จาก1ล้านเป็น500ล้านผมทำอย่างไร

จาก1ล้านเป็น500ล้านผมทำอย่างไร
เล่าประสบการณ์การลงทุนของผมที่นำไปใช้ได้ง่ายๆ

วันเสาร์ที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2558

ธปท.-กนง.(ตอนจบ…ดีแต่ช้าไปหน่อย?)



                                                  ธปท.-กนง.(ตอนจบดีแต่ช้าไปหน่อย?)

               บทความที่แล้ว ผมพูดถึงกลยุทธที่ผมใช้ในช่วงที่ประเทศไทยเกิดวิกฤตต้มยำกุ้ง ที่ทำให้ผมฝ่าช่วงที่เลวร้ายที่สุดในชีวิตมาได้ คิดดูสิครับดัชนี SET INDEX ช่วงที่ผมเข้าตลาดประมาณ 1,300-1,400 แล้วดัชนีก็ไหลลงมาสร้างจุดต่ำสุดที่ 204.59 จุด เท่ากับว่าขาดทุนไป 85% ถ้าผลตอบแทนจากการลงทุนเท่ากับดัชนีที่ตกลงมา แต่ถ้าบังเอิญไปลงทุนในบริษัทที่ลมละลาย แทนที่เงิน 100 บาทจะเหลือ 15 บาท กลายเป็นว่าไม่เหลือเลยสักบาท ยิ่งถ้าใช้ MARGIN ด้วยแล้ว ยิ่งไม่กล้าที่จะจินตนาการถึงหายนะในอนาคตอันใกล้ที่จะตามมายังไม่นับดอกเบี้ยที่จะต้องจ่ายรายเดือน  แต่ท่านผู้อ่านทราบไหมครับว่า ในช่วงวิกฤตแบบนั้นกลับเป็นโอกาสสำหรับบางธุรกิจ เนื่องจากค่าเงินบาทจาก 27/USD อ่อนค่าไปถึง 58 บาท ปรากฎว่าธุรกิจส่งออกกลับเฟื่องฟูอย่างเต็มที่ เพราะว่าสินค้าไทยถูกมากในสายตาของชาวต่างชาติ ผมขอยกตัวอย่างหุ้นของบริษัทเดลต้าอิเลคโทรนิคส์(ประเทศไทย)จำกัด(DELTA) ราคาจากจุดต่ำสุดที่ 3.01 บาทเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2540 ใช้เวลาเพียง 1ปี ราคาวิ่งไปสร้างจุดสูงสุดที่ 42.88 บาท (เป็นราคาที่ปรับ PAR และการเพิ่มทุนทั้งหมดไว้เรียบร้อยแล้ว) ขึ้นมา 39.87 บาท คิดเป็น 1,329% ในขณะที่ SET INDEX ในช่วงเวลาเดียวกัน SET INDEX ลดลงจาก 778.80 มาถึงจุดต่ำสุดที่ 480.77 จุด หรือลงมา 299.13 จุดคิดเป็น 38.35% จึงไม่น่าแปลกใจถ้ามีใครบอกว่าเล่นหุ้นช่วงนั้นแล้วกำไรก็ไม่น่าแปลกใจใช่ไหมครับ หลังจากนั้นมา เมื่อไหร่ที่ค่าเงินบาทอ่อนค่าลง ก็จะมีการเก็งกำไรในหุ้นกลุ่มส่งออกอยู่เป็นเนือง เพราะว่านอกจากบริษัทเหล่านี้จะมียอดขายที่เพิ่มขึ้นแล้ว กำไรก็เพิ่มขึ้นอย่างมากมาย จากหุ้นที่เคยซื้อขายที่ P/E ต่ำๆก็เขยิบมาซื้อขาย P/E ที่ค่าสูงขึ้น
               พอหลังจากวิกฤตต้มยำกุ้งผ่านไป SET INDEX จาก 204.59 จุด เมื่อกันยายน 2541 ดัชนีตลากหลักทรัพย์ก็กลับมาสู่ขาขึ้นตามภาวะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวจนขึ้นไปทำจุดสูงสุดที่ 1,649.77 จุด เมื่อเดือนพฤษภาคม 2556 ขึ้นมา 1,445.16จุด คิดเป็น 706.38% ภายในเวลา 14ปี 8เดือน ผลตอบแทนดีอย่างนี้เราจึงมีนักลงทุนหน้าใหม่ที่พร้อมจะเป็นแมงเม่าบินเข้ากองไฟมากมาย  แต่แล้ว SET INDEX ก็ตกลงมาทำจุดต่ำสุดที่ 1,205.44 ในเดือน มกราคม 2557 ลดไป 444.33จุด คิดเป็น 26.93% ภายในเวลาเพียง 8 เดือน เป็นความผันผวนที่นักลงทุนหน้าใหม่พึงสังวรณ์ ตลาดหุ้นไม่ใช่มีแต่ขาขึ้นอย่างเดียว คนที่เข้าตลาดหลังปี 2552 ส่วนใหญ่ก็ได้กำไรจากการลงทุนในหุ้น เพราะว่าตลาดหุ้นเป็นขาขึ้น ช่วงตลาดหุ้นขาลง เป็นช่วงเวลาปราบเซียน ผู้ที่แข็งแกร่งเท่านั้นจะยืนหยัดได้ การที่ตลาดหุ้นเริ่มเข้าสุ่ขาลงหลังจากไปทำจุดสูงสุดที่ 1,649.77 เมือเดือน พฤษภาคม 2556 หลังจากนั้นเราก็ไม่เห็น SET INDEX  กลับขึ้นมาเหนือจุดนี้อีกเลย แม้เดือนกุมภาพันธ์ 2558 SET INDEX พยายามตีกลับขึ้นมาอีกรอบแต่ก็ไปทำจุดสูงสุดของรอบที่ 1,619.65 เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2558 ซึ่งดัชนีตลาดหลักทรัพย์ก็เป็น INDICATOR ตัวหนึ่งที่สะท้อนถึงเศรษฐกิจไทยในช่วงหลายปีที่ผ่านมา การเติบโตของ GDP ที่ถดถอยลงจากที่เคยเฉลี่ย 5-7%ต่อปีในอดีต กลายเป็นโตต่ำกว่า 3%โดยเฉลี่ย ส่วนหนึ่งก็มาจากภาวะการส่งออกที่ถดถอย จากภาวะเศรษฐกิจโลกที่ไม่อำนวย โดยเฉพาะจีนซึ่งเป็นคู่ค้าสำคัญของไทย และEU มีการนำเข้าลดลง รวมทั้งญี่ปุ่นที่เศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัว ค่าเงินบาทที่แข็งค่ากว่าเพื่อนบ้าน ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยไม่นับความสามารถในการแข่งขันในการส่งออกของเรา ที่ถดถอยเมื่อเทียบกับประเทศคู่แข่งขัน รวททั้งสินค้าที่ผลิตได้ก็ไม่ค่อยตรงตามความต้องการของลูกค้าที่เปลี่ยนไปเช่น HARDDISK เป็นต้น  กอรปกับภาวะการจับจ่ายใช้สอยในประเทศที่แย่ลง จากการที่ประชาชนส่วนใหญ่เป็นหนี้สิน ภาวะหนี้ครัวเรือนสูง ผมยังแปลกใจว่าทำไม กนง. ถึงใจแข็งไม่ยอมลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีกหลังจากการลด 0.25% (จาก 2.25% เป็น 2% ) เมื่อเดือน มีนาคม 2557 เพิ่งจะมาปรับลดลง 2 ครั้งๆละ 0.25% เมื่อเดือนมีนาคม 2558 และเมษายน 2558 ตาลำดับ ซึ่งแทบจะไร้ผลโดยสิ้นเชิงโดยเฉพาะล่าสุดต้องไป FORCE ให้ธนาคารพาณิชย์ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง ถ้ากนง.ลดดอกเบี้ยเป็น Series ต่อเนื่อง หลังจากเดือน มีนาคม 2557 ค่าเงินบาทคงไม่แข็งค่ามากเมื่อเทียบกับเพื่อนบ้านซึ่งล้วนแต่เป็นคู่แข่งขันทางการค้า การส่งออกคงไม่ติดลบมากเหมือนตัวเลขที่เราได้เห็นกัน นอกจากนั้นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่ลดลงอาจจะช่วยให้ธุรกิจที่กำลังคิดที่จะขยายการลงทุนตัดสินใจทำเร็วขึ้น ภาระดอกเบี้ยจ่ายที่ลดลงทำให้ธุรกิจมีสภาพคล่องที่ดีขึ้น ประชาชนมีหนี้อยู่ในระบบสถาบันการเงินก็จะหายใจได้คล่องขึ้นจากภาวะดอกเบี้ยที่ลดลง ผมเชื่อว่า กนง.ชุดใหม่คงจะมีการตัดสินใจได้ฉับไวตามพลวัตรของเศรษฐกิจที่เปลี่ยนไปตลอดเวลานะครับ


กิติชัย เตชะงามเลิศ
        05/12/58



ติดตามสาระดีๆทั้งไลฟ์สไตล์และการลงทุนได้ที่
 Facebook : https://www.facebook.com/VI.Kitichai
 Twitter : http://twitter.com/value_talk
 Instagram : Gid_Kitichai
 Blog : http://kitichai1.blogspot.com
 You Tube : http://www.youtube.com/user/wittayu9
 Google+ : https://www.google.com/+KitichaiTaechangamlert
 Linkedin : https://www.linkedin.com/in/homeproperty
 Pinterest : http://www.pinterest.com/kitichai/
 หรือ หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ทุกวันพุธหน้า B8หนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ และนิตยสารคนรวยหุัน, Condo Guide, Glow, และ Me(Market Evolution) ทุกเดือน 
ถ้าท่านชอบบทความผม ท่านสามารถสมัครสมาชิกโดยเอาเม้าส์ไปทางด้านขวามือจะมีแถบแสดงออกมา แล้วเลือกคลิกไอคอนที่เขียนว่าสมัครรับข้อมูล เมื่อผมมีบทความใหม่ ท่านก็จะทราบทันที


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น