย เมื่อเย็นวันจันทร์ผมไปทำธุระที่ห้างสรรพสินค้าใหญ่กลางสุขุมวิท ผมสังเกตเห็นว่ามีผู้คนจับจ่ายใช้สอยในห้างน้อยมาก เผลอๆ พนักงานร้านค้าในห้าง รวมกันแล้วยังมากกว่าคนที่มาเดินช้อปปิ้งเสียอีก และคนที่เดินๆ อยู่ ผมแทบจะไม่เห็นใครถือถุงช้อปปิ้งเลย จึงไม่น่าแปลกใจที่การประชุม กนง.ครั้งล่าสุดจึงตัดสินใจลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% ทำให้ธนาคารพาณิชย์ลดดอกเบี้ยตาม แต่ลดน้อยหน่อยคือลดประมาณ 0.13% เท่านั้น ซึ่งอัตราดอกเบี้ยที่ลดลงเพียงเล็กน้อย คงไม่สามารถกระตุ้นให้ผู้บริโภคหันมาจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น ในภาวะที่มีความไม่แน่นอนทั้งทางการเมืองและเศรษฐกิจก็ไม่ดี ผู้คนเลือกที่จะเอามือกุมกระเป๋าสตางค์เสียมากกว่า นักลงทุนก็คงไม่คิดที่จะขยายกำลังการผลิตหรือลงทุนใหม่ๆ ในช่วงนี้เช่นกัน นอกจากเม็ดเงินที่เข้ามาลงทุนโดยตรง (FDI) แล้ว เม็ดเงินลงทุนทางอ้อมที่เข้ามาลงทุนในสินทรัพย์ในประเทศไทยโดยเฉพาะตลาดหุ้น และตลาดเงินไม่ว่าจะเป็นหุ้นกู้หรือพันธบัตรจากอัตราดอกเบี้ยที่ลดลง และแนวโน้มการแข็งตัวของเงินเหรียญสหรัฐจะทำให้ตราสารหนี้ไทยมีเสน่ห์ลดลง ส่วนตลาดหุ้นไทย หลังจากประกาศผลประกอบการปี 2556 และนักวิเคราะห์หลายค่ายได้ปรับผลประกอบการปี 2557 ลงบ้างแล้ว รวมทั้ง Foreign Houses หลายๆ ค่ายได้ปรับคำแนะนำลงทุนในตลาดหุ้นไทยเป็น Neutral หรือ Underweight ลง น่าจะทำให้แรงผลักดันให้ SET INDEX ขึ้นไปต่อได้แรงๆ หรือมากกว่านี้ค่อนข้างยาก
2)    ประธาน FED คนใหม่ นาง JANET YELLEN ซึ่งมีนโยบายที่จะทยอยลดมาตรการ QE ลงไปเรื่อยๆ  โดยตลาดคาดหมายว่าอาจจะสิ้นสุดมาตรการ QE ภายในปีนี้ จะทำให้สภาพคล่องค่อยๆ ลดลง
3)    ปัญหาแหลมไครเมีย ซึ่งอาจจะเป็นขบวนแห่งความขัดแย้งครั้งยิ่งใหญ่ระหว่างยุโรปและสหรัฐกับรัสเซีย
4)    ประเทศเกิดใหม่หลายๆ ประเทศกำลังมีปัญหาทางเศรษฐกิจอย่างรุนแรง เช่น ตุรกี อาร์เจนตินา เป็นต้น
5)    ปัญหาหนี้ธุรกิจขนาดเล็กกลางใหญ่ของจีน หลังจากน้ำลดตอก็ผุด นายกรัฐมนตรีของจีน นายหลี่เค่อเฉียงได้เตือนให้นักลงทุนให้เตรียมพร้อมรับคลื่นการล้มละลาย หลังจากเพดานหนี้ที่สูงต่อเนื่อง โดยทางการจะไม่เข้าช่วยเหลือ เพราะกลัวว่าจะเป็นแบบญี่ปุ่นหลังจากประสบปัญหาฟองสบู่แตกในช่วงปลายทศวรรษ 80 และต้นทศวรรษ 90 ซึ่งทำให้เศรษฐกิจญี่ปุ่นซบเซาอยู่นาน 2 ทศวรรษ จนกลายเป็นคำพูด “The Two Lost Decades” ซึ่งปัญหาหนี้ของจีนนี้ เราไม่รู้ว่ามีธุรกิจจีนมากน้อยแค่ไหนที่กำลังมีปัญหา ถ้ามีมากจนทำให้เกิดผลกระทบกับเศรษฐกิจโดยรวมของจีนซึ่งเป็นประเทศเศรษฐกิจใหญ่อันดับ 2 ของโลก ก็จะมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกและไทย ปัจจุบันจีนเป็นคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของไทยถ้านับเป็นรายประเทศ
     ผมเขียนบทความนี้แทนที่จะมาต่อเรื่องธุรกิจเด่น-ดับในปี 2557 เพราะว่าอยากให้ท่านผู้อ่านระมัดระวังในการเข้าซื้อหุ้นในช่วงนี้ และอยากให้ทยอยลดพอร์ตการลงทุนลงบ้าง ให้มีสภาพคล่องเหลือไว้ซื้อหุ้นในช่วงไตรมาส 2 ซึ่งผมมั่นใจว่า ตลาดหุ้นน่าจะตกลงมาให้ท่านได้ซื้อของถูกครับ
         ติดตามแนวทางการลงทุนของผมได้ที่ 
กิติชัย เตชะงามเลิศ
                                                                                          19/03/57

Facebook : https://www.facebook.com/VI.Kitichai , 
Twitter     : http://twitter.com/value_talk , 
Instagram : Gid_Kitichai
Google+  : https://www.google.com/+KitichaiTaechangamlert
Youtube   : http://www.youtube.com/user/wittayu9  และ 
Blog         : http://kitichai1.blogspot.com


หรือหนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ทุกวันพุธหน้า B6 หรือหน้า B10 และนิตยสารคนรวยหุัน, Condo Guide, Me(Market Evolution) Glow และ Lisa ทุกเดือน
     



วันพุธที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2557

หุ้นปันผล-ปันผลเป็นหุ้น

                                        หุ้นปันผล-ปันผลเป็นหุ้น

        ที่จริงสัปดาห์นี้ผมควรจะเขียนเรื่อง ธุรกิจเด่น-ดับในปี 2557 ต่อ แต่บังเอิญช่วงนี้เป็นช่วงประกาศจ่ายเงินปันผล หลังจากประกาศผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนทุกบริษัทในตลาดหลักทรัพย์และตลาด MAI บริษัทที่ยังไม่ได้ส่งงบการเงิน ก็จะถูกตลาดหลักทรัพย์ขึ้นเครื่องหมาย NP และ SP เพื่อเตือนนักลงทุนและห้ามซื้อขายในเวลาถัดมา ในฐานะที่เป็นนักลงทุนคนหนึ่ง ผมก็ตั้งหน้าตั้งตาเฝ้ารอดูผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนต่างๆ ที่ผมถือหุ้นอยู่ และบริษัทจดทะเบียนที่แม้ไม่ได้ถือหุ้นแต่เฝ้าติดตามผลประกอบการ เผื่อที่จะลงทุนในอนาคต มีทั้งผิดหวัง สมหวัง และเกินคาดหวังจากผลประกอบการที่เพิ่งประกาศมา และอีกสิ่งหนึ่งที่นักลงทุนทุกท่านรอคอยก็คือ การประกาศจ่ายเงินปันผลของบริษัทที่ตัวเองถือลงทุนอยู่ บางบริษัทก็มีนโยบายจ่ายเงินปันผลปีละครั้ง บางบริษัทก็จ่ายทุกครึ่งปี บริษัทที่ใจดีและมีสภาพคล่องสูง ก็ประกาศจ่ายเงินปันผลปีละ 4 ครั้งเป้นรายไตรมาศ ท่านนักลงทุนควรจะดูประวัติการประกาศจ่ายเงินปันผล ดูวัน XD และ วันที่จ่ายปันผลจริงในอดีตก็พอจะคาดการณ์ของปีนี้ได้ง่ายขึ้น เพราะว่าส่วนใหญ่จะส่งงบและประกาศ XD และวันจ่ายเงินปันผลในช่วงเดือนเดียวกัน แต่อาจจะต่างกันแค่วันที่เท่านั้น ส่วนเงินปันผลจะจ่ายมากน้อย ก็อาจจะย้อนดูว่าอดีต 4-5 ปีที่ผ่านมา บริษัทมีนโยบายจ่ายเงินปันผล (Payout Ratio) คิดเป็นกี่เปอร์เซ็นต์ของกำไรสุทธิ และอ่านนโยบาย Payout Ratio จากรายงาน 56-1 ของบริษัท แล้วนำมาคำนวณจากกำไรสุทธิทั้งปี ซึ่งท่านนักลงทุนก็พอจะทราบผลกำไรงวด 9 เดือนอยู่แล้ว เพียงคาดหมายกำไรของไตรมาส 4 ก็พอจะคาดการณ์เงินปันผลได้พอเลาๆ ท่านนักลงทุนบางท่านนิยมที่จะลงทุนในหุ้นปันผล(หุ้นที่มีการจ่ายปันผลที่มี Dividend Yield สูงๆ ซึ่งก็จะเป็นแนวทางการลงทุนที่อนุรักษ์นิยมดี แต่ท่านควรจะตรวจดูผลประกอบการย้อนหลังสัก 4-5 ปี และอัตราเงินปันผลที่จ่ายว่ามีการเติบโตสม่ำเสมอหรือไม่ ถ้าเป็นบริษัทที่อยู่ในอุตสาหกรรมที่เป็นตะวันตกดิน มีผลประกอบการที่แย่ลงทุกปี ถึงแม้ว่าจะจ่ายปันผลทุกปี หุ้นของบริษัทประเภทนี้ก็ไม่น่าสนใจ ถ้านักลงทุนดูผลประกอบการย้อนหลังแค่ปีเดียว เห็นว่าบริษัทจ่ายปันผลสูง บางครั้งอาจจะเป็นปีที่บริษัทจ่ายปันผลพิเศษ คือนำกำไรสะสมมาจ่ายด้วย หรือปีนั้นบริษัทขายทรัพย์สินของกิจการหรือหุ้นบริษัทในเครือออกไป ได้กำไรมากจึงจ่ายปันผลพิเศษให้ ก็อาจจะทำให้มองภาพการลงทุนของบริษัทนี้ผิดไปได้ ถ้าท่านไม่ได้วิเคราะห์งบการเงินของบริษัทนี้ให้ดีพอ เป็นต้น
          นอกเหนือจากท่านจะต้องวิเคราะห์งบการเงินของบริษัท (ซึ่งควรจะต้องดูย้อนหลังอย่างน้อย 3-5 ปี) แล้ว การคาดหมายเงินปันผลก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่มีผลกระทบกับราคาหุ้นด้วยเช่นกัน โดยหุ้นที่มีผลประกอบการเหมือนกัน แต่บริษัทหนึ่งจ่ายปันผลอีกบริษัทไม่จ่ายปันผล แน่นอนนักลงทุนส่วนใหญ่มักจะเลือกลงทุนในหุ้นที่จ่ายปันผลมากกว่าทำให้ราคาหุ้นและ P/E ของบริษัทแพงกว่าหุ้นที่ไม่จ่ายปันผล นอกจากจ่ายปันผลเป็นเงินสดแล้ว ก็มีหลายๆ บริษัทที่จ่ายปันผลเป็นหุ้น โดยปีนี้เท่าที่ผมนับดูมีสิบกว่าบริษัทที่จ่ายปันผลเป็นหุ้นควบกับปันผลเงินสด ซึ่งเกือบทุกบริษัทที่จ่ายปันผลทั้งหุ้นและเงินสด จำนวนเงินสดที่จ่ายไป ผู้ถือหุ้นมักจะไม่ได้รับ แต่จะได้เพียงแค่หุ้นปันผล ส่วนเงินสดปันผลถูกนำเป็นเงินภาษีหัก ณ ที่จ่ายของปันผลรวมทั้งหมด ซึ่งบริษัทที่ใช้วิธีนี้ ส่วนใหญ่จะมีความต้องการที่จะเก็บเงินสดไว้ใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนกิจการ แต่กลัวว่าผู้ถือหุ้นจะน้อยใจที่ไม่จ่ายปันผลให้

          ที่จริงการจ่ายปันผลเป็นหุ้น ไม่ได้ทำให้ผู้ถือหุ้นได้ประโยชน์อะไรเลย กลับเสียประโยชน์เสียด้วยซ้ำ ผมจะยกตัวอย่างว่าสมมติว่าบริษัท A มีทุนจดทะเบียน 100 ล้านหุ้น ราคา PAR = 1 บาทบริษัทมีกำไรสะสม 20 ล้านบาท ต่อมาบริษัทจ่ายปันผลเป็นหุ้นในอัตรา 10 หุ้นเดิมต่อ1หุ้นปันผล และจ่ายเงินสดปันผลหุ้นละ 0.0111111111 บาท คิดเป็นปันผลรวม (0.10+0.0111111111)=0.1111111111 บาท/หุ้น หรือจ่ายปันผลรวม 11,111,111 บาท แต่ส่งผลกระทบให้ส่วนของผู้ถือหุ้นลดไป 1,111,111 บาทตามเงินปันผลที่เป็นเงินสด แต่ทำให้บริษัท A มีทุนจดทะเบียนเป็น 110 ล้านหุ้น เนื่องจากมีหุ้นปันผลใหม่เพิ่มมา 10 ล้านหุ้น
          คราวนี้เรามาดูกำไรสุทธิ ถ้าบริษัทมีผลกำไรสุทธิปีถัดมาที่ 20ล้านบาท ถ้าปีที่แล้วไม่จ่ายปันผลเป็นหุ้น นั่นหมายถึงจะมีกำไรสุทธิ/หุ้น =0.20 บาท แต่เนื่องจากจ่ายปันผลหุ้น กำไรสุทธิ/หุ้นจึงเหลือเพียง 20,000,000/110,000,000=0.182 บาทเท่านั้น ถ้าให้ P/E 15 เท่า ถ้าปีที่แล้วไม่จ่ายปันผลหุ้น ราคาหุ้นควรจะอยู่ที่ 3 บาท แต่ถ้าปีที่แล้วจ่ายปันผลหุ้น ราคาหุ้นจะอยู่ที่ 2.73 บาท เท่านั้น
          เห็นได้ว่าการจ่ายปันผลเป็นหุ้น+เงินสดไม่ทำให้ผู้ถือหุ้นได้ประโยชน์เลย นอกจากเงินปันผลเป็นเงินสดจะไม่ได้รับแล้ว เพราะถูกนำไปหักเป็นภาษีหัก ที่จ่าย ยังทำให้ส่วนของผู้ถือหุ้นของบริษัทหายไปเท่ากับจำนวนเงินปันผลเงินสด และยังทำให้ราคาหุ้นเมื่อคำนวณด้วย P/E เดียวกันจะมีราคาถูกลง
     สัปดาห์หน้าผมจะมาต่อเรื่องธุรกิจเด่น-ดับ ในปี 2557 ตอนที่ 8 ติดตามอ่านกันนะครับ

กิติชัย เตชะงามเลิศ
                                                                                          12/03/57
หนังสือ "จาก 1 ล้านเป็น 500 ล้าน ผมทำอย่างไร" ยอดขายขื้นอันดับหนื่งตั้งแต่วันแรกจำหน่ายและครองอันดับ 1 ติดต่อกันมานาน

ติดตามแนวทางการลงทุนของผมได้ที่ 
Facebook : https://www.facebook.com/VI.Kitichai
Twitter : http://twitter.com/value_talk 
Youtube : http://www.youtube.com/user/wittayu9
Blog :  http://kitichai1.blogspot.com
Instagram : Gid_Kitichai

หรือหนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ทุกวันพุธหน้า B6 หรือหน้า B10 และนิตยสารคนรวยหุัน, Condo Guide, Stock Review, Me(Market Evolution), Glow และ Lisa  ทุกเดือน
     


สนใจซื้ออสังหาเพื่ออยู่เองหรือเพื่อการลงทุน ลองเข้า http://www.pantipmarket.com/mall/homeproperty

ขายที่ดินในหมู่บ้านวินด์มิลล์ เฟส2 แปลงหัวมุม ด้านหลังติดทะเลสาบ เลขที่ F143 ซอย NORTH 11 พื้นที่ 333 ตารางวา  ม.14ถ.บางนา-ตราด กม.10.5 ต.บางพลีใหญ่ อ.บางพลี  จังหวัดสมุทรปราการ10540 หน้ากว้าง 30 เมตร ยาว 45 เมตร โดยประมาณครับ
เข้าออกได้ 2 ทาง
1. ถนน บางนา  ตราด กม.ที่ 10.5 ใกล้ถนนวงแหวนรอบนอก
2. ถนน กิ่งแก้ว ซอย11 และ ซอย21
ราคา วาละ 35,000 บาท
ด้านหน้า และ ด้านข้างที่ดินแปลงนี้ติด ถนนโครงการ ด้านหลังติดทะเลสาบ, โครงการมีสนามกอล์ฟ, สนามเทนนิส, สระว่ายน้ำและสโมสรสมบูรณ์แบบ อยู่ใกล้จุดขึ้นลงทางด่วน ABAC2 ราม2 ม.หัวเฉียว 2 โรงพยาบาล และห่างจากสนามบินหนองงูเห่าเพียง 5 ก.ม. พร้อมเพื่อนบ้านมีระดับ อาทิเช่น คุณ ธนินทร์ เจียรวนนท์ เป็นต้น

กทม.จะพัฒนาระบบขนส่งมวลชนขนาดรองระบบรถไฟฟ้ารางคู่ขนาดเบาสายบางนา-สุวรรณภูมิ เชื่อมต่อ BTS บางนา  มีระยะทางประมาณ 18.3 กิโลเมตร คาดเริ่มก่อสร้างปี 2557 ระยะเวลา3ปี ใช้งบประมาณ 25,000 ล้านบาท 

สนใจติดต่อ :  
e-mail :  gid1998@gmail.com

วันอังคารที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2557

ธุรกิจเด่น-ดับในปี 2557 ตอนที่ 7

ธุรกิจเด่น-ดับในปี 2557 ตอนที่ 7

          หลังจากกรุงเทพถูก Shut Down โดย กปปส. มาตั้งแต่วันที่ 13 มกราคม ลุงกำนันใจดีเลิก Shut Down เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา แต่ภาวะความไม่แน่นอนทางการเมืองยังมีอยู่ ไม่ว่าจะเป็นสถานะของรัฐบาลรักษาการ และการเลือกตั้งสสเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ จะเป็นโมฆะหรือไม่ คงจะต้องรอฟังคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ รวมทั้งกรณีทุจริตจำนำข้าว ชาวนาจำนำข้าวแล้วไม่ได้เงินจนต้องออกมาเดินขบวน และฆ่าตัวตายไปหลายราย ซึ่งทางปปช. ได้ชี้มูลความผิดของนายกด้วย กำลังรอนายกมาชี้แจง ส่วนกลุ่มเสื้อแดงที่เงียบไปพักหนึ่ง  ก็เริ่มมีการนัดชุมนุมรวมถึงไปปิดสถานที่ทำงานขององค์กรอิสระต่างๆ เพื่อปกป้องครม.ชุดนี้อย่างเต็มที่ ทั้งยังระดมรับสมัครการ์ดจำนวนมากมายคงเตรียมพร้อมที่จะนัดชุมนุมใหญ่เร็วๆ นี้ เพื่อกดดันองค์กรกลาง และมีการเลยเถิดถึงขั้นปลุกระดมให้มีการแบ่งแยกประเทศเป็นประเทศสาธารณรัฐอีสานล้านนา ซึ่งผิดกฎหมายรัฐธรรมนูญอย่างชัดเจนในข้อที่ว่า ประเทศไทยเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน แบ่งแยกมิได้ สิ่งที่ผมกลัวที่สุดก็คือ ม็อบชนม็อบก่อให้เกิดความวุ่นวายและสูญเสียซึ่งจะทำให้ทหารต้องออกมารักษาความสงบ แต่คราวนี้น่าจะไม่จบง่าย ผมคิดว่าเราจะเห็นหน่วยใต้ดินของกลุ่มเสื้อแดงก่อความวุ่นวายเป็นหย่อมๆ ทั่วทั้งประเทศ โดยเฉพาะในบริเวณกรุงเทพและปริมณฑล ภาคเหนือ และภาคอีสาน ซึ่งแน่นอนจะต้องส่งผลกระทบกับเศรษฐกิจไทยโดยรวม ต่างชาติคงไม่กล้าเข้ามาลงทุน นักท่องเที่ยวก็คงไม่เข้ามาเที่ยวในประเทศของเรา สิ่งเหล่านี้จะส่งผลไปให้ตลาดหุ้นของเราหมดเสน่ห์ ประกอบกับผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนที่ประกาศออกมาเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ โดยเฉลี่ยแย่กว่าที่ Analyst Consensus  คาดการณ์ไว้ ผมมั่นใจว่าเราจะเห็นการปรับคาดการณ์ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนลงอีก ยิ่งเรามีรัฐบาลใหม่ช้ามากเท่าใด อัตราการเติบโตของ GDP ของไทยก็จะยิ่งลดลงไปมากเท่านั้น ด้วยดัชนีที่ขึ้นมาเหนือระดับ 1,340 จุด ซึ่งผมคิดว่าไม่ใช่ระดับราคาที่น่าลงทุนเมื่อดูปัจจัยต่างๆ ประกอบ ผมยังยืนยันว่าตลาดหุ้นไทยควรซื้อขายด้วย Discount เมื่อเทียบกับตลาดหุ้นของประเทศเพื่อนบ้าน ที่ไม่มีปัญหาทางด้านเสถียรภาพการเมือง ดังนั้น ณ ระดับราคาในขณะนี้ท่านควรจะพยายามลดพอร์ตการลงทุน และดำรงสภาพคล่องไว้เวลาเกิดข่าวร้ายขึ้นมาจะได้มีเงินไว้ช้อนซื้อหุ้นดีๆ เก็บเข้าพอร์ต อย่างเช่น หุ้นกลุ่มเด่นเรือที่ผมเคยแนะนำไปในฉบับวันที่ 5 กุมภาพันธ์ ปัจจุบันก็ขึ้นมามากกว่า 40% แล้ว ในช่วงระยะเวลาเพียงเดือนเดียว ณ ระดับราคานี้ ความน่าสนใจในระยะสั้นลดลง
          เรามาต่อธุรกิจดับในปี 2557 กันต่อครับ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ถึงแม้ว่าหลายๆ บริษัทจะมียอด Backlog ตุนไว้ค่อนข้างมากจากปี 2555-2556 แต่ที่ผมเป็นห่วง คือ เมื่อโครงการอสังหาริมทรัพย์ของบริษัทเหล่านี้สร้างเสร็จ แต่ลูกค้าไม่สามารถจะโอนได้ เพราะว่าถูกปฏิเสธการให้สินเชื่อจากสถาบันการเงิน โดยเห็นได้จากข่าวตามหน้าหนังสือพิมพ์เมื่อเร็วๆ นี้ ถึงแม้ว่าราคาอสังหาริมทรัพย์โดยเฉพาะคอนโดมิเนียมที่มีราคาสูงขึ้นกว่าช่วงสมัยที่เปิดโครงการแรกๆ เจ้าของโครงการคงจะนำยูนิตที่มีปัญหาเรื่องการโอนอันเนื่องมาจากการปฏิเสธสินเชื่อมาลดราคา เพียงแค่ขายในราคาเดียวกับระดับราคาตอนที่เริ่มขายโครงการใหม่ๆ หรือนำเงินดาวน์ที่ยึดจากลูกค้าที่ไม่สามารถจะโอนได้มาเป็นส่วนลดเพิ่มให้กับว่าที่ลูกค้ารายใหม่ ก็อาจจะทำให้ปิดการขายได้ง่ายขึ้น แต่คงต้องใช้เวลาพอสมควร ยิ่งถ้ามีจำนวนยูนิตที่มีปัญหาเป็นจำนวนมาก ยิ่งต้องใช้เวลามากขึ้น ความไม่มีเสถียรภาพทางการเมือง กลายเป็นตัวยับยั้งภาวะฟองสบู่อสังหาริมทรัพย์โดยเฉพาะคอนโดไปในตัว ช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา ราคาคอนโดมิเนียมถ้าเราดูจากราคาต่อตารางเมตรจะเห็นได้ชัดว่า ขึ้นมาค่อนข้างมากจากเดิมราคาคอนโดย่านสุขุมวิทตอนต้นถึงทองหล่อราคาต่อตารางเมตรแค่ 70,000-100,000 ในขณะที่ปัจจุบันถูกสุดก็เริ่มต้นที่ 120,000 บาทต่อตารางเมตรแล้ว บางโครงการราคาต่อตารางเมตรปาเข้าไปถึง 200,000 บาท ซึ่งสาเหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะว่าต้นทุนไม่ว่าจะเป็นที่ดินที่มีราคาแพงขึ้น ปัจจุบันที่ดินริมถนนสุขุมวิทตั้งแต่ซอย 1 จนถึงทองหล่อราคาไม่ต่ำกว่า 1.20 ล้านบาท/ตารางวา บางทำเลเรียกราคาได้ถึง 1.50 ล้านบาทเสียด้วยซ้ำ เพราะว่าที่ดินย่านนี้มีจำกัด และได้ถูกนำไปพัฒนาเป็นโรงแรม ห้างสรรพสินค้า Office Building และคอนโดมิเนียมเป็นจำนวนมาก จึงมีพื้นที่เหลือน้อย รวมทั้งต้นทุนในการก่อสร้างสูงขึ้น เนื่องจากนโยบายค่าแรง 300 บาทและเงินเดือนคนจบปริญญาตรี 15,000 บาท พลอยทำให้ราคาวัสดุก่อสร้างสูงขึ้นไปด้วย ทำให้คอนโดซึ่งเป็นอสังหาริมทรัพย์ที่ต้องใช้ปริมาณแรงงานและวัสดุก่อสร้างต่อยูนิตมากกว่าอสังหาริมทรัพย์แนวราบ ก็มาเล่นโดยใช้ Sizing ทำห้องให้เล็กลง จากเดิม 1 ห้องนอนสมัยก่อนห้องขนาดประมาณ 40 ตารางเมตร ปัจจุบัน 1 ห้องนอนมีขนาดเหลือประมาณ 30 ตารางเมตร ส่วนห้องสตูดิโอ ปัจจุบันหดเหลือขนาดประมาณ 20 ตารางเมตรเท่านั้น

          ติดตามอ่านธุรกิจเด่น-ดับในปี 2557 ต่อในฉบับหน้านะครับ
กิติชัย เตชะงามเลิศ
                                                                                          07/03/56
หนังสือ "จาก 1 ล้านเป็น 500 ล้าน ผมทำอย่างไร" ยอดขายขื้นอันดับหนื่งตั้งแต่วันแรกจำหน่ายและครองอันดับ 1 ติดต่อกันมานาน

ติดตามแนวทางการลงทุนของผมได้ที่ 
Facebook : https://www.facebook.com/VI.Kitichai
Twitter : http://twitter.com/value_talk 
Youtube : http://www.youtube.com/user/wittayu9
Blog :  http://kitichai1.blogspot.com
Instagram : Gid_Kitichai

หรือหนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ทุกวันพุธหน้า B6 หรือหน้า B10 และนิตยสารคนรวยหุัน, Condo Guide, Stock Review, Me(Market Evolution), Glow และ Lisa  ทุกเดือน
     

สนใจซื้ออสังหาเพื่ออยู่เองหรือเพื่อการลงทุน ลองเข้า http://www.pantipmarket.com/mall/homeproperty

      Tree condo Prasarnmit

ขาย Tree Condo Prasarnmit (ทรี คอนโด ประสานมิตร) ยูนิต เป็นคอนโด High Rise สูง 33 ชั้น ตำแหน่งที่ตั้งจะอยู่ติดกับประตู ที่เป็นทางเข้า-ออกมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร (มศว) 
 Facilities :
นวัตกรรมระบบจอดรถอัตโนมัติ
• สระว่ายน้ำระบบเกลือพร้อม Jacuzzi
• Fitness Room / Steam Rooms
• Study Lounge / Sky Garden
 ชั้น 18,22,27 และ 30
• Free Wi-Fi Internet ครอบคลุมทุกพื้นที่ส่วนกลาง
• ระบบรักษาความปลอดภัยอัจฉริยะ
การใช้พื้นที่ส่วนกลางจะไม่วุ่นวายมากนักเพราะมียูนิตแค่ 131 ยูนิตเท่านั้น
• ตกแต่งครบด้วยเฟอร์นิเจอร์ ชุดครัว และสุขภัณฑ์จากแบรนด์ชั้นนำ*
 วัสดุและเฟอร์นิเจอร์ของห้องตัวอย่างที่ได้ไปดูมานั้นถือว่าจัดมาให้ค่อนข้างคุ้มถ้าเทียบกับราคา เพราะขายแบบ Fully Furnishedแถมม่านด้วย ม่านแบบ ชั้น
พื้นห้องจะเป็น Engineering Wood Floor
ท๊อปเคาน์เตอร์ครัวเป็นหินสังเคราะห์สีดำ และ จัดเฟอร์นิเจอร์ลอยตัวให้ครบชุด 
เฟอร์นิเจอร์ที่ให้มามีการออกแบบและคุณภาพอยู่ในเกณฑ์ดี เช่นการเก็บมุมตู้แบบ 45 องศาทำให้งานดูเรียบร้อยและดูหรูหรามากขึ้นSoft Close จะมีมาให้ทุกบาน
*เฉพาะห้องที่กำหนดเท่านั้น **ภาพจำลองเพื่อการโฆษณาเท่านั้น ทางบริษัทขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดตามที่ระบุไว้ โดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า
ห้องที่จะขาย
1.P14D ชั้น14 ขนาดห้อง 35ตรม ห้องtype D นอน 1น้ำ ราคา 4,500,000 บาท
2.P14E  ชั้น14 ขนาดห้อง 35ตรม ห้องtype E นอน 1น้ำ ราคา 4,500,000 บาท
3.P14C  ชั้น14 ขนาดห้อง 32ตรม ห้องtype C 1 นอน 1น้ำ ราคา 4,200,000 บาท

4.P14G  ชั้น14 ขนาดห้อง 57ตรม ห้องtype G ราคา 7,200,000 บาท เห็นวิวสองด้าน(ด้าน มศว เเละ ด้านสุขุมวิท) 1 + 1 Bedroom (1 ห้องนอน + ห้องอเนกประสงค์) +1น้ำ ที่โครงการตั้งชื่อแบบนี้ก็เพราะว่าห้องนี้ยังคงเป็น ห้องนอน แต่จะมีห้องอเนกประสงค์เพิ่มมาให้อีก ห้อง ตัวห้องอเนกประสงค์นั้นจะเชื่อมต่อกับห้องนั่งเล่นด้วยบานกระจกเลื่อน ตอนขนาดใหญ่ เเต่สามารถทําห้องอเนกประสงค์นี้เป็นห้องนอนเล็กได้

5.P22C  ชั้น22 ขนาดห้อง 74ตรม ห้องtype C 2 นอน 2น้ำ 2ระเบียง พร้อมสวนลอยฟ้าส่วนตัวเห็นวิวสองด้าน ราคา 9,800,000 บาท

ดู VDO ที่ผมถ่ายภายในห้อง ที่ http://youtu.be/WOndBT-4dfo