จาก1ล้านเป็น500ล้านผมทำอย่างไร

จาก1ล้านเป็น500ล้านผมทำอย่างไร
เล่าประสบการณ์การลงทุนของผมที่นำไปใช้ได้ง่ายๆ

วันพุธที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2557

ธุรกิจเด่น-ดับในปี 2557 (ตอนจบ)

ธุรกิจเด่น-ดับในปี 2557 (ตอนจบ)

          เรามาต่อเรื่องธุรกิจดับในปี 2557 กันครับ
          6. เฟอร์นิเจอร์ จากการที่ปีนี้ยอดขายอสังหาริมทรัพย์แย่ลง จากภาวะไร้เสถียรภาพทางการเมือง โดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงการแนวสูงหรือคอนโดนั่นเอง นอกจากยอดขายPresaleจะลดลงแล้ว ผู้บริโภคบางส่วนเลื่อนการ Renovate ออกไป ทางด้านส่งออกจากค่าแรงที่สูงขึ้นทำให้ความสามารถในการแข่งขันของผู้ผลิตเฟอร์นิเจอร์ไทยลดลง
          7. เครื่องหนัง นอกจากจะทำเป็นเครื่องนุ่งห่มแล้ว ก็ยังเป็นส่วนหนึ่งของรถยนต์จากยอดขายรถยนต์ในประเทศที่ลดลง เนื่องจากผลกระทบของโครงการรถคันแรกของรัฐบาลเพื่อไทยยังไม่หมดลง ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ถดถอยลงมาตลอด ทำให้กลุ่มอุตสาหกรรมเครื่องหนังไทยได้รับผลกระทบ ถึงแม้ยอดส่งออกรถยนต์ยังพอไปได้อยู่ก็ตาม โดยสัดส่วนยอดขายรถยนต์ในประเทศและส่งออกมีสัดส่วนที่ใกล้เคียงกัน
          8. สิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม อุตสาหกรรมนี้จัดเป็นอุตสาหกรรมตะวันตกดินมานานแล้วจากการที่เพื่อนบ้านไม่ว่ากัมพูชา เวียดนาม ฯลฯ ซึ่งมีค่าแรงถูกกว่าเรามาก ทำให้การส่งออกของกลุ่มนี้ต้องเจาะไปใน Segment ที่มีมูลค่าสูงหน่อย เพื่อหลีกเลี่ยงการแข่งขันกับผู้ส่งออกของประเทศเพื่อนบ้านเหล่านั้น ส่วนความต้องการภายในประเทศเองก็กระทบจากผู้บริโภคยังไม่มีMoodที่จะช็อปปิ้ง รวมทั้งหนี้ครัวเรือนต่อ GDP ของไทยเราค่อนข้างสูง และการเข้ามาของแบรนด์นอกทั้งของยุโรปอเมริกาและเอเชียต่างๆ อย่างเช่น H&M ZARA GAP UNIQLO ฯลฯ ซึ่งผมเองก็เป็นลูกค้าของแบรนด์เหล่านี้เช่นกัน เนื่องจากเสื้อผ้าแบรนด์เหล่านี้ มีดีไซน์ที่ทันสมัย และมีสีสันให้เลือกหลากหลายกว่าแบรนด์ในประเทศ แล้วราคายังถูกกว่า Local designer brand เสียอีก อย่างเช่น กางเกงยีนส์ของ H&M ตัวละประมาณ 1,000 บาทเท่านั้นในขณะที่แบรนด์ในประเทศบางแบรนด์ตั้งราคา กว่า2,000 บาท โดยที่คุณภาพและดีไซน์ไม่แตกต่างกันเท่าใดนัก ถ้าอุตสาหกรรมผลิตเครื่องนุ่งห่มในไทยไม่ปรับตัวหา Segment ที่เป็น Niche ที่พอจะแข่งขันได้ อนาคตของอุตสาหกรรมนี้ก็ดูจะมืดมนเลยทีเดียว นอกจากนั้นแบรนด์นอกเหล่านี้ วางตัวเองอยู่ในระดับ MASSTIGE (Massive + Prestige)  คือเป็นสินค้าที่มีรูปลักษณ์แบรนด์ที่ดี แต่ราคาสามารถจับต้องได้ อย่างเช่น Zara ซึ่งเป็นสินค้าแฟชั่นจากสเปนที่สามารถครองใจนักซ็อปหนุ่มสาวทั่วโลกได้ จนทำให้เจ้าของ Zara ติดอันดับมหาเศรษฐีโลก จากการที่ผลิตครั้งละจำนวนมากๆ ต่อดีไซน์หนึ่งๆ ทำให้ต้นทุนค่าใช้จ่ายต่อชิ้นต่ำลง ทำให้แบรนด์เหล่านี้เมื่อเจาะเข้าไปในประเทศใดๆ  ล้วนแล้วแต่ประสบความสำเร็จ แล้วแบรนด์เหล่านี้ก็พยายามจับเอา Designer  ชื่อดังมาช่วยออกแบบในบาง Collection เช่น ล่าสุด H&M ได้เชิญ Alexander Wang มาช่วยออกแบบให้ 1 Collection ซึ่งอดีต H&M ก็เคยเชิญให้ Karl Lagerfeld,  มาช่วยออกแบบให้บาง  Collection ในอดีต    ซึ่งวิธีนี้ทำให้ภาพพจน์ของแบรนด์ดูดี สามารถที่จะ Upscale H&M ได้เป็นอย่างดี นอกจากเสื้อผ้าแล้ว แบรนด์เหล่านี้ก็เริ่มแตกไลน์ไปยัง Home Accessories ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นผ้าปูโต๊ะ ชุดจานชามช้อนซ้อม ฯลฯ ซึ่ง Zara เองก็ทำได้ดีจนประสบความสำเร็จในระดับหนึ่ง ยังดีที่บางแบรนด์ยังมีสาขาอยู่ในกรุงเทพเท่านั้น ผมเชื่อว่าอีกไม่นาน กลุ่มแบรนด์นอกเหล่านี้ คงจะขยายสาขาไปยังจังหวัดใหญ่ๆ อย่างเช่น เชียงใหม่ โคราช อุดรธานี ขอนแก่น ซึ่งบางจังหวัดไว้รองรับ AEC ที่จะเริ่มมีผลบังคับใช้ปลายปีหน้า
          9. เครื่องใช้ไฟฟ้า (ยกเว้น TV) ก็จะเป็นสินค้ากึ่งคงทนอีกประเภทหนึ่งที่ผู้บริโภคจะเลื่อนการซื้อเครื่องใหม่เพื่อทดแทนเครื่องเก่า เนื่องจากเศรษฐกิจที่ฝืดเคือง ราคาพืชผลทางเกษตรที่ตกต่ำโดยเฉพาะข้าว จากนโยบายจำนำข้าวในราคาที่สูงกว่าราคาตลาดมากเกินไป เพื่อหวังจะได้คะแนนเสียงจากฐานเสียงเหล่านี้ มีข้าวอยู่ในโกดัง ซึ่งปัจจุบันเน่าเสียไปเท่าไรแล้ว ไม่มีใครรู้ ข้าวเก่ายังไม่ได้ขาย ข้าวใหม่ก็เตรียมจะเข้ามาในตลาดอีก แล้วราคาข้าวจะร่วงลงไปอีกเท่าไหร่ ไม่มีใครคาดได้ หนี้สินชาวนาและรากหญ้ายังรกรุงรังแบบนี้ พวกขายสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าเงินผ่อน นอกจากยอดขายจะตก หนี้เสียหนี้สูญคงจะต้องมากขึ้นไปอีก ยกเว้น TV ที่ปีนี้มี 2 เหตุผลใหญ่ที่จะทำให้คนเปลี่ยนหรือซื้อ TV มากขึ้น จากปีนี้ที่จะมีการแข่งขันฟุตบอลโลก ซึ่งคนไทยถือว่าเป็นชาติที่มีคอบอลหนาแน่นมากที่สุดประเทศหนึ่งในโลกใบนี้ และเดือนเมษายนนี้เป็นเดือนที่เริ่มมีการออกอากาศสัญญาณ Digital TV ซึ่งจนถึงวันนี้ทาง กสทช. ยังตกลงเงื่อนไขของคูปองลดราคาว่าจะมีค่ากี่บาทและมีเงื่อนไขอย่างไรบ้าง จริงๆ แล้วมีเวลาตั้งนานในช่วงที่ผ่านมา ผมไม่เข้าใจว่าทำไมถึงไม่คุยกันถึงเรื่องนี้ ถ้านับจากวันประมูล Digital TV มาถึงปัจจุบันก็เป็นเวลา 4 เดือนเข้าไปแล้ว และเรื่องนี้ไม่นับว่าเป็นเรื่องใหญ่โตอะไรมาก เมื่อเทียบกับเรื่องอื่นๆ ราคาและเงื่อนไขของคูปองควรจะสรุปได้ภายในกลางเดือนมีนาคมและเริ่มแจกคูปองให้ประชาชนได้ตั้งแต่ต้นเมษายนที่ผ่านมา ให้ทันกับการออกอากาศ
          10. เครื่องประดับ โดยเฉพาะธุรกิจรายที่ขายภายในประเทศเป็นหลักน่าจะได้รับผลกระทบกระเทือนจากภาวะที่ผู้บริโภคไม่มีMoodในการซ็อปปิ้งกอรปกับภาวะเก็งกำไรในอสังหาริมทรัพย์ที่สะดุดลงตามเหตุผลในบทความฉบับก่อน ยังโขคดีที่ตลาดหุ้นไทยมีการฟื้นตัวค่อนข้างดีเมื่อเทียบกับเศรษฐกิจที่ทรุดต่ำลง อย่างไรก็ตามถ้าเรายังไม่สามารถมีรัฐบาลที่แท้จริงภายในไตรมาส 3 ปีนี้ ธุรกิจเครื่องประดับต้องโดนผลกระทบตามไปด้วยอย่างแน่นอน

          ก่อนจบอย่าไปเชื่อใครเขาบอกนะครับว่า ชาเขียวที่ดีต้องเก็บบนยอดดอย แล้วเจอกันใหม่ในฉบับหน้าครับ

ธุรกิจเด่น-ดับ ในปี 2557 ตอนที่ 1, http://kitichai1.blogspot.com/2014/01/2557-1.html
ธุรกิจเด่น-ดับ ในปี 2557 ตอนที่ 2, http://kitichai1.blogspot.com/2014/01/2557-2.html
ธุรกิจเด่น-ดับ ในปี 2557 ตอนที่ 3, http://kitichai1.blogspot.com/2014/02/2557-3.html
ธุรกิจเด่น-ดับ ในปี 2557 ตอนที่ 4,http://kitichai1.blogspot.com/2014/02/2557-4.html
ธุรกิจเด่น-ดับ ในปี 2557 ตอนที่ 5, http://kitichai1.blogspot.com/2014/02/2557-5.html
ธุรกิจเด่น-ดับ ในปี 2557 ตอนที่ 6, http://kitichai1.blogspot.com/2014/02/2557-6.html
ธุรกิจเด่น-ดับในปี 2557 ตอนที่ 7, http://kitichai1.blogspot.com/2014/03/2557-7.html
ธุรกิจเด่น-ดับในปี 2557 ตอนที่ 8, http://kitichai1.blogspot.com/2014/03/2557-8.html
ธุรกิจเด่น-ดับ ในปี 2557 ตอนที่ 9, http://kitichai1.blogspot.com/2014/04/2557-9.html

กิติชัย เตชะงามเลิศ
                                                                                          23/04/57


ติดตามแนวทางการลงทุนของผมได้ที่ 
Facebook : https://www.facebook.com/VI.Kitichai
Twitter : http://twitter.com/value_talk 
Youtube : http://www.youtube.com/user/wittayu9
Blog :  http://kitichai1.blogspot.com
Instagram : Gid_Kitichai

หรือหนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ทุกวันพุธหน้า B6 หรือหน้า B10 และนิตยสารคนรวยหุัน, Condo Guide, Stock Review, Me(Market Evolution), Glow และ Lisa  ทุกเดือน
     

วันพฤหัสบดีที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2557

ระเบิดเวลาที่รอบอมบ์ตลาดหุ้นไทย

ระเบิดเวลาที่รอบอมบ์ตลาดหุ้นไทย

          หลังจากเล่นน้ำสงกรานต์ด้วยความสนุกสนาน เรากลับกันมาดูที่ตลาดหุ้นบ้านเรากันต่อ ถ้าเรามาดูสถิติการซื้อขายของต่างชาติจะเห็นว่าเดือนพฤษภาคมและมิถุนายน มักจะเป็นช่วงที่นักลงทุนต่างชาติมีการปรับพอร์ตการลงทุนซึ่งพลอยทำให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงตามไปด้วย ประกอบกับคำตัดสินขององค์กรกลางในหลายๆ เรื่องที่จะประดังกันมาในช่วงปลายเดือนเมษายนถึงเดือนพฤษภาคม และผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นถ้ามีการปะทะกันของมวลขน 2 ฝ่าย ระหว่าง กปปส. กับ นปช. เราจะเห็นได้ว่ายังมี Unknown Factors รออยู่มากบางในช่วงเวลาใกล้ๆ นี้ ประกอบกับตัวเลขหนี้ครัวเรือนต่อ GDP ของไทย เราที่คาดว่าจะขึ้นไปถึง 84% ภายในสิ้นปีนี้ ติดตามมาเลเซียเข้าไปอย่างใกล้ชิด โดยมาเลเซียเริ่มทรงตัวที่ 88% แล้ว โดยธนาคารพาณิชย์ในมาเลเซียเริ่มโดนลด Credit Rating จากสถาบัน S&P ลง
เนื่องจากสัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อ GDP อยู่ในระดับที่สูง แล้ว Sovereign Credit Rating ของประเทศไทยรวมทั้ง Credit Rating ของธนาคารพาณิชย์ไทยจะโดนลดหรือปรับมุมมองในทางที่แย่ลงหรือไม่ เป็นเรื่องที่เราคงต้องติดตามกันต่อไป รวมทั้งอีก 4 เรื่องที่จะเป็นระเบิดเวลารอบอมบ์ตลาดหุ้น คือ
1. อัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ซึ่งปัจจุบันจัดเก็บในอัตรา 7% ซึ่งเป็นอัตราที่ลดลงจากอัตราที่ตั้งไว้ 10% ซึ่งจะมีผลถึงวันที่ 30 กันยายน 2557 นี้เท่านั้น ซึ่งต้องรอดูว่าทางกกต. จะอนุมัติตามคำขอขยายเวลาการใช้อัตรา 7% ต่อไปอีก 1 ปี ของกระทรวงการคลังหรือไม่ ซึ่งญี่ปุ่นเองก็เพิ่งจะปรับขึ้นภาษีผู้บริโภคจากอัตรา 5% เป็น 8% เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2557 และจะปรับขึ้นเป็น 10% ในเดือนตุลาคม 2558 ซึ่งคงส่งผลให้ GDP ของญี่ปุ่นมีการหดตัวลงจากผลกระทบอันนี้เพราะว่า ผู้คนจะรู้สึกว่าสินค้าและบริการแพงขึ้น แต่ช่วงเดือนมีนาคมยอดค้าปลีกของญี่ปุ่นดีขึ้นทันตาเห็น จากการที่ผู้บริโภคเร่งจับจ่ายใช้สอย ซื้อสินค้าและบริการไว้ล่วงหน้า ลองคิดดูสิครับถ้าท่านกำลังจะตัดสินใจซื้อนาฬิกาหรูเรือนละ 1 ล้านเยน นั่นหมายความว่าราคานาฬิกาที่ยังไม่รวมภาษีผู้บริโภค =  = 952,380.95 เยน พอภาษีผู้บริโภคเปลี่ยนเป็น 8% ผู้บริโภคต้องซื้อนาฬิกาเรือนเดียวกันหลังวันที่ 30 มีนาคม 2557 ที่ราคา 1.08 x 952,380.95 = 1,028.571.43 เยน ซึ่งพ่อค้าคงปรับราคาเป็นตัวเลขกลมๆ ที่ 1,030,000 นั่นหมายความว่า ผู้บริโภคต้องควักกระเป๋าจ่ายเงินค่าซื้อนาฬิกาแพงขึ้นอีกประมาณ 3% ซึ่งถ้ากกต.ไม่อนุมัติ สถานการณ์อย่างนี้ก็คงเกิดขึ้นที่ประเทศไทยเช่นกัน คนที่จะได้รับผลกระทบนี้เต็มๆ ก็คือ รากหญ้าที่หาเช้ากินค่ำคงต้องเดือนร้อน ชักหน้าไม่ถึงหลังมากขึ้น หนี้ครัวเรือนที่ปัจจุบันสูงอยู่แล้วก็จะยิ่งสูงขึ้นไปอีก ฐานะและรายได้ของคนไทยต่ำกว่าคนญี่ปุ่นอยู่มาก ยิ่งจะได้รับผลกระทบมากกว่า อนึ่งใน ASEAN ส่วนใหญ่จัดเก็บอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มกันที่ 10% ในขณะที่ฟิลิปปินส์เป็นประเทศที่จัดเก็บสูงสุดที่อัตรา 12%
2. การจัดเก็บภาษีเงินได้นิติบุคคลที่ปัจจุบันเรียกเก็บในอัตรา 20% จากระดับปกติที่ 30% ซึ่งจะครบกำหนดที่เรียกเก็บในอัตราส่วนลดนี้ในสิ้นปี 2557 ซึ่งทางกระทรวงการคลังได้ทำเรื่องขอขยายเวลาไปอีก 1 ปี กับทางกกต.อีกเช่นกัน มิฉะนั้นจะทำให้ผลประกอบการของนิติบุคคล ซึ่งก็รวมถึงบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์และ MAI จะมีผลกำไรลดลงทันทีในปีหน้า ผมขอยกตัวอย่างให้เห็นภาพได้ขัดเจนมากขึ้น สมมติว่าบริษัทกำไรก่อนหักภาษีปี 57 และปี 58 ที่ 100 บาท ปี 57 เสียภาษี 20% ในขณะที่ปี 58 เสียภาษี 30%  กำไรสุทธิหลังหักภาษีปี 57 จะเท่ากับ 80 บาท ขณะที่ปี 58 กำไรจะเหลือเพียง 70 บาท
          จะเห็นได้ว่ากำไรปี 58 เทียบกับปี 57 ลดลงถึง 12.50% ซึ่งมากกว่าอัตราภาษีที่ขึ้นเพียง 10% จาก 20% เป็น 30% กลุ่มนักวิเคราะห์คงต้องปรับประมาณการณ์ผลกำไรของบริษัทจดทะเบียนลง และผมเชื่อว่า จะมีการปรับขึ้นราคาของสินค้าและบริการกันแน่นอน เพราะว่านักธุรกิจคงไม่อยากเห็นกำไรของบริษัทลดลง
          3. EU ได้เริ่มตัดสิทธิทางศุลกากร (GSP) สินค้าไทยบางรายการไปตั้งแต่ 1 มกราคม 2557 และจะตัดสิทธิ GSP ทุกรายการสินค้าตั้งแต่ วันที่ 1 มกราคม 2558 เป็นต้นไป เนื่องจากระบบ GSP ใหม่ของ EU ได้ยกเลิกการให้ GSP กับประเทศที่อยู่ในกลุ่มรายได้ระดับ Upper Middle Income ซึ่งปัจจุบันธนาคารโลกได้จัดให้ประเทศไทยอยู่ในกลุ่มนี้ติดต่อกันมา 3 ปีแล้ว ลองค้นหาข้อมูลกันดูนะครับเผื่อว่าบริษัทจดทะเบียนที่ท่านถือหุ้นอยู่ อาจจะผลิตสินค้าที่จะถูกยกเลิก GSP ในปีหน้าซึ่งแน่นอนต้องมีผลกระทบทำให้ราคาสินค้าเหล่านี้แพงขึ้น ในสายตาผู้นำเข้าในประเทศกลุ่ม EU ถ้าประเทศคู่แข่งเรายังได้สิทธิ GSP อยู่ โอกาสที่ผู้นำเข้าสินค้าเหล่านี้ จะเปลี่ยนใจไปซื้อจากประเทศคู่แข่ง มีความเป็นไปได้สูง
          4. สิทธิประโยชน์ทางภาษีของกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) ซึ่งจะหมดอายุในปี 2559 ถ้าไม่มีการขยายเวลาออกไป เม็ดเงินที่อยู่ในกองทุน LTF ที่มากกว่า 200,000 ล้านบาท จะเป็นลูกระเบิดเวลาลูกใหญ่ที่จะถล่มตลาดหุ้นไทยในปีหน้าเป็นแน่ ซึ่งจะพลอยทำให้ธุรกิจบริษัทหลักทรัพย์จดทะเบียนกองทุนรวมมีโอกาสเติบโตติดลบ จากการที่ผู้ถือหน่วยลงทุนในกองทุน LTF ส่วนใหญ่ซื้อเพื่อลดหย่อนภาษี เมื่อลดหย่อนไม่ได้ ผู้เสียภาษีส่วนใหญ่คงจะไม่ซื้อกองทุนกัน

          ว่าจะเขียนเรื่องธุรกิจเด่น-ดับ ต่อแต่เนื้อที่หมดเสียก่อนขอยกยอดไปเขียนต่อฉบับหน้านะครับ

กิติชัย เตชะงามเลิศ
                                                                                          16/04/57
หนังสือ "จาก 1 ล้านเป็น 500 ล้าน ผมทำอย่างไร" ยอดขายขื้นอันดับหนื่งตั้งแต่วันแรกจำหน่ายและครองอันดับ 1 ติดต่อกันมานาน

ติดตามสาระดีๆและแนวทางการลงทุนของผมได้ที่ 

Facebook : https://www.facebook.com/VI.Kitichai , 
Twitter     : http://twitter.com/value_talk , 
Instagram : Gid_Kitichai
Google+  : https://www.google.com/+KitichaiTaechangamlert
Youtube   : http://www.youtube.com/user/wittayu9  และ 
Blog         : http://kitichai1.blogspot.com


หรือหนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ทุกวันพุธหน้า B6 หรือหน้า B10 และนิตยสารคนรวยหุัน, Condo Guide, Glow, Me(Market Evolution) และ Lisa ทุกเดือน
     

สนใจซื้ออสังหาเพื่ออยู่เองหรือเพื่อการลงทุน ลองเข้า http://www.pantipmarket.com/mall/homeproperty

"จาก 1 ล้าน เป็น 500 ล้าน ต้องทำอย่างไร" MILLIONAIRE COURSE "จาก 1 ล้าน เป็น 500 ล้าน ต้องทำอย่างไร" "การลงทุน คือ... ปัจจัยที่ 5 สำหรับคนรวย" ...คุณกิติชัย เตชะงามเลิศ... ผู้แต่งหนังสือขายดีติดอันดับ 1 ทั่วประเทศ "จาก 1 ล้าน เป็น 500 ล้าน ผมทำอย่างไร"
...ประโยคทองคำที่ออกจากปากเศรษฐี เพียงประโยคเดียวอาจพลิกชีวิตเราได้เลย...
"เครื่องมือที่คนรวยใช้มีอยู่ 3 อย่าง คือ ธุรกิจ หุ้นและอสังหาริมทรัพย์" "ผลตอบแทนที่ดีจากการลงทุนในตลาดหุ้น มักมีเบื้องหลังมาจากการทำงานอย่างหนัก ไม่ใช่ได้มาง่ายๆ เหมือนที่คนทั่วไปเข้าใจกัน" "นอกจากเรื่องกฎแห่งแรงดึงดูดแล้ว เราต้องมีเป้าหมายที่ชัดเจนและ แผนดำเนินการที่ดีประกอบด้วย ชีวิตถึงจะประสบความสำเร็จได้" เป็นอีกหลากหลายประโยคทองคำที่มาจากปากของ ...คุณกิติชัย เตชะงามเลิศ... ผู้แต่งหนังสือขายดีติดอันดับ 1 ทั่วประเทศ "จาก 1 ล้าน เป็น 500 ล้าน ผมทำอย่างไร"
วัน : อาทิตย์ที่ 25 พ.ค. 2557 เวลา : 9.00 - 17.00 น. สถานที่ : The Emerald Hotel วิทยากร : คุณกิติชัย เตชะงามเลิศ
- สอบถามเพิ่มเติมโทร. 088-274-0434 - ราคาคอร์สปกติมูลค่า 5,500 บาท - พิเศษ !!! ลงทะเบียนก่อน 21 เม.ย. 2557 - ได้ราคา Early Bird เพียง 4,500 บาท - มา 2 ท่านเหลือเพียง 4,000 บาท/ท่าน (เฉพาะท่านที่โอนเงินลงทะเบียนเท่านั้น) https://www.facebook.com/events/1486107384944600/?ref=2&ref_dashboard_filter=upcoming

วันพฤหัสบดีที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2557

ธุรกิจเด่น –ดับในปี 2557 ตอนที่ 9

ธุรกิจเด่นดับในปี 2557 ตอนที่ 9


https://www.facebook.com/events/1486107384944600/?ref=2&ref_dashboard_filter=upcoming

          หลังจากการทำ Window Dressing เมื่อสัปดาห์ก่อน ซึ่งเป็นเรื่องที่ทำมาจนกลายเป็นเรื่องปกติไปแล้ว สำหรับทุกๆ สิ้นไตรมาส โดยเฉพาะสัปดาห์สุดท้ายของไตรมาส 2 และไตรมาส 4 ซึ่งจะมีผลต่อผลประกอบการและ NAV ของหน่วยลงทุนต่างๆ ทำให้ดูดีขึ้น ไตรมาส 2 นี้เราคงจะเผชิญโลกแห่งความเป็นจริง ซึ่งล้วนแต่เป็นข่าวร้ายที่รออยู่ ไม่ว่าจะเป็นด้านการเมือง เศรษฐกิจซึ่งล่าสุดทั้ง บล.ภัทร และศูนย์วิจัยกสิกรไทยได้หั่นเป้าหมาย GDP ลงเหลือต่ำกว่า 2% ไปแล้ว คาดว่าจะเห็นอีกหลายหน่วยงานปรับเป้าหมาย GDP ปีนี้ลงกันอีก ซึ่งนั่นก็จะมีผลให้นักวิเคราะห์ต้องปรับประมาณการผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนลงอีกเป็นลูกโซ่ กลุ่มที่น่าเป็นห่วงมากที่สุดในขณะนี้ ก็คือ Domestic Consumption จาการที่เศรษฐกิจโตลดลงมาก ผู้คนเริ่มไม่มีความมั่นใจ ผู้บริโภคไม่กล้าจับจ่ายใช้สอย นักธุรกิจก็ไม่ขยับขยายกิจการ ซึ่งเมื่อดูตัวเลขดัชนีความมั่นใจทั้งด้านผู้ผลิตและผู้บริโภค จะเห็นได้ชัดเจนถึงแม้กนง.จะลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงไป 0.25% ก็ตาม แต่ธนาคารพาณิชย์ขานรับโดยการลดดอกเบี้ยเพียงประมาณ 0.13% เท่านั้น แทบจะไม่มีผลต่อเศรษฐกิจเลย เป็นการเสียกระสุนฟรี กลุ่มลูกหนี้ที่กู้หนี้ยืมสินโดยใช้อัตราดอกเบี้ยลอยตัว ก็จะได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยจ่ายที่ลดลงไปนิดหนึ่งส่วนผู้ฝากเงินก็ได้รับดอกเบี้ยน้อยลงหน่อย ไตรมาส 1 ที่ผ่านมาหลายฝ่ายก็คาดการณ์กันว่า GDP น่าจะติดลบ ซึ่งผมก็มีความเห็นเช่นเดียวกัน ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนไตรมาส 1 โดยเฉพาะกลุ่มธนาคารจะประกาศกันกลางเดือนเมษายน ส่วนกลุ่มอื่นๆ ที่เหลือ ก็จะทยอยประกาศกันตั้งแต่ต้นเดือนพฤษภาคม จนถึงกลางเดือนซึ่งถ้าผลประกอบการออกมาแย่กว่าที่คาด คงจะมีการปรับประมาณการณ์ผลประกอบการปี 2557 ของบริษัทจดทะเบียนลงอีกรอบหนึ่ง นี่คือสาเหตุที่ทำให้ผมคาดว่าจะเห็นการปรับตัวของ SET INDEX ในไตรมาส 2 ณ ระดับราคาขนาดนี้ ตลาดหุ้นไทยมี P/E เกือบ 14 เท่า ซึ่งนับว่าแพงมากสำหรับอัตราการเติบโตของผลกำไรปีนี้ เรามาติดตามกันดูนะครับว่า SET INDEX จะหล่นลงไปต่ำกว่า 1,300 จุดกันไหม
          เรามาต่อกันในเรืองธุรกิจดับในปี 2557 กันครับ
          5. กลุ่มรถยนต์ ถึงแม้โครงการรถคันแรกจะจบลงไปแล้วตั้งแต่ปีก่อน แต่พิษร้ายของโครงการนี้ยังมีผลกระทบต่อยอดขายรถยนต์ในประเทศปีนี้อยู่บ้าง ถึงแม้จะไม่เท่ากับปีที่แล้ว แต่ช่วงนี้เศรษฐกิจไทยไม่ค่อยดีทำให้ผู้คนที่คิดจะเปลี่ยนรถคันใหม่หรือผู้ที่จะซื้อรถคันใหม่ชะลอการตัดสินใจไปก่อน เพราะรถยนต์เป็นสินค้าคงทนที่มีราคาสูง และเป็นภาระโดยเฉพาะผู้ซื้อที่ใช้สินเชื่อ Finance นอกจากภาระค่าดูแลรักษา ค่าประกันภัย ค่าน้ำมันรถ ค่าทางด่วน ค่าที่จอดรถ ฯลฯ แล้วยังมีดอกเบี้ยจ่ายอีก เรายังเห็นผู้บริหารในอุตสาหกรรมนี้ ให้สัมภาษณ์ว่ามีการปรับเป้าหมายยอดขายลง หลังจากที่ยอดขายช่วงที่ผ่านมาไม่ดี กลุ่ม TOYOTA จะมีการทบทวนแผนลงทุนในไทย สถาบัน IHS ได้ประเมินว่ายอดขายรถยนต์ในไทยน่าจะร่วงลงประมาณ 19% มาอยู่ที่ 1.08 ล้านคันขณะที่ยอดการผลิตรถยนต์น่าจะลดลง ประมาณ 8% มาอยู่ที่ 2.20 ล้านคัน โดยยอดขายในประเทศกับการส่งออกสูสีกัน ยังดีที่ท่างค่าย HONDA และ MAZDA ยังยืนยันที่จะขยายกำลังการผลิตตามเดิม ช่วยให้ไทยยังเป็นฐานการผลิตรถยนต์ที่ใหญ่ที่สุดใน ASEAN และเป็นอันดับที่ 9 ของโลกเหมือนเดิม แต่ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า เราคงจะถูกอินโดนีเซียแซงหน้าไป จากฐานประชากรที่มากกว่าเรากว่า 3 เท่า และเศรษฐกิจที่กำลังโตวันโตคืน แต่โชคดีที่ยอดส่งออกของกลุ่มนี้ใน 2 เดือนแรกของปีนี้ มียอดการเติบโตขึ้นพอสมควร คงช่วยชดเชยยอดขายในประเทศที่ไม่ดีได้บ้าง ผมคาดว่าไตรมาส 4 ของปีนี้เป็นต้นไป เราคงจะได้เห็นการกลับมาของกลุ่มอุตสาหกรรมนี้ โดยปีหน้า กลุ่มนี้น่าจะกลับมาเป็นที่สนใจอีกครั้งหนึ่ง ดังนั้นถ้าช่วงครึ่งปีหลัง ราคาหุ้นในกลุ่มนี้ลงมา ก็น่าจะทยอยซื้อสะสมไว้ครับ

ธุรกิจเด่น-ดับ ในปี 2557 ตอนที่ 1, http://kitichai1.blogspot.com/2014/01/2557-1.html
ธุรกิจเด่น-ดับ ในปี 2557 ตอนที่ 2, http://kitichai1.blogspot.com/2014/01/2557-2.html
ธุรกิจเด่น-ดับ ในปี 2557 ตอนที่ 3, http://kitichai1.blogspot.com/2014/02/2557-3.html
ธุรกิจเด่น-ดับ ในปี 2557 ตอนที่ 4,http://kitichai1.blogspot.com/2014/02/2557-4.html
ธุรกิจเด่น-ดับ ในปี 2557 ตอนที่ 5, http://kitichai1.blogspot.com/2014/02/2557-5.html
ธุรกิจเด่น-ดับ ในปี 2557 ตอนที่ 6, http://kitichai1.blogspot.com/2014/02/2557-6.html
ธุรกิจเด่น-ดับในปี 2557 ตอนที่ 7, http://kitichai1.blogspot.com/2014/03/2557-7.html

ธุรกิจเด่น-ดับในปี 2557 ตอนที่ 8, http://kitichai1.blogspot.com/2014/03/2557-8.html

กิติชัย เตชะงามเลิศ
                                                                                          02/04/57
หนังสือ "จาก 1 ล้านเป็น 500 ล้าน ผมทำอย่างไร" ยอดขายขื้นอันดับหนื่งตั้งแต่วันแรกจำหน่ายและครองอันดับ 1 ติดต่อกันมานาน

ติดตามแนวทางการลงทุนของผมได้ที่ 
Facebook : https://www.facebook.com/VI.Kitichai
Twitter : http://twitter.com/value_talk 
Youtube : http://www.youtube.com/user/wittayu9
Blog :  http://kitichai1.blogspot.com

หรือหนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ทุกวันพุธหน้า B6 หรือหน้า B10 และนิตยสารคนรวยหุัน, Condo Guide, Stock Review, Me(Market Evolution), Glow และ Lisa  ทุกเดือน
     

สนใจซื้ออสังหาเพื่ออยู่เองหรือเพื่อการลงทุน ลองเข้า http://www.pantipmarket.com/mall/homeproperty