เครื่องดื่มกับภาษีสุขภาพ
สัปดาห์ที่ผ่านมา
มีข่าวเล็กๆอยู่ชิ้นหนึ่ง ที่ผมอยากเขียนถึงมานาน นั่นคือ
ข่าวที่สมาคมอุตสาหกรรมเครื่องดื่มไทย
คัดค้านแนวคิดของรัฐที่จะจัดเก็บภาษีสรรพสามิตเครื่องดื่มรสหวานจากน้ำตาล
เพื่อแก้ปัญหาโรคอ้วน และโรคอื่นๆที่เกี่ยวข้อง โดยอ้างว่าเป็นการแก้ปัญหาไม่ตรงจุด
เป็นการเลือกปฏิบัติกับสินค้าเครื่องดื่ม
ทั้งๆที่มีอาหารอื่นๆที่มีปริมาณน้ำตาลมากเช่นกัน
และโรคอ้วนเกิดจากพฤติกรรมการบริโภคที่ไม่สมดุลของตัวผู้บริโภคเอง
โดยร่างกายมีการรับพลังงานเข้ามามากว่าใช้ไปในแต่ละวัน
ส่วนเกินที่ว่านี้จึงเป็นสาเหตุให้เกิดโรคอ้วน
เรามาแยกดูกันเป็นประเด็นๆครับ
1.ภาษีสรรพสามิต
ปกติจะเรียกเก็บกับสินค้าที่ก่อให้เกิดโทษกับผู้บริโภค หรือสังคมได้ เช่น รถยนต์
เวลาใช้สอยจะมีการปล่อยก๊าซคาร์บอนมอน๊อกไซด์ซึ่งเป็นอันตรายต่อสุขภาพเมื่อสูดดมเข้าไป
และก๊าซพวกนี้สามารถซึมเข้าไปในร่างกายผ่านทางผิวหนังคนเราได้ด้วย
เช่นเดียวกับบุหรี่ นอกจากจะเป็นอันตรายต่อผู้สูบ ทำให้เป็นโรคถุงลมโป่งพอง
มะเร็งปอด ยังเป็นอันตรายต่อผู้ที่อยู่ใกล้ชิดด้วย สุราก็ทำให้เกิดตับแข็ง
และเป็นสาเหตุใหญ่ที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุ ปีๆ
หนึ่งเราสูญเสียทรัพยากรบุคคลจากอุบัติเหตุ โดยเฉพาะช่วงเทศกาล
ซึ่งสาเหตุหนึ่งก็มาจากการเมาสุรา
ซึ่งผมเห็นด้วยกับกรมสรรพสามิตที่น่าจะเรียกเก็บภาษีสรรพสามิตกับสินค้าเหล่านี้ในอัตราที่สูงขึ้นทุกปี
ผมคิดว่าการขึ้น 10% ทุกๆปีจะทำให้คนไทยลดการบริโภคสินค้าที่ทำลายสุขภาพลงไปได้ในที่สุด
ทำให้ประเทศชาติ และรัฐบาลประหยัดค่าใช้จ่ายรวมทั้งเงินตราต่างประเทศที่จะต้องนำเข้ายารักษาโรคมารักษาพยาบาลผู้ป่วย
หรือผู้ประสบเหตุเนื่องจากสินค้าเหล่านี้
2.อาหารที่มีรสหวานจัด
จากปริมาณน้ำตาลที่ใส่เข้าไปมากเกินความพอดี มีโทษต่อสุขภาพจริงหรือ
จากบทความทางการแพทย์ต่างก็พิสูจน์แล้วว่า การบริโภคน้ำตาลที่เกินพอดี
เป็นต้นตอของโรคหลายชนิด โดย AMERICAN HEART
ASSOCIATION แนะนำว่า ไม่ควรบริโภคน้ำตาลเกินกว่า 36 กรัมต่อวัน
สำหรับผู้ชาย และ 24 กรัมต่อวัน
สำหรับผู้หญิง ทีนี้เรามาดูปริมาณน้ำตาลในขวดชาเขียวขนาด 500 cc. ในท้องตลาดกันครับว่า ในแต่ละขวดมีปริมาณน้ำตาลเท่าไหร่กันบ้าง
ผมขออนุญาตไม่ระบุยี่ห้อแต่ขอกระซิบดังๆว่าเป็นยี่ห้อยอดนิยมที่คุณรู้จักกันดี
1.ชาเขียวน้ำผึ้งผสมมะนาว
มีน้ำตาล
54.50กรัม (= น้ำตาล 13.6 ช้อนชา แม่เจ้า!!)
2.ชาดำเลมอนไอซ์ที มีน้ำตาล
52.50 กรัม
3.ชาเขียวผสมเก็กฮวย
และชาเขียวรสข้าวญี่ปุ่น มีน้ำตาล 33.50 กรัม = น้ำตาล 8.3
ช้อนชา
4.ชาเขียวต้นตำหรับ มีน้ำตาล 31.50
กรัม
นั่นหมายถึงถ้าคุณดื่มชาเขียว
2 ตัวแรก วันละขวด คุณจะได้รับน้ำตาลคิดเป็น 1.50 เท่าของน้ำตาลที่คุณสุภาพบุรุษควรทานต่อวัน
และประมาณ 2.20 เท่าสำหรับคุณสุภาพสตรี ส่วนตัวที่ 3 และ 4
คุณแทบจะหมดสิทธิ์บริโภคน้ำตาลจากอาหาร และเครื่องดื่มที่เหลือภายในวันเลยทีเดียว
ผมยังสงสัยมาหลายปีแล้วว่าทำไม กรมสรรพสามิตจึงไม่เก็บภาษีกับสินค้าเหล่านี้
ซึ่งควรจะรวมไปถึงเครื่องดื่มอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น น้ำเกลือแร่ FUNCTION DRINK เครื่องดื่มอื่นๆไม่ว่าจะเป็น นมจืดรสหวานต่างๆ
นมข้นหวาน โยเกิร์ตที่มีปริมาณน้ำตาลสูง
โดยน่าจะกำหนดให้เครื่องดื่มที่มีปริมาณน้ำตาล มากกว่า 20 กรัมต่อลิตร
ต้องเสียภาษีสรรพสามิต ยิ่งมีน้ำตาลเยอะๆยิ่งต้องเสียภาษีเพิ่มขึ้น
ผมเชื่อว่าเริ่มแรก อาจจะมีเสียงงอแงจากผู้ผลิต แต่ในที่สุดก็จะปรับตัวกันได้
โดยคงจะทยอยออกรสชาติใหม่ๆที่มีปริมาณน้ำตาลน้อยลง
เพื่อที่จะไม่ต้องเสียภาษีสรรพสามิต ในเมื่อเครื่องดื่มทุกประเภทโดนเหมือนกันหมด
ก็จะไม่มีใครได้เปรียบเสียเปรียบ การที่ผู้บริโภคจะ SWITCH เครื่องดื่มจากประเภทหนึ่งไปอีกประเภทหนึ่งก็จะไม่เกิดขึ้น
สุขภาพของคนในชาติก็จะดีขึ้น ช่วยประหยัดเงินตราของชาติได้เป็นอย่างมาก
นอกจากเครื่องดื่มแล้ว
พวก SNACK ทั้งหลายที่มีปริมาณน้ำตาล
และหรือเกลือที่มากเกินไป ก็เป็นตัวการทำลายสุขภาพเช่นกัน ไหนๆก็ไหนๆแล้ว
กรมสรรพสามิตควรจะจัดเก็บภาษีสรรพสามิตกับสินค้าเหล้านี้ด้วยเช่นกัน
ยี่ห้อดังๆพวกมันฝรั่งทอดนี่แหละตัวดีเลย ปริมาณเกลือเกินพอดีทั้งนั้น
เก็บกันแบบครบวงจรเลย รัฐเองก็จะมีรายได้จากภาษีสุขภาพเหล่านี้มากขึ้น และผมอยากให้นำภาษีนี้ไปใช้ในโครงการที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพของคนในชาติ
จะได้ตรงกับวัตถุประสงค์ของภาษี
ถ้ารัฐนำมาตรการนี้ออกมาใช้จริงๆ
นักลงทุนคงต้องรีบทำการบ้านกันว่าจะกระทบหุ้นตัวไหนกันบ้าง จะได้รีบขายทิ้งก่อนที่ราคาจะตกแรงๆนะครับ
กิติชัย เตชะงามเลิศ
2/3/59
2/3/59
1.หนังสือ "จาก1ล้านเป็น500ล้านผมทำอย่างไร" เล่าประสบการณ์การลงทุนของผมที่นำไปใช้ได้ง่ายๆ
2.หนังสือ "ออมจากน้อยเป็นร้อยล้าน" แนะวิธีออมเงินเพียงเดือนละหลักพัน ก็เป็นเศรษฐี 100 ล้าน ก่อนอายุ 50 ปี!
2.หนังสือ "ออมจากน้อยเป็นร้อยล้าน" แนะวิธีออมเงินเพียงเดือนละหลักพัน ก็เป็นเศรษฐี 100 ล้าน ก่อนอายุ 50 ปี!
ติดตามสาระดีๆทั้งไลฟ์สไตล์และการลงทุนได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/VI.Kitichai
Twitter : http://twitter.com/value_talk
Instagram : Gid_Kitichai
Blog : http://kitichai1.blogspot.com และ http://money.sanook.com/kitichai/
You Tube : http://www.youtube.com/user/wittayu9
Google+ : https://www.google.com/+KitichaiTaechangamlert
Linkedin : https://www.linkedin.com/in/homeproperty
Pinterest : http://www.pinterest.com/kitichai/
1.หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ทุกวันพุธหน้า A10 ในคอลัมน์ "เขียนอย่างที่คิด"
2.หนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจหน้า 15 เดือนละครั้ง ในคอลัมน์ “จับช่องลงทุน”
3.นิตยสาร Condo Guide ทุกเดือน
4.นิตยสาร คนรวยหุัน Me(Market Evolution) และ วารสารเภตรา ทุกไตรมาส
5. http://www.amthai.co.uk เดือนละครั้ง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น