จาก1ล้านเป็น500ล้านผมทำอย่างไร

จาก1ล้านเป็น500ล้านผมทำอย่างไร
เล่าประสบการณ์การลงทุนของผมที่นำไปใช้ได้ง่ายๆ

วันพฤหัสบดีที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2557

ระเบิดเวลาที่รอบอมบ์ตลาดหุ้นไทย

ระเบิดเวลาที่รอบอมบ์ตลาดหุ้นไทย

          หลังจากเล่นน้ำสงกรานต์ด้วยความสนุกสนาน เรากลับกันมาดูที่ตลาดหุ้นบ้านเรากันต่อ ถ้าเรามาดูสถิติการซื้อขายของต่างชาติจะเห็นว่าเดือนพฤษภาคมและมิถุนายน มักจะเป็นช่วงที่นักลงทุนต่างชาติมีการปรับพอร์ตการลงทุนซึ่งพลอยทำให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงตามไปด้วย ประกอบกับคำตัดสินขององค์กรกลางในหลายๆ เรื่องที่จะประดังกันมาในช่วงปลายเดือนเมษายนถึงเดือนพฤษภาคม และผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นถ้ามีการปะทะกันของมวลขน 2 ฝ่าย ระหว่าง กปปส. กับ นปช. เราจะเห็นได้ว่ายังมี Unknown Factors รออยู่มากบางในช่วงเวลาใกล้ๆ นี้ ประกอบกับตัวเลขหนี้ครัวเรือนต่อ GDP ของไทย เราที่คาดว่าจะขึ้นไปถึง 84% ภายในสิ้นปีนี้ ติดตามมาเลเซียเข้าไปอย่างใกล้ชิด โดยมาเลเซียเริ่มทรงตัวที่ 88% แล้ว โดยธนาคารพาณิชย์ในมาเลเซียเริ่มโดนลด Credit Rating จากสถาบัน S&P ลง
เนื่องจากสัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อ GDP อยู่ในระดับที่สูง แล้ว Sovereign Credit Rating ของประเทศไทยรวมทั้ง Credit Rating ของธนาคารพาณิชย์ไทยจะโดนลดหรือปรับมุมมองในทางที่แย่ลงหรือไม่ เป็นเรื่องที่เราคงต้องติดตามกันต่อไป รวมทั้งอีก 4 เรื่องที่จะเป็นระเบิดเวลารอบอมบ์ตลาดหุ้น คือ
1. อัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ซึ่งปัจจุบันจัดเก็บในอัตรา 7% ซึ่งเป็นอัตราที่ลดลงจากอัตราที่ตั้งไว้ 10% ซึ่งจะมีผลถึงวันที่ 30 กันยายน 2557 นี้เท่านั้น ซึ่งต้องรอดูว่าทางกกต. จะอนุมัติตามคำขอขยายเวลาการใช้อัตรา 7% ต่อไปอีก 1 ปี ของกระทรวงการคลังหรือไม่ ซึ่งญี่ปุ่นเองก็เพิ่งจะปรับขึ้นภาษีผู้บริโภคจากอัตรา 5% เป็น 8% เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2557 และจะปรับขึ้นเป็น 10% ในเดือนตุลาคม 2558 ซึ่งคงส่งผลให้ GDP ของญี่ปุ่นมีการหดตัวลงจากผลกระทบอันนี้เพราะว่า ผู้คนจะรู้สึกว่าสินค้าและบริการแพงขึ้น แต่ช่วงเดือนมีนาคมยอดค้าปลีกของญี่ปุ่นดีขึ้นทันตาเห็น จากการที่ผู้บริโภคเร่งจับจ่ายใช้สอย ซื้อสินค้าและบริการไว้ล่วงหน้า ลองคิดดูสิครับถ้าท่านกำลังจะตัดสินใจซื้อนาฬิกาหรูเรือนละ 1 ล้านเยน นั่นหมายความว่าราคานาฬิกาที่ยังไม่รวมภาษีผู้บริโภค =  = 952,380.95 เยน พอภาษีผู้บริโภคเปลี่ยนเป็น 8% ผู้บริโภคต้องซื้อนาฬิกาเรือนเดียวกันหลังวันที่ 30 มีนาคม 2557 ที่ราคา 1.08 x 952,380.95 = 1,028.571.43 เยน ซึ่งพ่อค้าคงปรับราคาเป็นตัวเลขกลมๆ ที่ 1,030,000 นั่นหมายความว่า ผู้บริโภคต้องควักกระเป๋าจ่ายเงินค่าซื้อนาฬิกาแพงขึ้นอีกประมาณ 3% ซึ่งถ้ากกต.ไม่อนุมัติ สถานการณ์อย่างนี้ก็คงเกิดขึ้นที่ประเทศไทยเช่นกัน คนที่จะได้รับผลกระทบนี้เต็มๆ ก็คือ รากหญ้าที่หาเช้ากินค่ำคงต้องเดือนร้อน ชักหน้าไม่ถึงหลังมากขึ้น หนี้ครัวเรือนที่ปัจจุบันสูงอยู่แล้วก็จะยิ่งสูงขึ้นไปอีก ฐานะและรายได้ของคนไทยต่ำกว่าคนญี่ปุ่นอยู่มาก ยิ่งจะได้รับผลกระทบมากกว่า อนึ่งใน ASEAN ส่วนใหญ่จัดเก็บอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มกันที่ 10% ในขณะที่ฟิลิปปินส์เป็นประเทศที่จัดเก็บสูงสุดที่อัตรา 12%
2. การจัดเก็บภาษีเงินได้นิติบุคคลที่ปัจจุบันเรียกเก็บในอัตรา 20% จากระดับปกติที่ 30% ซึ่งจะครบกำหนดที่เรียกเก็บในอัตราส่วนลดนี้ในสิ้นปี 2557 ซึ่งทางกระทรวงการคลังได้ทำเรื่องขอขยายเวลาไปอีก 1 ปี กับทางกกต.อีกเช่นกัน มิฉะนั้นจะทำให้ผลประกอบการของนิติบุคคล ซึ่งก็รวมถึงบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์และ MAI จะมีผลกำไรลดลงทันทีในปีหน้า ผมขอยกตัวอย่างให้เห็นภาพได้ขัดเจนมากขึ้น สมมติว่าบริษัทกำไรก่อนหักภาษีปี 57 และปี 58 ที่ 100 บาท ปี 57 เสียภาษี 20% ในขณะที่ปี 58 เสียภาษี 30%  กำไรสุทธิหลังหักภาษีปี 57 จะเท่ากับ 80 บาท ขณะที่ปี 58 กำไรจะเหลือเพียง 70 บาท
          จะเห็นได้ว่ากำไรปี 58 เทียบกับปี 57 ลดลงถึง 12.50% ซึ่งมากกว่าอัตราภาษีที่ขึ้นเพียง 10% จาก 20% เป็น 30% กลุ่มนักวิเคราะห์คงต้องปรับประมาณการณ์ผลกำไรของบริษัทจดทะเบียนลง และผมเชื่อว่า จะมีการปรับขึ้นราคาของสินค้าและบริการกันแน่นอน เพราะว่านักธุรกิจคงไม่อยากเห็นกำไรของบริษัทลดลง
          3. EU ได้เริ่มตัดสิทธิทางศุลกากร (GSP) สินค้าไทยบางรายการไปตั้งแต่ 1 มกราคม 2557 และจะตัดสิทธิ GSP ทุกรายการสินค้าตั้งแต่ วันที่ 1 มกราคม 2558 เป็นต้นไป เนื่องจากระบบ GSP ใหม่ของ EU ได้ยกเลิกการให้ GSP กับประเทศที่อยู่ในกลุ่มรายได้ระดับ Upper Middle Income ซึ่งปัจจุบันธนาคารโลกได้จัดให้ประเทศไทยอยู่ในกลุ่มนี้ติดต่อกันมา 3 ปีแล้ว ลองค้นหาข้อมูลกันดูนะครับเผื่อว่าบริษัทจดทะเบียนที่ท่านถือหุ้นอยู่ อาจจะผลิตสินค้าที่จะถูกยกเลิก GSP ในปีหน้าซึ่งแน่นอนต้องมีผลกระทบทำให้ราคาสินค้าเหล่านี้แพงขึ้น ในสายตาผู้นำเข้าในประเทศกลุ่ม EU ถ้าประเทศคู่แข่งเรายังได้สิทธิ GSP อยู่ โอกาสที่ผู้นำเข้าสินค้าเหล่านี้ จะเปลี่ยนใจไปซื้อจากประเทศคู่แข่ง มีความเป็นไปได้สูง
          4. สิทธิประโยชน์ทางภาษีของกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) ซึ่งจะหมดอายุในปี 2559 ถ้าไม่มีการขยายเวลาออกไป เม็ดเงินที่อยู่ในกองทุน LTF ที่มากกว่า 200,000 ล้านบาท จะเป็นลูกระเบิดเวลาลูกใหญ่ที่จะถล่มตลาดหุ้นไทยในปีหน้าเป็นแน่ ซึ่งจะพลอยทำให้ธุรกิจบริษัทหลักทรัพย์จดทะเบียนกองทุนรวมมีโอกาสเติบโตติดลบ จากการที่ผู้ถือหน่วยลงทุนในกองทุน LTF ส่วนใหญ่ซื้อเพื่อลดหย่อนภาษี เมื่อลดหย่อนไม่ได้ ผู้เสียภาษีส่วนใหญ่คงจะไม่ซื้อกองทุนกัน

          ว่าจะเขียนเรื่องธุรกิจเด่น-ดับ ต่อแต่เนื้อที่หมดเสียก่อนขอยกยอดไปเขียนต่อฉบับหน้านะครับ

กิติชัย เตชะงามเลิศ
                                                                                          16/04/57
หนังสือ "จาก 1 ล้านเป็น 500 ล้าน ผมทำอย่างไร" ยอดขายขื้นอันดับหนื่งตั้งแต่วันแรกจำหน่ายและครองอันดับ 1 ติดต่อกันมานาน

ติดตามสาระดีๆและแนวทางการลงทุนของผมได้ที่ 

Facebook : https://www.facebook.com/VI.Kitichai , 
Twitter     : http://twitter.com/value_talk , 
Instagram : Gid_Kitichai
Google+  : https://www.google.com/+KitichaiTaechangamlert
Youtube   : http://www.youtube.com/user/wittayu9  และ 
Blog         : http://kitichai1.blogspot.com


หรือหนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ทุกวันพุธหน้า B6 หรือหน้า B10 และนิตยสารคนรวยหุัน, Condo Guide, Glow, Me(Market Evolution) และ Lisa ทุกเดือน
     

สนใจซื้ออสังหาเพื่ออยู่เองหรือเพื่อการลงทุน ลองเข้า http://www.pantipmarket.com/mall/homeproperty

"จาก 1 ล้าน เป็น 500 ล้าน ต้องทำอย่างไร" MILLIONAIRE COURSE "จาก 1 ล้าน เป็น 500 ล้าน ต้องทำอย่างไร" "การลงทุน คือ... ปัจจัยที่ 5 สำหรับคนรวย" ...คุณกิติชัย เตชะงามเลิศ... ผู้แต่งหนังสือขายดีติดอันดับ 1 ทั่วประเทศ "จาก 1 ล้าน เป็น 500 ล้าน ผมทำอย่างไร"
...ประโยคทองคำที่ออกจากปากเศรษฐี เพียงประโยคเดียวอาจพลิกชีวิตเราได้เลย...
"เครื่องมือที่คนรวยใช้มีอยู่ 3 อย่าง คือ ธุรกิจ หุ้นและอสังหาริมทรัพย์" "ผลตอบแทนที่ดีจากการลงทุนในตลาดหุ้น มักมีเบื้องหลังมาจากการทำงานอย่างหนัก ไม่ใช่ได้มาง่ายๆ เหมือนที่คนทั่วไปเข้าใจกัน" "นอกจากเรื่องกฎแห่งแรงดึงดูดแล้ว เราต้องมีเป้าหมายที่ชัดเจนและ แผนดำเนินการที่ดีประกอบด้วย ชีวิตถึงจะประสบความสำเร็จได้" เป็นอีกหลากหลายประโยคทองคำที่มาจากปากของ ...คุณกิติชัย เตชะงามเลิศ... ผู้แต่งหนังสือขายดีติดอันดับ 1 ทั่วประเทศ "จาก 1 ล้าน เป็น 500 ล้าน ผมทำอย่างไร"
วัน : อาทิตย์ที่ 25 พ.ค. 2557 เวลา : 9.00 - 17.00 น. สถานที่ : The Emerald Hotel วิทยากร : คุณกิติชัย เตชะงามเลิศ
- สอบถามเพิ่มเติมโทร. 088-274-0434 - ราคาคอร์สปกติมูลค่า 5,500 บาท - พิเศษ !!! ลงทะเบียนก่อน 21 เม.ย. 2557 - ได้ราคา Early Bird เพียง 4,500 บาท - มา 2 ท่านเหลือเพียง 4,000 บาท/ท่าน (เฉพาะท่านที่โอนเงินลงทะเบียนเท่านั้น) https://www.facebook.com/events/1486107384944600/?ref=2&ref_dashboard_filter=upcoming

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น