จาก1ล้านเป็น500ล้านผมทำอย่างไร

จาก1ล้านเป็น500ล้านผมทำอย่างไร
เล่าประสบการณ์การลงทุนของผมที่นำไปใช้ได้ง่ายๆ

วันอังคารที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2556

หมีตัวใหญ่กำลังตะปบ SET

หมีตัวใหญ่กำลังตะปบ SET

          ช่วงนี้ผมค่อนข้างเขียนถึง SET INDEX ค่อนข้างบ่อย เนื่องจากกำลังเป็นที่สนใจและหนักใจของนักลงทุนส่วนใหญ่ในตลาด จากการที่ตลาดหุ้นถูกเทขายถล่มทลายจากนักลงทุนต่างชาติทำให้ SET INDEX ตกลงไปมากกว่า 300 จุด ภายในเวลา 1 เดือน นอกจากนั้นยังมีการเทขายพันธบัตรรัฐบาลไทยอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาร่วมแสนล้านบาท ส่งผลให้ Bond yield ระยะตั้งแต่ 3 ปีขึ้นไปเพิ่มขึ้น 0.50% พลอยทำให้ค่าเงินบาทจากเคยไปแข็งที่ 28.67 อ่อนมาแตะ 31.18 บาท นักลงทุนหน้าใหม่ที่เพิ่งเข้าตลาดมาปีนี้ คงจะหนักใจ เพราะยังไม่เคยผ่านประสบการณ์แบบนี้มาก่อน ในฐานะที่ผมเป็นนักลงทุนในตลาดหลักทรัพย์มานานร่วม 20 ปี ผ่านร้อนผ่านหนาวมาหลายวิกฤตการณ์แล้ว ก็รู้สึกเฉยๆ เพราะว่าเดี๋ยวมันก็จะผ่านไปเอง เรามาดูสาเหตุของการตกลงรอบนี้ว่าเกิดจากอะไรและในอนาคตอันใกล้ตลาดหุ้นจะเป็นอย่างไรกันดีกว่า ผมพยายามรวบรวมปัจจัยต่างๆ ที่มีและจะมีผลกระทบตลาดหุ้นไทยไว้ดังนี้ครับ
          1. FED จะลดมาตรการ QE ภายในปีนี้หรือไม่ ถ้าลดจะลดเท่าไร จากที่ปัจจุบันปริมาณ QE เดือนละ 85,000 ล้าน $ และเริ่มลดเดือนไหน
          2.  FED จะยกเลิกมาตรการ QE ในปีหน้าหรือไม่ ถ้าเลิกจะเลิกเดือนไหน
          3.  FED จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายหรือไม่ ถ้าขึ้นจะขึ้นเท่าไร และเมื่อไร โดยคณะกรรมการ FED 16 คน จาก 19 คน มีความเห็นว่าควรขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายภายในปี 2558 ฟองสบู่ตลาดพันธบัตรใกล้จะแตกแล้ว
          4.  แรงเทขายพันธบัตรรัฐบาลไทยของนักลงทุนต่างชาติ จะยังมีต่อเนื่องอีกหรือไม่จากการเทขายจนปริมาณการถือครองลดลงจาก 870,000 ล้านบาท เมื่อปลายเดือนเมษายน ซึ่งคิดเป็น 9.92% ลงเหลือ 789,000 ล้านบาทเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว
          5.  ค่าเงินบาทที่ยังมีแนวโน้มอ่อนมากเมื่อเทียบกับค่าเงินดอลลาร์จะทำให้นักลงทุนต่างชาติ นอกจากจะชะลอที่จะเข้าซื้อหุ้นไทย ยังมีแรงขายหุ้นไทยต่อเนื่อง
          6.  ตัวเลขดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมที่รายงานโดย HSBC ได้ชี้ให้เห็นว่าเศรษฐกิจจีนได้มีการชะลอตัวลงอย่างเห็นได้ชัด ทำให้หลายๆ หน่วยงานได้ปรับคาดการณ์การเติบโตของ GDP จีน ลดลงจากเดิมประมาณ 8% เหลือเพียง 7.30-7.50% ซึ่งสอดคล้องกับทีมผู้นำใหม่ของจีน ที่ไม่มีนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ
          7.  เมื่อปลายสัปดาห์ที่แล้วอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ระยะสั้นของจีนพุ่งขึ้นแตะระดับ 13% สะท้อนถึงภาวะตึงตัวในตลาดเงิน และยังมีข่าวลือว่าธนาคารยักษ์ใหญ่ของจีนคือ ICBC และ BANK OF CHINA กู้เงินลุกเฉินจากธนาคารกลางจีน (PBOC) แต่ทั้ง 2 ธนาคารได้ออกมาปฏิเสธข่าวไปเรียบร้อย สภาวะสภาพคล่องฝืดเคือง เกิดจาก PBOC ต้องการที่จะควบคุมสินเชื่อบางประเภท  โดยเฉพาะสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ เพราะเกรงว่าจะเกิดฟองสบู่ซึ่ง PBOC ได้ดำเนินการมาต่อเนื่องมาตลอด และช่วงที่ผ่านมา PBOC ก็ไม่ได้เข้ามาเติมสภาพคล่องในตลาดอินเตอร์แบงค์เลย แสดงถึงนโยบายที่ไม่เน้นการผ่อนคลาย  เพื่อป้องกันความเสี่ยงในระยะกลาง และระยะยาวของหนี้สาธารณะที่มีเป็นจำนวนมากโดยเฉพาะของรัฐบาลท้องถิ่น ถึงแม้ว่าจะมีเสียงเรียกร้องจากหน่วยงานเอกชนให้ PBOC ช่วยอัดฉีดเงินเข้าตลาดก็ตาม ผมคิดว่านักลงทุนทั่วโลก จะให้ความสำคัญกับเศรษฐกิจของจีนมากขึ้นในระยะต่อไปนี้ โดยเฉพาะประเทศไทยเรา ที่มีจีนเป็นคู่ค้าหลัก ย่อมต้องได้รับผลกระทบไปด้วย เป้าหมายการส่งออก มีการปรับลดลง ส่งผลไปถึงเป้าหมายเติบโตของ GDP ของไทยก็มีการปรับการคาดการณ์ลงจากหน่วยงานต่างๆ ซึ่งแน่นอนนักวิเคราะห์น่าจะมีการปรับการคาดการณ์ผลกำไรของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์และตลาด MAI ลง หลังจากมีการประกาศผลประกอบการไตรมาส 2 ทำให้ EXPECTED P/E สูงขึ้น จากค่า E (EPS) ที่ลดลงซ้ำร้ายไปกว่านั้น ตัวคูณ(MULTIPLIER) ที่นักวิเคราะห์ที่เคยให้ในอัตราที่สูงก็จะให้น้อยลง เนื่องจากอัตราการเติบโตของกำไรที่ลดลงตัวคูณที่ใช้ก็จะมีค่าลดลง กลายเป็นนักลงทุนเจอ 2 เด้งเลย กลุ่มอุตสาหกรรมที่นักลงทุนเคยยอมรับที่ P/E ระดับสูงก็จะกลายเป็นอดีตถ้าผลประกอบโตไม่ดีเท่าที่คาดการณ์ไว้ โดยเฉพาะกลุ่มพาณิชย์ซึ่งเป็นกลุ่มที่ซื้อขายกันในระดับ P/E ที่สูงที่สุดในตลาดหลักทรัพย์  จึงถูกเทขายล่วงหน้า หลายๆ ตัวลงแรงกว่าตลาดเมื่อเร็วๆ นี้ ซึ่งผมคาดว่า ยังเป็นกลุ่มที่ต้องระมัดระวังในการลงทุน เพราะว่าระดับ P/E ยังสูงมาก เมื่อเทียบกับ SET INDEX ยังน่าจะมีแรงเทขายในกลุ่มนี้อีกสักระยะหนึ่ง
          8.  ธปท. จะตัดสินอย่างไรเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ 2.50% คนละคนต้องเปรียบเทียบน้ำหนักระหว่างภาวะเศรษฐกิจของโลกที่ชะลอตัวลงรวมทั้งเศรษฐกิจไทยด้วยกับความเสี่ยงในระดับหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูงและเริ่มเห็นอัตราหนี้เสียที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ในขณะที่อัตราเงินเฟ้อยังอยู่ในภาวะที่ควบคุมได้

          จากปัจจัยต่างๆ ที่กล่าวมา  คาดว่าเราน่าจะได้เห็นจุดต่ำสุดของ SET INDEX ใหม่จากที่เคยทำไว้ที่ 1,351.95 (13/6/56) แนวรับถัดไปอยู่ทีแถวบริเวณ 1,300 บวกลบซึ่งเป็น TRIPPLE TOP ที่สร้างไว้เดือนตุลาคม-พฤศจิกายนปีที่แล้ว และมีแนวรับที่แข็งแกร่งที่ 1,250-1,260 ซึ่งเป็นแนวรับ 50% ของ Fibonacci Retracement  ที่คำนวณจาก Low 843.69 (4/10/54) กับ High 1,649.77 (21/5/56) ปกติข่วงปลายเดือนมิถุนายนของทุกปี จะมีการทำ Window Dressing ถ้าปีนี้มีทำอีกถือเป็นโอกาสที่ดีที่นักลงทุนมีโอกาสขายหุ้นในราคาที่สูงขึ้นแล้วรอแถวๆ 1,250-1,300 ซึ่งตลาดหุ้นไทยจะค่อนข้างถูก เมื่อเทียบกับอัตราการเติบโตของกำไรของบริษัทจดทะเบียน เป็นจุดที่น่าลงทุนมากครับ 
กิติชัย เตชะงามเลิศ
หนังสือ "จาก 1 ล้านเป็น 500 ล้าน ผมทำอย่างไร" ยอดขายขื้นอันดับหนื่งตั้งแต่วันแรกจำหน่ายและครองอันดับ 1 ติดต่อกันมานาน

ติดตามแนวทางการลงทุนของผมได้ที่
https://www.facebook.com/VI.Kitichai , http://twitter.com/value_talk , http://www.youtube.com/user/wittayu9 และ http://kitichai1.blogspot.com

รายการถอดระหัสหุ้น ทุกวันจันทร์ และ วันศุกร์ เวลา 9.00-9.45 น. ทางTruevisions(Platinum/Gold) ช่อง 87, Truevisions(Knowledge) ช่อง 53, PSI ช่อง24, IPM ช่อง 313, GMM Z ช่อง 64, Big 4 ช่อง 90, Sunbox ช่อง 105 หรือwww.hplus.co.th
หรือหนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ทุกวันพุธหน้า B6 หรือหน้า B10 และนิตยสารคนรวยหุัน, Condo Guide, Stock Review, Me(Market Evolution), Glow และ Lisa  ทุกเดือน
    

สนใจซื้ออสังหาเพื่ออยู่เองหรือเพื่อการลงทุน ลองเข้าhttp://www.pantipmarket.com/mall/homeproperty

คอนโดหรูในซอยสุขุมวิท 23 (ประสานมิตร) (เดิน 6 นาที จาก MRT,BTS อโศก) ราคาถูก

ขาย-เช่า คอนโดเพรสทรีจคอนโด อยู่ในซอยสุขุมวิท 23 (ประสานมิตร) ห่างจากสถานีรถไฟใต้ดิน (สุขุมวิท) และสถานีรถไฟฟ้า BTS (อโศก) ไม่ถึง 500 เมตร ทางไปตึกเริ่มจากปากซอยสุขุมวิท23(ซอยนี้เป็นทางลัดไปออกสุขุมวิท55ทองหล่อและถนนเพชรบุรีได้)ตรงเข้าซอยไป200ม.ถึง3แยกเลี้ยวขวา ตรงไป50ม.เป็น4แยกเล็กๆเลี้ยวซ้าย ตรงไป100ม.เป็น4แยกเล็กๆให้ตรงไปอีก30ม.ตึกอยู่ขวามีอ ในโครงการมีสระว่ายน้ำ ห้องฟิตเนส ห้องล๊อคเกอร์แยกชายหญิง ห้องที่จะขายอยู่ชั้น 5 อาคาร B เลขที่ห้อง 168/40 พื้นที่ 174.49 ตารางเมตร พร้อมที่จอดรถส่วนตัว 1 คัน ในห้องนี้ มี 2 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ รับแขก ครัว ซักล้าง และห้องคนรับใช้พร้อมห้องน้ำในตัว 1 ห้อง เฟอร์นิเจอร์ และเครื่องใช้ไฟฟ้า สวยมาก ครบถ้วน ขายที่ราคา 8.5 ล้านบาทถ้วน  ให้เช่าห้อง 35,000 บาท/เดือน ค่าส่วนกลางเดือนละ4,300บาท 
***Still available. ติดต่อ 081-5549777


วันพุธที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2556

อุตสาหกรรมรถยนต์ในประเทศ

อุตสาหกรรมรถยนต์ในประเทศ


          อุตสาหกรรมที่เป็นดาวเด่นของประเทศไทยดวงหนึ่ง ก็คือ อุตสาหกรรมรถยนต์ ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่ไทยเราสามารถแข่งขันกับตลาดโลกได้ โดยเมื่อปีที่แล้วประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 10 ของผู้ผลิตรถยนต์โลก โดยมีจีนเป็นอันดับหนึ่ง (19.2 ล้านคัน) ตามมาด้วยสหรัฐในอันดับที่ 2 (10.20 ล้านคัน) และญี่ปุ่นอันดับที่ 3 (9.4 ล้านคัน) เยอรมันอันดับที่ 4 (5.69 ล้านคัน) อินเดียอันดับที่ 5 (4.1 ล้านคัน) โดยปีที่แล้วประเทศไทยมีกำลังการผลิตที่ 2.45 ล้านคัน เพิ่มจากปี 2554 ถึง 68.32 % ซึ่งเป็นปริมาณที่สูงที่สุดในประวัติศาสตร์ รอบ 51 ปี ในการผลิตรถยนต์ของไทย แซงหน้าประเทศสเปน รัสเซีย ฝรั่งเศล จากอันดับที่ 14 ในปี 2554 ด้วยอานิสงค์ของโครงการรถยนต์คันแรกของรัฐบาล กอรปกับช่วงปลายปี 2554 ภาวะน้ำท่วมครั้งใหญ่ในรอบ 50 ปี ทำให้ยอดการผลิตและยอดการซื้อรถยนต์เลื่อนมาปี 2555 โดยปีที่แล้วไทยเรามียอดผลิตรถยนต์ถึง 2.45 ล้านคัน และทางสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (สอท.) คาดการณ์ว่าปีนี้เราน่าจะมียอดผลิตรถยนต์ในระดับ 2.55 ล้านคัน  แบ่งเป็นส่งออก 1.08 ล้านคันและขายในประเทศ 1.37 ล้านคัน เนื่องจากได้รับอานิสงค์จากโครงการรถยนต์คันแรกของรัฐที่ยังไม่สามารถส่งมอบให้แก่ลูกค้าอีก 700,000 คัน ซึ่งมีสิทธิ์ต่ำให้ไทยก้าวไปสู่อันดับที่ 9 ของผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ของโลก แซงประเทศแคนาดา โดยปีที่แล้วเรากับแคนาดาสูสีกัน ต่างกันเพียง 10,000 คันเท่านั้น ส่วนยอดการส่งออกรถยนต์ ของไทยอยู่ที่ 1.08 ล้านคัน คิดเป็นมูลค่า 490,000 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 40% อยู่ในอันดับที่ 7 ของโลก ส่วนยอดขายรถยนต์ในประเทศอยู่ที่ 1.37 ล้านคันเพิ่มขึ้น 81% อยู่ในอันดับที่ 13 ของโลก โดยรายละเอียดประเภทของรถยนต์ที่ผลิต เมื่อปีที่แล้วแบ่งเป็นรถยนต์นั่ง 957,000 คัน เพื่มขึ้น 78% รถกระบะ 1 ตัน 1,452,000 คัน เพิ่มขึ้น 11.50% ส่วนยอดขายรถยนต์ในประเทศปีที่แล้ว แบ่งเป็นรถยนต์นั่ง 672,000 คัน เพิ่มขึ้น 87% รถกระบะ 666,000 คัน เพิ่มขึ้น 82%
          อุตสาหกรรมรถกระบะ 1 ตันเป็นดาวเด่นของไทยมานาน จนกระทั่งนโยบายรถ ECO CAR ทำให้รถยนต์ ECO CAR เป็นอีกประเภทหนึ่งที่กำลังจรัสแสง เนื่องจากได้รับการส่งเสริมและสนับสนุนจากรัฐ กอรปกับผู้ผลิตรถยนต์ชนใดสัญชาติเกาหลีและจีนเริ่มให้ความสนใจบ้านเรามากขึ้น หากมีผู้ผลิตเพิ่มขึ้น ก็จะยิ่งส่งผลดีต่อภาพรวมอุตสาหกรรมรถยนต์ของไทย นอกจากนั้นเมื่อปีที่แล้ว บริษัทโตโยต้ามอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น ส่งออกรถยนต์จากฐานการผลิตในประเทศไปยังตลาดตะวันออกกลางและละตินอเมริกาเพิ่มขึ้นอย่างมาก จนส่งผลให้ฐานการผลิตรถยนต์โตโยต้าในไทยแซงหน้าจีนขึ้นมาเป็นฐานอันดับที่ 3 ทางบล.แมคคอยรี่ประเมินว่ากำลังการผลิตรถยนต์ของไทย น่าจะอยู่ที่ 3 ล้านคันภายในปี 2558 ดูแล้วไทยเราเป็นดีทรอยด์แห่งเอเชียจริงๆ ส่วนทาง บล.บาร์เคลย์ ระบุค่าไทยเป็นตลาดที่มีความสำคัญต่อธุรกิจขนส่งสินค้าทางเรือ จากยอดการส่งออกรถยนต์ของไทยที่เติบโตขึ้นมาอย่างมากในช่วงหลายปีที่ผ่านมา นอกจากยอดขายรถยนต์ที่พุ่งกระฉูดเมื่อปีที่แล้ว ยอดส่งออกเครื่องยนต์ชิ้นส่วนและอะไหล่รถยนต์ก็มีมูลค่าถึงเกือบ 220,000 ล้านบาท เพราะว่าไทยเรามีผู้ผลิตชิ้นส่วนทั้ง TIER 1 และ TIER 2 ที่มีความสามารถและคุณภาพการผลิตที่ดีอยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งเป็นสาเหตุให้เรามียอดผลิตรถยนต์ที่สูง และทำให้การตัดสินใจขยายกำลังการผลิตของค่ายรถยนต์ที่อยู่ในประเทศไทยอยู่แล้ว และผู้ผลิตรถยนต์ค่ายอื่นๆ ที่ยังไม่เคยเข้ามาผลิตในไทย จะย้ายหน่วยการผลิตมาไทย หรือเพิ่มกำลังการผลิตในไทยซึ่งแรงงานในไทยในอุตสาหกรรมนี้ไม่แพ้แรงงานชาติอื่นในด้านคุณภาพ แถมยังมีค่าแรงที่ไม่สูงนัก ยกตัวอย่างเช่น โตโยต้ากับอีซูซุที่กำลังสร้างโรงงานที่เกตเวย์  ขณะที่นิสสันสร้างโรงงานแห่งที่ 2 ที่บางนา-ตราด มูลค่ากว่า 10,000 ล้านบาท มิตซูบิชิขยายกำลังการผลิตที่โรงงานแหลมฉบัง มาสด้าก็ลงทุนเพิ่มอีก 10,000 กว่าล้านบาทเพื่อสร้างโรงงานเกียร์ และฮอนด้าสร้างโรงงานใหม่ ซึ่งจะทำให้มีกำลังการผลิตถึง 420,000 คัน ในปี 2558 จากการขยายกำลังการผลิตของค่ายรถยนต์ต่างๆ จะทำให้ยอดผลิตรถยนต์ ในไทยขึ้นแตะระดับ 3 ล้านคันภายในปี 2558 -2559 ดูแล้วแทบไม่น่าเชื่อเลยนะครับ เมื่อย้อนไปสมัยรัชกาลที่ 5 ที่เริ่มมีนำเข้ารถยนต์จากยุโรปมาใช้ในประเทศไทย จนต่อมาจึงได้เริ่มมีการผลิตรถยนต์ในประเทศไทยเมื่อประมาณปี 2505 จนมีพัฒนาการต่อเนื่องจนมาถึงปัจจุบันนี้
          ปีนี้ ยอดการผลิตรถยนต์จะได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้หรือไม่ อยู่ที่ยอดขายในประเทศซึ่งน่าเป็นห่วงอย่างมาก จากการทิ้งใบจองรถในโครงการรถคันแรกเป็นจำนวนมาก โดยคาดการณ์กันว่าน่าจะมีไม่น้อยกว่า 20% มิฉะนั้นโชว์รูมรถยนต์หลายๆ ยี่ห้อ คงไม่อัดแคมเปญกันน่าดูในช่วงนี้ ดูท่าผู้ผลิตรถยนต์คงต้องออกแรงดันด้านการส่งออกให้มากขึ้น เพื่อทำให้เป้ารวมของยอดขายในประเทศบวกกับยอดส่งออกแล้ว จะพิชิตเป้าหมายได้ ส่วนนักลงทุนที่ลงทุนหุ้นในกลุ่มนี้ คงต้องคอยดูรายงานยอดขายรถยนต์ในประเทศที่ประเทศเป็นรายเดือน เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการลงทุน โดยอาจจะรอให้ตัวเลขที่ประกาศออกมาไม่ค่อยดี แล้วราคาหุ้นที่ท่านศึกษาแล้วว่าเป็นธุรกิจที่ดีร่วงลงมา เป็นจังหวะที่จะทยอยเก็บลงทุน เนื่องจากอุตสาหกรรมรถยนต์ยังน่าจะเป็นดาวจรัสแสงของไทยไปอีกหลายปี
กิติชัย เตชะงามเลิศ
หนังสือ "จาก 1 ล้านเป็น 500 ล้าน ผมทำอย่างไร" ยอดขายขื้นอันดับหนื่งตั้งแต่วันแรกจำหน่ายและครองอันดับ 1 ติดต่อกันมานาน

ติดตามแนวทางการลงทุนของผมได้ที่
https://www.facebook.com/VI.Kitichai , http://twitter.com/value_talk , http://www.youtube.com/user/wittayu9 และ http://kitichai1.blogspot.com

รายการถอดระหัสหุ้น ทุกวันจันทร์ และ วันศุกร์ เวลา 9.00-9.45 น. ทางTruevisions(Platinum/Gold) ช่อง 87, Truevisions(Knowledge) ช่อง 53, PSI ช่อง24, IPM ช่อง 313, GMM Z ช่อง 64, Big 4 ช่อง 90, Sunbox ช่อง 105 หรือwww.hplus.co.th
หรือหนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ทุกวันพุธหน้า B6 หรือหน้า B10 และนิตยสารคนรวยหุัน, Condo Guide, Stock Review, Me(Market Evolution), Glow และ Lisa  ทุกเดือน
    

สนใจซื้ออสังหาเพื่ออยู่เองหรือเพื่อการลงทุน ลองเข้าhttp://www.pantipmarket.com/mall/homeproperty

ขาย คอนโด วิช สามย่าน เดิน 2 นาที จาก รถไฟใต้ดิน สถานี สามย่าน ราคาต่ำกว่าโครงการสุด ๆ 2 ห้อง(ชั้น19) ราคา 4.2 ล้าน
                
   โครงการนี้มี 25 ชั้น มีจำนวนห้องทั้งหมด ประมาณ 500 ยูนิต, ถนนสี่พระยา บางรัก ห่างจาก สถานี รถไฟใต้ดิน  สามย่าน ประมาณ 100 เมตร ใกล้ อาคารจามจุรีสแควร์ ตลาดสามย่าน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เตรียมอุดมศึกษา สาธิตจุฬา อาคารชาญอิสระ โรงพยาบาลจุฬาฯ สวนลุมพินี ฯลฯ  มีสวนลอยฟ้า สระว่ายน้ำพร้อมสระเด็ก และห้องออกกำลังกาย ที่ชั้น 19    
การเดินทางโดยทางด่วน
ขึ้นลง ทางด่วนสามย่าน หัวลำโพง
ขึ้นลง ทางด่วนเชื้อเพลิง พระรามสี่
ขึ้นลง ทางด่วนสุรวงศ์ สีลม
      การเดินทางโดยรถประจำทาง สายที่ผ่าน คือ 1 , 16 ,36 , 45 , 75, 93 และ 187

   ห้องที่จะขายอยู่ชั้น 19
1.ห้อง  18/112  ชั้น 19   พื้นที่ 36.51 ตรม. ราคา 4,200,000 บาท ชั้นนี้ มีสวนลอยฟ้า     ให้เช่าห้อง 22,000 บาท/เดือน
2.ห้อง  18/113  ชั้น 19   พื้นที่ 36.51 ตรม. ราคา 4,200,000 บาท ชั้นนี้ มีสวนลอยฟ้า     ให้เช่าห้อง 22,000 บาท/เดือน

  โปรโมชั่นพิเศษ 
- ฟรีเงินกองทุนคอนโด มูลค่าเกือบ 20,000 บาท
- ฟรีเงินค่ามิเตอร์น้ำ/ไฟ มูลค่า 3,250 บาท


หมายเหตุ ทุกห้องของผมวิวดี ไม่มีตึกบัง
ดู VDO ที่ผมถ่ายภายในห้อง ที่ http://youtu.be/Y9j1a7pm-xk
     

วันพุธที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2556

หรือหมีมาเยือน

หรือหมีมาเยือน

          ช่วงนี้ตลาดหุ้นทั่วโลก ดูจะมีการปรับตัวลงต่อเนื่อง หลังจากตลาดหุ้นทั่วโลกได้ไปทำจุดสูงสุดของปี เมื่อ 2 สัปดาห์ก่อน แล้วหมีก็มาตะปบกระทิงเปลี่ยวจนอยู่หมัด หลังจากท่านประธานเฟค เบน เบอร์นันเก้ ออกมากล่าวว่าอาจจะมีการลด หรือยกเลิกมาตรการ QE ถ้าตัวเลขทางเศรษฐกิจดีขึ้นจนถึงระดับที่น่าพอใจ นั่นคือตัวเลขว่างงานของคนอเมริกันต่ำกว่า 6.50% หรือตัวเลขเงินเฟ้อพุ่งเกิน 2.50% ทำให้ตลาดพันธบัตรระยะยาวของสหรัฐ และญี่ปุ่นพุ่งขึ้นทันทีโดยพันธบัตรสหรัฐ 10 ปี ขึ้นจาก 1.90% เป็น 2.24% และพันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่น 10 ปี จาก 0.90% ขึ้นไปเป็น 1% และพันธบัตร 30 ปี จาก 1.78% ขึ้นไปเป็น 1.88% ตลาดหุ้นก็ตกลงทันที โดยตลาดหุ้นญี่ปุ่นตกลง 7% ภายในวันเดียวเมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม แล้วลงต่อเนื่องมา ประมาณ 10% แล้วจากสุดสูงสุด เนื่องจากตลาดหุ้นญี่ปุ่นตั้งแต่ต้นปีขึ้นมาแรงมากประมาณ 50% จึงปรับตัวมากกว่าตลาดหุ้นอื่นๆ ตลาดหุ้นไทยเราเองจากต้นปีขึ้นมา 258 จุด คิดเป็น 18.53% ก็พลอยปรับตัวลงไปแล้ว 6% จากต้นปี ตลาดหุ้นเราก็ขึ้นมา 18.53% จากปีที่แล้วถ้าวัดจากจุดสูงสุดของปีนี้ เราลองมาดูปัจจัยที่มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจและตลาดหุ้นในช่วงนี้มีอะไรบ้าง
          1) คำแถลงของท่านเบน เบอร์นันเก้ เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคมที่ผ่านมา
          2) อัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวของสหรัฐและญี่ปุ่นพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วยังทำให้มีการวิเคราะห์กันว่า นักลงทุนเทขายหุ้นเพื่อมาชดเชยขาดทุนจากตลาดพันธบัตร และต้นทุนในการทำ YEN CARRY TRADE ก็สูงขึ้น จากอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น เงินที่จะไหลเข้ามาซื้อหุ้นในตลาดเอเชียรวมทั้งตลาดไทยจะลดลง
          3) แรงขายจากต่างชาติสัปดาห์ที่ผ่านมา ขายสุทธิในตลาดไทยมากกว่า 1 หมื่นล้านและขายในตลาดตราสารหนี้ เป็นจำนวนถึง 26,000 ล้านบาท ค่าเงินบาทอ่อนลง
          4) จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการ การว่างงานของสหรัฐเพิ่มขึ้น 10,000 รายสู่ระดับ 354,000 ราย ตรงข้ามกันที่ตลาดคาดการณ์ไว้ที่เพียง 340,000 ราย
          5) นักลงทุนยังกังวลมาตรการคุมเงินทุน (CAPITAL CONTROL)
          6) อัตราดอกเบี้ยนโยบายของ ธปต. จาก 2.75% ลงไป 0.25% มาอยู่ที่ 2.50% จริงๆ แล้วเป็นผลดีกับตลาดหุ้น แต่ตลาดได้คาดการณ์ข่าวนี้ไปก่อนแล้ว
          7) อัตราการเติบโตของ GDP ไตรมาส 1 ประกาศออกมาที่ 5.30% ต่ำกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ที่ 6% ทำให้สภาพัฒน์ปรับคาดการณ์ GDP ปีนี้อยู่ที่ 4.30-5.30% จากเดิม 4.50-5.50%
          8) ตัวเลขส่งออกเดือนเมษายน จากเดิมที่ประกาศไว้ว่าโต 10.52% ก็ถูกแก้เป็น 2.89% เพราะว่าทางศุลกากรลงตัวเลขส่งออกไปฮ่องกงผิด คือลงไว้โต 176.60% ซึ่งที่จริงโตเพียง 12.50% เกิดจากคีย์ข้อมูลรายการสินค้าส่งออกอิเล็คทรอนิคส์ จำนวน 1 รายการ มูลค่า 300,000 บาทแต่เจ้าหน้าที่คีย์ข้อมูลเป็น 30,000 ล้านบาท จึงทำให้เกิดความคลาดเคลื่อน ถ้ากรมศุลกากรทำผิดพลาดแบบนี้อีกความเชื่อถือจะถูกสั่นคลอน ต่อไปควรจะระวังให้มากขึ้น
          9) สศค. คาดการณ์ว่าไตรมาส 2 ปีนี้ เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้ต่ำกว่าไตรมาสแรก หากเป็นเช่นนั้น จะทำให้เศรษฐกิจไทย 2 ไตรมาสแรก ขยายตัวติดลบเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ซึ่งจะส่งผลต่อ GDP ของไทยปีนี้
          10) ตัวเลขการบริโภคภายในประเทศ ไตรมาส 1 โตเพียง 3.20% เทียบกับปีที่แล้วโตถึง 6.80% ถ้าแนวโน้มไตรมาสที่เหลือยังเป็นแบบนี้ ก็น่าเป็นห่วงนะครับ
          11) นักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าไทยเดือนเมษายน 2 ล้านคน ขยายตัว 19.40% นับว่าดีกับภาคการท่องเที่ยวที่เดียว
          12) ยอดขายรถยนต์นั่งเดือนเมษยนขยายตัวลดลงเหลือ 22.92% จากไตรมาสแรกที่ขยายตัวได้ถึง 101.30% และ 268.80% ในไตรมาส 4 ปีที่แล้ว ช่วงนี้เราจะเห็นดีลเลอร์รถยนต์หลายยี่ห้อ จัดโปรโมชั่น แค่ลองไปทดลองขับรถก็แจกคูปองซื้อสินค้า 500 บาทแล้ว ยอดทิ้งใบจองรถโครงการรถคันแรกมีจำนวนค่อนข้างสูง นักลงทุนที่ลงทุนหุ้นในกลุ่มนี้ ก็ต้องระวังหน่อยนะครับ
          13) ดัชนีเชื่อมั่นผู้บริโภคเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจโดยรวมเดือนเมษายนที่ผ่านมาลดลงครั้งแรกในรอบ 7 เดือน มาอยู่ที่ 73.90%
          14) อัตราเงินเฟ้อของไทยเดือนพฤษภาคมค่อนข้างต่ำคือ HEADLINE INFLATION เพิ่มขึ้น 2.27% YOY หรือ 0.24% MOM และ CORE INFLATION (ไม่รวมหมวดอาหารและเครื่องดื่ม) เพื่มขึ้นเพียง 0.94% YOY หรือ 0.05% MOM ทำให้ HEADLINE INFLATION 5 เดือนแรกปีนี้ เพิ่มขึ้น 2.8% YOY และ CORE INFLATION เพิ่มขึ้น 1.3% YOY ซึ่งเกิดจากการแข็งค่าของเงินบาทและการควบคุมราคาของรัฐโดยเฉพาะภาคพลังงาน และการขนส่ง การที่เงินเฟ้อต่ำทำให้ ธปท.จะยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับต่ำไว้ได้อีกระยะหนึ่ง
          15) นักลงทุนทั่วโลกรอฟังคำแถลงของท่านเบน เบอร์นันเก้ ในวันที่ 18-19 มิถุนายน โดยเฉพาะเรื่องมาตรการ QE ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างไรหรือไม่และเมื่อใด

          16) ดัชนี PMI ภาคการผลิตเดือนพฤษภาคม ของจีนออกมาดีกว่าคาดอยู่ที่ 50.8 จุดจากเดือนเมษายนที่ 50.6 จุด ทำให้นักลงทุนคลายความกังวลเรื่องการชะลอตัวลงของเศรษฐกิจจีน ส่วนอินเดียไตรมาสแรกปีนี้ขยายตัวเพียง 4.80% เป็นการขยายตัวที่ระดับต่ำกว่า 5% 2 ไตรมาสติดต่อกันแล้วเราคงจะได้เห็นการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลอินเดียในเร็วๆ นี้ ดูรวมๆ แล้วตลาดหุ้นไทย เดือนมิถุนายนนี้ โอกาสที่จะเห็นการปรับตัวขึ้นแรงๆ ไม่น่าจะเห็นมี ส่วนโอกาสที่จะปรับตัวลงแรงๆ ก็ไม่น่าจะมี เช่นกัน แนวรับตลาดหุ้นไทยอยู่ที่ประมาณ 1,500 จุดบวกลบครับ ผมคิดว่า นักลงทุนควรจะทยอยเลือกซื้อหุ้นที่คาดว่าจะมีผลประกอบการดี ได้แล้วครับ โดยให้น้ำหนักลงทุนมากหน่อย บริเวณ 1,500 จุดครับ

                                   กิติชัย เตชะงามเลิศ
หนังสือ "จาก 1 ล้านเป็น 500 ล้าน ผมทำอย่างไร" ยอดขายขื้นอันดับหนื่งตั้งแต่วันแรกจำหน่ายและครองอันดับ 1 ติดต่อกันมานาน

ติดตามแนวทางการลงทุนของผมได้ที่
https://www.facebook.com/VI.Kitichai , http://twitter.com/value_talk , http://www.youtube.com/user/wittayu9 และ http://kitichai1.blogspot.com

รายการถอดระหัสหุ้น ทุกวันจันทร์ และ วันศุกร์ เวลา 9.00-9.45 น. ทาง Truevisions(Platinum/Gold) ช่อง 87, Truevisions(Knowledge) ช่อง 53, PSI ช่อง 24, IPM ช่อง 313, GMM Z ช่อง 64, Big 4 ช่อง 90, Sunbox ช่อง 105 หรือ www.hplus.co.th
หรือหนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ทุกวันพุธหน้า B6 หรือหน้า B10 และนิตยสารคนรวยหุัน, Condo Guide, Stock Review, Me(Market Evolution), Glow และ Lisa  ทุกเดือน
    

สนใจซื้ออสังหาเพื่ออยู่เองหรือเพื่อการลงทุน ลองเข้า http://www.pantipmarket.com/mall/homeproperty

        ขายที่ดินในหมู่บ้านวินด์มิลล์ แปลงหัวมุม สวยมาก ด้านหลังติดทะเลสาบ เฟส2 เลขที่ F143 ซอย NORTH 11 พื้นที่ 333 ตารางวา  ม.14 ถ.บางนา-ตราด กม.10.5 ต.บางพลีใหญ่ อ.บางพลี  จังหวัดสมุทรปราการ10540 หน้ากว้าง 30 เมตร ยาว 45 เมตร โดยประมาณครับ
เข้าออกได้ 2 ทาง
1. ถนน บางนา ตราด กม.ที่ 10.5 ใกล้ถนนวงแหวนรอบนอก
2. ถนน กิ่งแก้ว ซอย11 และ ซอย21
ราคา วาละ 35,000 บาท
ด้านหน้า และ ด้านข้างที่ดินแปลงนี้ติด ถนนโครงการ ด้านหลังติดทะเลสาบ, โครงการมีสนามกอล์ฟ, สนามเทนนิส, สระว่ายน้ำและสโมสรสมบูรณ์แบบ อยู่ใกล้จุดขึ้นลงทางด่วน ABAC2 ราม2 ม.หัวเฉียว 2 โรงพยาบาล และห่างจากสนามบินหนองงูเห่าเพียง 5 ก.ม. พร้อมเพื่อนบ้านมีระดับ อาทิเช่น คุณ ธนินทร์ เจียรวนนท์ เป็นต้น

กทม.จะพัฒนาระบบขนส่งมวลชนขนาดรองระบบรถไฟฟ้ารางคู่ขนาดเบาสายบางนา-สุวรรณภูมิ เชื่อมต่อ BTS บางนา  มีระยะทางประมาณ 18.3 กิโลเมตร คาดเริ่มก่อสร้างปี 2558 ระยะเวลา3 ปี ใช้งบประมาณ 25,000 ล้านบาท 

e-mail :  gid1998@gmail.com