จาก1ล้านเป็น500ล้านผมทำอย่างไร

จาก1ล้านเป็น500ล้านผมทำอย่างไร
เล่าประสบการณ์การลงทุนของผมที่นำไปใช้ได้ง่ายๆ

วันพุธที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2558

มหาวิปโยคของไทย (ตอนที่ 1 )



มหาวิปโยคของไทย (ตอนที่ 1 )

               ผมมานั่งทบทวนดูเรื่องราวที่เกิดขึ้นมาในประเทศไทยในช่วง 12 ปีที่ผ่านมา  รู้สึกสงสารประเทศไทยและคนไทยจริงๆ  เริ่มจากเหตุการณ์สึนามิที่ทางภาคใต้ของไทยเมื่อวันที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2547 เวลา 07.58น. ก่อให้เกิดคลื่นทะเลยักษ์สูงถึง 30 เมตร ท่วมทำลายบ้านเรือนตามแนวชายฝั่ง โดยเกิดจากแผ่นดินไหวมากกว่า 9 ริคเตอร์ ซึ่งมีจุดศูนย์กลางแผ่นดินไหวอยู่ที่มหาสมุทรอินเดียลึกลงไป 30 กิโลเมตร นับเป็นสึนามิที่เกิดขึ้นที่ประเทศไทยเป็นครั้งแรก และได้สร้างความเสียหายทิ้งไว้มากมาย พรากชีวิตคนไทยและนักท่องเที่ยวต่างชาติไปร่วม 8,000 คน และผู้ได้รับบาดเจ็บอีกมากกว่า 8,000 คน ต่อมายังไม่ทันจะหายโศรกเศร้าดี สังคมไทยที่เคยเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันมาตลอด ก็เริ่มมีการปลุกปั่นแบ่งแยกคนไทยออกเป็น 2 ฝ่าย โดยใช้สัญลักษณ์ของสีเป็นสีเหลืองกับสีแดง ให้จงเกลียดจงชังกัน การเล่นกีฬาสีนี้ได้ดำเนินมาต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน ได้สร้างความแตกแยกร้าวลึกลงในสังคม จนดูแล้วสุดที่จะเยียวยา  ถึงแม้ช่วงนี้จะดูสงบเสงี่ยมเรียบร้อยก็เป็นเพราะเรากำลังอยู่ในการปกครองของรัฐบาลที่มาจากทหาร ซึ่งไม่รู้ว่าหลังจากมีการจัดเลือกตั้งแล้ว มีรัฐบาลพลเรือนในปีหน้า (?) การแตกแยกของสังคมไทยจะถูกประสานเชื่อมรอยร้าวดังกล่าวได้หรือไม่ หรือจะมีการกลับมาเล่นกีฬาสีกันอีก การแตกแยกทำให้เกิดความไม่สงบในประเทศ มีการประท้วงกันอยู่บ่อยๆ บางช่วงมีการประท้วงติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน มีการปิดสนามบิน ปิดถนนในย่านใจกลางเมือง มีการปลุกปั่นคนให้เผาบ้านเผาเมือง ผมดูจาก YouTubeแล้วผมอดสงสัยไม่ได้ว่านี่มันเป็นพฤติกรรมของคนไทยเรากันเองหรือ จากเนื้อเพลงชาติไทยท่อนหนึ่งที่บอกว่าไทยนี้รักสงบเราคนไทยยังจะร้องเพลงนี้ได้เต็มปากเต็มคำกันไหม สมัยก่อนชาวต่างชาติเขาก็มองคนไทยเป็นคนที่มีมิตรไมตรีดี ยิ้มง่าย จนเรียกได้ฉายาว่า “THAI SMILE” พอเห็นเหตุการณ์แบบนี้คงเปลี่ยนภาพพจน์ของคนไทยในสายตาของชาวต่างชาติไปมาก ผมก็ได้แต่ฝันลมๆแล้งๆว่า เราจะเก็บบทเรียนในอดีตที่ผ่านมา เอาไว้สอนตัวเองแล้วจากนี้ไปสังคมไทยจะกลับมาถ้อยทีถ้อยอาศัยกันเหมือนกับในอดีต
               กลับมาเรื่องปากท้องกันบ้าง ในหลายปีที่ผ่านมาหนี้สินครัวเรือนของคนไทยได้ไต่ระดับขึ้นมาเรื่อยๆ จากที่เคยอยู่แถวๆ 40%/GDP ในปี 2546 จนมาถืง 88% ในปีปัจจุบัน (แต่หลังจากที่ทางสภาพัฒน์ได้ปรับเปลี่ยนวิธีคำนวน GDP ทำให้ GDP ของประเทศไทยสูงขึ้นประมาณ 1ล้านล้านบาท ทำให้ปริมาณหนี้สินครัวเรือน/GDP จาก 88% ลดลงไปเหลือประมาณ 80 % เท่านั้น จากฐานของGDP ที่มากขึ้น) ประเทศไทยเรามีหนี้สินครัวเรือน/ GDP สูงเป็นอันดับที่ 2 ของ ASEAN รองจากมาเลเซียเท่านั้น ช่วงที่สหรัฐเกิดวิกฤต HAMBURGER CRISIS ในปี 2551 นั้น หนี้สินครัวเรือน/GDP ของสหรัฐอยู่ที่ 97% ดูตัวเลขแล้วก็ได้แต่ภาวนาให้ประเทศไทยต้องประสบปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจอีกครั้งเลย เราเจอไปครั้งล่าสุดช่วงวิกฤตต้มยำกุ้ง ในช่วงปี 2540 ซึ่งช่วงนั้นทำให้คนไทยตกงานกันมากมาย หุ้นตกระเนระนาด SET INDEX ตกลงจากจุดสูงสุดในประวิติศาสตร์ที่ 1,789.16(มกราคม ปี 2537) ไปทำจุดต่ำสุดที่ 204.59 (กันยายน ปี2541) โดยตกลงไปถึง 1,584.57 จุด คิดเป็น 88.57% พูดง่ายๆคือมีเงินลงทุนในตลาดทุน 100 บาท จะเหลือเพียง 11.43บาท (โดยเฉลี่ย) บางคนอาจจะเหลือศูนย์ เพราะว่าไปลงทุนในบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ที่ล้มละลายปิดกิจการไป บางคนยิ่งแย่กว่านั้นลงทุนหุ้นด้วนมาร์จิ้น นอกจากจะถูกบังคับขายแล้ว เงินส่วนต่างและดอกเบี้ยยังต้องไปหาเงินมาใช้หนี้โบรคเกอร์เสียอีก นี่คือสาเหตุหนึ่งที่ผมไม่แนะนำให้นักลงทุนหน้าใหม่หรือนักลงทุนหน้าเก่าที่มีความรู้และหรือประสบการณ์ในการลงทุนไม่มากเพียงพอ อาจจะเกิดความเสียหายอย่างใหญ่หลวงในชีวิต อาจจะเป็นหนี้สินล้นพ้นตัว จนถึงกระทั่งล้มละลายกันเลยทีเดียว ผมเองก็เป็นคนหนึ่งที่อยู่ในสถานการณ์วิกฤตต้มยำกุ้งช่วงนั้นด้วย ผมยังจำได้แม่นเลยว่าเป็นความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัสในชีวิตการลงทุนของผมครั้งหนึ่งเลยทีเดียว ที่ผมรอดจากวิกฤตครั้งนั้นมาได้ เพราะว่าผมยอมตัดใจเฉือนเนื้อตัวเอง โดยยอมตัดใจขายขาดทุนหุ้นที่ถือหุ้นอยู่เพื่อล้างหนี้จากมาร์จิ้นให้หมด และผมขายสินทรัพย์ที่ไม่จำเป็น เช่น รถยนต์ ทองคำ ฯลฯ เพื่อนำไปใช้หนี้ธนาคารที่กู้เพื่อซื้ออสังหาริมทรัพย์ จนผมปลอดจากหนี้ทั้งหมด และมีเงินสดเหลือพอใช้เป็นเวลา 5 ปี เพราะว่าในช่วงนั้นผมยังมองไม่เห็นอนาคตของเศรษฐกิจไทยเลย แต่จากที่เรียนหนังสือมา เศรษฐกิจมีฟุบก็มีรุ่งเพียงแต่ว่าจะใช้เวลานานแค่ไหนเท่านั้นเอง ผมมีความคิดในช่วงนั้นว่า ภายใน 3-5 ปี เศรษฐกิจไทยไงๆก็จะต้องฟื้นตัวแน่ๆ เพียงแต่จะเป็นรูปตัว U หรือรูปตัว V เท่านั้น เนื้อที่หมดแล้วเอาไว้ต่อในบทความหน้ากันครับ

กิติชัย เตชะงามเลิศ
          27/08/58



ติดตามสาระดีๆทั้งไลฟ์สไตล์และการลงทุนได้ที่
 Facebook : https://www.facebook.com/VI.Kitichai
 Twitter : http://twitter.com/value_talk
 Instagram : Gid_Kitichai
 Blog : http://kitichai1.blogspot.com
 You Tube : http://www.youtube.com/user/wittayu9
 Google+ : https://www.google.com/+KitichaiTaechangamlert
 Linkedin : https://www.linkedin.com/in/homeproperty
 Pinterest : http://www.pinterest.com/kitichai/
 หรือ หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ทุกวันพุธหน้า B8หนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ และนิตยสารคนรวยหุัน, Condo Guide, Glow, และ Me(Market Evolution) ทุกเดือน 
ถ้าท่านชอบบทความผม ท่านสามารถสมัครสมาชิกโดยเอาเม้าส์ไปทางด้านขวามือจะมีแถบแสดงออกมา แล้วเลือกคลิกไอคอนที่เขียนว่าสมัครรับข้อมูล เมื่อผมมีบทความใหม่ ท่านก็จะทราบทันที 
หาอสังหาทั้งถูกและดีเพื่ออยู่เองหรือเพื่อการลงทุน ได้ที่ http://www.pantipmarket.com/mall/homeproperty


วันพฤหัสบดีที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2558

ท่องเที่ยวไทยจะเป็นอย่างไร

ท่องเที่ยวไทยจะเป็นอย่างไร

               เศรษฐกิจไทยปีนี้ ไตรมาสแรกโต 3% ส่วนไตรมาส2โต 2.80% ทำให้เครึ่งปีแรกเศรษฐกิจไทยโตเฉลี่ย 2.9%  ซึ่งต้องขอบคุณอุตสาหกรรมท่องเที่ยวที่เติบโตจากปีที่แล้วเป็นอย่างมาก หลังจากมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อปีที่แล้ว การประท้วงมาราธอนก็ยุติลงทำให้ความสวุ่นวายมลายไป ความสงบสุขก็กลับมาสู่ประเทศไทยอีกครั้งหนึ่ง เวลาผ่านมาปีกว่าๆ เหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นมาอีกจนได้ คือการวางระเบิดในย่านใจกลางเมืองบริเวณสี่แยกราชประสงค์ในช่วงเวลาหัวค่ำของวันจันทร์ที่ผ่านมา ทำให้มีผู้เสียชีวิตถึง 20 ราย โดยเป็นคนไทย 5 คน จีน 2 คน คนมาเลเซีย คนฮ่องกง 2 คน คนสิงโปร์ 1 คน ส่วนอีก 8ศพ ยังไม่สามารถยืนยันตัวบุคคลได้ (อัพเดทวันที่ 18 สิงหาคม) บาทเจ็บอีกร้อยกว่าคน จริงๆแล้วการลอบวางระเบิดในกรุงเทพมหานคร เคยมีมาหลายครั้ง แต่ส่วนใหญ่จะเป็นระเบิดที่มีอานุภาพไม่รุนแรง ไม่ค่อยมีผู้เสียชีวิต แต่คราวนี้เป็นระเบิดที่มีอานุภาพทำลายล้างรุนแรงมาก จึงก่อให้เกิดโศกนาฏกรรมดังกล่าวขึ้น ผู้บงการและผู้ที่ก่อการไม่รู้ว่าเป็นคนไทยหรือเปล่า ถ้าใช่ ผมสงสัยจังว่าทำไมคุณถึงมีจิตใจที่เหี้ยมโหดเกินมนุษย์ นอกจากทำให้ผู้คนล้มตายและบาดเจ็บเป็นจำนวนมากแล้ว คุณกำลังทำลายการท่องเที่ยวของประเทศซึ่งเป็นตัวจักรเดียวที่เหลืออยู่ที่ยังทำงานได้ดี รัฐบาลชาติต่างๆคงทยอยประกาศเตือนคนในชาติของตนให้งดการเดินทางเข้ามาในประเทศไทย และซ้ำร้ายนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เสียชีวิตล้วนแล้วแต่เป็นชาติหลักๆที่เดินทางมาท่องเที่ยวในประเทศไทย โดยเฉพาะชาวจีน ซึ่งปีนี้เดินทางเข้ามาในไทยเป็นจำนวนมาก ตัวเลขนักท่องเที่ยวในช่วงไตรมาสสี่คงจะหดตัวลงอย่างมาก น่าเสียดายที่ช่วงเวลาดังกล่าวเป็นช่วง HIGH SEASON เสีย ด้วย เป็นช่วงที่คนในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวรอคอยกัน เท่าที่ผมสังเกตดูนักท่องเที่ยวจีนจะมาท่องเที่ยวน้อยลงมากเมื่อไทยมี สถานการณ์ประท้วงหรือความไม่สงบ ดังนั้นคราวนี้ เราคงเห็นนักท่องเที่ยวจีนลดลงอย่างน่าใจหาย โดยเฉพาะพัทยา ชลบุรี ที่แย่มากๆช่วงต้นปีก่อน หลังจากที่เศรษฐกิจรัสเซียได้รับผลกระทบจากการกดดันของสหรัฐและกลุ่มประเทศ EU รวมทั้ง ราคาน้ำมันและก๊าซที่ตกต่ำลงอย่างมาก รัสเซียเป็นประเทศที่พึ่งพาการส่งออกสินค้าดังกล่าว จึงได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง ทำให้ค่าเงินรูเบิ้ลรัสเซียอ่อนลงเกือบครึ่งหนึ่ง นักท่องเที่ยวรัสเซียเดินทางมาประเทศไทยลดลงอย่างมาก กลุ่มนักท่องเที่ยวในโซนนี้ได้รับผลกระทบไปเต็มๆ ซึ่งส่งผลไปหมด พนักงานที่อยู่ในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวถูกปลดออกจากหน้าที่การงาน อสังหาริมทรัพย์โดยเฉพาะคอนโดที่ชาวรัสเซียมาจองซื้อไว้ ก็มีการทิ้งดาวน์ค่อนข้างมาก ทำให้ราคาอสังหาริมทรัพย์ในพัทยาลดลง ที่เพิ่งจะมาฟื้นก็เพราะว่าได้นักท่องเที่ยวจีนเข้ามาแทนที่ ก็มาเจอเหตุการณ์นี้เสียแล้ว หน่วยงานที่เกี่ยวข้องคงจะต้องทำงานหนักขึ้น เพื่อดึงให้นักที่องเที่ยวต่างชาติยอมเดินทางเข้ามาเที่ยวในประเทศไทยให้ได้ เราคงเห็นการลดลงของราคาห้องพักเพื่อแข่งขันดึงดูดนักท่องเที่ยวที่จะมีปริมาณลดลง นั่นหมายถึงรายได้รวมทั้งกำไรต่อห้องและจำนวนที่พักที่ขายได้ของกลุ่มโรงแรมจะลดลงเนื่องจากเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด ส่วนอุตสาหกรรมการบิน สนามบิน ร้านอาหารก็จะได้รับผลกระทบรองลงมา บังเอิญหุ้นกลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่มีการซื้อขายที่ P/E สูงมาก เพราะว่านักลงทุนมั่นใจว่าเป็นกลุ่มที่มีการเติบโตจของรายได้และกำไรสูงกว่ากลุ่มอื่นๆ จากเหตุการณืนี้ กลุ่มนี้จะโดน2เด้งคือ
1 นักวิเคราะห์และนักลงทุนจะมีการปรับการคาดการณ์ รายได้และกำไรลดลงอย่างมาก
2 นักวิเคราะห์และนักลงทุนจะลดค่า P/E สำหรับกลุ่มนี้ลงเนื่องจากคาดว่าการเติบโตของกำไรจะไม่สวยงามเหมือนเมื่อก่อนแล้ว
               จากเหตุการณืนี้หน่วยงานรัฐเกี่ยวกับด้านข่าวกรอง ทำงานไร้ประสิทธิภาพจริงๆ เนื่องจากผมเห็นข้อมูลที่ส่งมาในไลน์ มีการพูดถึงจะเกิดความไม่สงบในกรุงเทพช่วงระหว่างวันที่ 14-28 สิงหาคม แต่ทำไมจึงปล่อยให้เหตุการณ์ร้ายแรงแบบนี้เกิดขึ้นมาได้อีก ถ้าเป็นเมืองนอก ผู้ที่รับผิดชอบคงจะต้องมีการพิจารณาตัวเองกันแล้ว ไม่เป็นไรครับ แต่หวังว่าจากนี้ไป หน่วยงานจะต้องทำงานอย่างรอบคอบกว่านี้ เพราะว่ามันกระทบถึงชีวิตและทรัพย์สินของคนจำนวนมาก ไหนจะครอบครัวของเขาเหล่านั้น ถ้าผู้เสียชีวิตเป็นตัวหลักในการหาเงินมาเลี้ยงครอบครัว สมาชิกครอบครัวเหล่านั้นจะทำอย่างไรกัน นี่ยังไม่รวมบุคลากรในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ที่อาจจะถูกปลดออกจากงาน เนื่องจากนักท่องเที่ยวมาเที่ยวน้อยลง ธุรกิจที่เกี่ยวข้องจะต้องเลิกกิจการไปอีกเท่าไหร่ ทั้งหลายทั้งปวงนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่า จะมีเหตุการณ์รุนแรงแบบนี้เกิดขึ้นอีกหรือไม่
               ก่อนจบบทความนี้ขอเตือนนักลงทุนที่คิดจะลงทุนในกลุ่มท่องเที่ยว จุดต่ำสุดที่เห็นเมื่อเช้าวันอังคารอาจจะไม่ใช่จุดต่ำสุดที่แท้จริง ช่วงนี้ราคาหุ้นในกลุ่มนี้น่าจะซึมลงไปเรื่อยๆ จนกว่านักลงทุนจะมั่นใจว่าจะไม่มีเหตุการณ์เลวร้ายเกิดขึ้นอีก ซึ่งคงต้องใช้เวลา


กิติชัย เตชะงามเลิศ
          25/03/58


ติดตามสาระดีๆทั้งไลฟ์สไตล์และการลงทุนได้ที่
 Facebook : https://www.facebook.com/VI.Kitichai
 Twitter : http://twitter.com/value_talk
 Instagram : Gid_Kitichai
 Blog : http://kitichai1.blogspot.com
 You Tube : http://www.youtube.com/user/wittayu9
 Google+ : https://www.google.com/+KitichaiTaechangamlert
 Linkedin : https://www.linkedin.com/in/homeproperty
 Pinterest : http://www.pinterest.com/kitichai/
 หรือ หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ทุกวันพุธหน้า B8หนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ และนิตยสารคนรวยหุัน, Condo Guide, Glow, และ Me(Market Evolution) ทุกเดือน ถ้าท่านชอบบทความผม ท่านสามารถสมัครสมาชิกโดยเอาเม้าส์ไปทางด้านขวามือจะมีแถบแสดงออกมา แล้วเลือกคลิกไอคอนที่เขียนว่าสมัครรับข้อมูล เมื่อผมมีบทความใหม่ ท่านก็จะทราบทันที หาอสังหาทั้งถูกและดีเพื่ออยู่เองหรือเพื่อการลงทุน ได้ที่ http://www.pantipmarket.com/mall/homeproperty