ธุรกิจประกันภัยและประกันชีวิต
ธุรกิจประกันภัยและประกันชีวิตในช่วง 10 ปีที่ผ่านมามีการเจริญเติบโตล้อไปกับเศรษฐกิจของประเทศไทย
โดยธุรกิจประกันชีวิตจะมีการเติบโตในอัตราที่สูงกว่าประกันภัย ในช่วง 10 ปีธุรกิจประกันชีวิตเติบโตที่ CAGR (Compound Average Growth Rate)
= 16% ซึ่งโตเป็นประมาณ 4 เท่าของ GDP ของประเทศ อนึ่ง GDP เป็นค่าเฉลี่ยรวมของภาคอุตสาหกรรม
เกษตรกรรมและบริการ ด้วยอัตราการเติบโตดังกล่าว ทำให้ผมสนใจในธุรกิจประกันชีวิตมา 6-7
ปี แล้ว
แต่น่าเสียดายในสมัยนั้นมีบริษัทประกันชีวิตเพียงบริษัทเดียว ที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์
ต่อมาก็มีเพิ่มขึ้นมาอีก 1 บริษัท
น่าเสียดายสำหรับนักลงทุนที่น่าจะมีบริษัทประกันชีวิตเข้ามาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เพิ่มขึ้น
ตลาดหลักทรัพย์และ คปภ.
น่าจะกระตุ้นบริษัทประกันชีวิตทั้งหลายที่อยู่นอกตลาดให้เข้ามาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ก็จะทำให้นักลงทุนมีตัวเลือกในการลงทุนมากขึ้น
แต่ที่เขียนมาแบบนี้ไม่ใช่ว่าบริษัทประกันชีวิต 2 บริษัทที่อยู่ในตลาดจะไม่ดีนะครับ
ผมมองว่าบริษัทประกันชีวิตที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ล้วนแล้วแต่เป็นบริษัทที่มีผลประกอบการดีถึงดีเยี่ยมทีเดียว
ในช่วงที่เกิด Hamburger crisis ที่อเมริกาแล้วแพร่กระจายไปทั่วโลก
ปีนั้นบริษัทประกันชีวิตบริษัทหนึ่งกลับมีกำไรเติบโตถึง 50% ทั้งๆ
ที่ในปีนั้น หลายๆ บริษัทจดทะเบียนมีผลประกอบการที่แย่ลง หลายบริษัทถึงกับขาดทุนเสียด้วย นั่นแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของธุรกิจแม้แต่ในยามที่เศรษฐกิจตกต่ำแต่การที่จะมีบริษัทประกันภัยและประกันชีวิตเข้ามาจดทะเบียนมากขึ้นก็จะทำให้
Sector ประกันภัยและประกันชีวิต
เป็นที่สนใจของนักลงทุนเพิ่มขึ้น
ถึงแม้ข้อเสียของหุ้นในธุรกิจนี้จะมีสภาพคล่องในการซื้อขายค่อนข้างต่ำ
เพราะว่านักลงทุนที่ลงทุนในกลุ่มธุรกิจนี้ส่วนใหญ่จะเป็นนักลงทุนระยะยาว
ทำให้มีหุ้นหมุนเวียนในตลาดหลักทรัพย์ไม่ค่อยมาก แต่ระยะหลังๆ มานี้ ผมสังเกตเห็นมีมูลค่าการซื้อขายต่อวันมากขึ้น
ราคาหุ้นที่เคยถูกๆ ก็มีราคาสูงขึ้น
จากการที่นักลงทุนโดยเฉพาะกลุ่มนักลงทุนที่เน้นคุณค่า (Value Investor) มีมากขึ้น จึงมีการไล่ราคาขึ้นมา ทำให้ผู้ถือหุ้นเดิมเห็นว่า
มีราคาสูงขึ้นก็นำมาขาย ทำให้มีมูลค่าการซื้อขายมากขึ้น
อย่างไรก็ตามผมก็ยังเห็นว่าราคาที่แม้จะขึ้นมาบ้างแล้ว แต่ก็ยังมีราคาค่อนข้างต่ำ
เมื่อเทียบกับปัจจัยพื้นฐาน คงเป็นเพราะสภาพคล่องการซื้อขายที่ต่ำเลยโดน Discount
จากนักลงทุนส่วนใหญ่ ผมมองว่าธุรกิจประกันชีวิตน่าจะเติบโตเป็น 3-4
เท่าของ GDP ไปอีกนาน จากการที่คนไทยเพียง 32%
ที่ถือครองกรมธรรม์ประกันชีวิตเท่านั้น
แต่เมื่อเทียบกับคนญี่ปุ่นที่ทำประกันชีวิตมากกว่า 100% (บางคนทำประกันชีวิตมากกว่า
1 กรมธรรม์) นั่นหมายถึงยังมีช่องว่างในการเติบโตอีกมาก
ฐานอายุของคนไทยโดยเฉลี่ยสูงขึ้นเรื่อยๆ มาหลายปีแล้ว
ทำให้ธุรกิจประกันชีวิตน่าจะมีเบี้ยรับเพิ่มขึ้น
จากจำนวนคนที่ทำประกันชีวิตมากขึ้น และเบี้ยรับ/คนมีแนวโน้มที่จะสูงขึ้นด้วย
การส่งเสริมของรัฐบาลก็มีต่อเนื่อง และเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จากสมัยก่อนที่ลดหย่อนได้ 50,000
บาทกลายเป็น 100,000 บาท
และคนที่ซื้อประกันบำนาญยังสามารถลดหย่อนได้เพิ่มอีกสูงสุดถึง 200,000 บาท
ปัจจุบันผมยังรอดูว่าเมื่อไหร่ที่สรรพากรจะยอมให้นำเบี้ยประกันสุขภาพมาลดหย่อนได้เสียที
ส่วนธุรกิจประกันภัยของไทยในช่วง 10 ปี ที่ผ่านมามีการเติบโตที่ CAGR = 11% ถึงแม้จะต่ำกว่าประกันชีวิตก็ตาม
แต่ยังโตกว่า GPP ถึง 2 เท่ากว่าๆ
ซึ่งก็เป็นอีกประเภทธุรกิจหนึ่งที่น่าสนใจเมื่อปี 2554 ตอนน้ำท่วมครั้งใหญ่ที่สร้างความสูญเสียให้กับทรัพย์สินมหาศาล
มีผลทำให้บริษัทประกันภัยทุกบริษัทประสบปัญหาขาดทุนบางบริษัทถึงกับเกือบล้มละลาย
ถ้าไม่มีการเพิ่มทุน พอมาปี 2555 ทุกบริษัทประกันภัยก็มีการขึ้นเบี้ยประกัน
แต่โชคดีปีที่แล้วน้ำไม่ท่วม ทำให้บริษัทประกันภัยหลายๆ บริษัท
มีกำไรเป็นกอบเป็นกำ กอรปกับโครงการรถคันแรกจากปีที่แล้ว ทำให้มีจำนวนรถยนต์ใหม่ที่ทำประกันเพิ่มขึ้นมาก
ซึ่งส่วนหนึ่งก็เป็นพวกมือใหม่หัดขับ อุบัติเหตุการเคลมอาจจะมีมากขึ้น Loss
Ratio ของบริษัทประกันภัยสูงขึ้น
ไม่ทราบว่าสรุปแล้วจะเป็นทุกขลาภสำหรับบริษัทประกันภัยหรือไม่ ค่าสินไหมน้ำท่วมที่
Reinsurer บางรายขอต่อรองที่จะจ่ายให้ไม่เต็ม 100% ซึ่งกำลังเป็นเรื่องคาราคาซังอยู่
ทำให้บริษัทประกันภัยต้องตั้งสำรองเพิ่มขึ้น
ซึ่งบางบริษัทก็ได้ตั้งสำรองไปบ้างแล้ว ซึ่งเมื่อ Reinsurer ชำระมาเกินกว่าที่บริษัทประกันภัยตั้งไปแล้วก็จะมีการกลับรายการมาเป็นรายรับ
ทำให้กำไรดีขึ้น สิ่งที่ผมสนใจที่สุดก็จะมีการกลับรายการมาเป็นรายรับ
ทำให้กำไรดีขึ้น สิ่งที่ผมสนใจที่สุดก็จะมีการกลับรายการมาเป็นรายรับ
ทำให้กำไรดีขึ้น สิ่งที่ผมสนใจที่สุดก็คือ พรบ. 2 ล้านล้านกับโครงการป้องน้ำท่วม
3.50 แสนล้านบาท เป็นโครงการที่ใหญ่มาก
ย่อมต้องมีการทำประกันภัย ไม่ว่าจะเป็นระหว่างก่อสร้างหรือหลังก่อสร้าง
ซึ่งจะเป็นเค็กก้อนใหม่ที่ใหญ่มากเพิ่มขึ้นมาสำหรับธุรกิจประกันภัย โดยบริษัทประกันภัยที่มีโอกาสจะได้รับเค็กก้อนนี้
แน่นอนต้องเป็นบริษัทประกันใหญ่ระดับ TOP5 ของประเทศ
ยิ่งบริษัทประกันไหนถือหุ้นโดยหน่วยงานหรือองค์กรของรัฐมากๆ น่าจะมีโอกาสมากกว่าบริษัทอื่นๆ
นักลงทุนน่าจะลองศึกษาวิเคราะห์ดูนะครับ
ส่วนตลาดหุ้นบ้านเรายังรอปัจจัยทางการเมืองในประเทศเป็นหลัก
ปัจจัยเรื่องงบประมาณและ QE ของสหรัฐเป็นเรื่องรองครับ
ในช่วงนี้ผมยังยืนยันถ้า SET INDEX ลงมา
เป็นจังหวะดีในการทยอยเข้ารับเพื่อลงทุนข้ามปีครับ
30/10/56
หนังสือ "จาก 1 ล้านเป็น 500 ล้าน ผมทำอย่างไร" ยอดขายขื้นอันดับหนื่งตั้งแต่วันแรกจำหน่ายและครองอันดับ 1 ติดต่อกันมานาน
ติดตามแนวทางการลงทุนของผมได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/VI.Kitichai
Twitter : http://twitter.com/value_talk
Youtube : http://www.youtube.com/user/wittayu9
Blog : http://kitichai1.blogspot.com
Instagram : Gid_Kitichai
หรือหนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ทุกวันพุธหน้า B6 หรือหน้า B10 และนิตยสารคนรวยหุัน, Condo Guide, Stock Review, Me(Market Evolution), Glow และ Lisa ทุกเดือน
สนใจซื้ออสังหาเพื่ออยู่เองหรือเพื่อการลงทุน ลองเข้า http://www.pantipmarket.com/mall/homeproperty
คอนโดหรูบนถนนอโศกติดสี่แยกอโศก-สุขุมวิท (เดินครึ่งนาที จาก MRT,BTS อโศก) ราคา XX,000/ตรม.
ขาย คอนโดลาสโคลินาส อยู่ บนถนนอโศกติดสี่แยกอโศก-สุขุมวิท (เดินครึ่งนาที จาก MRT,BTS อโศก) โครงการมีสระว่ายน้ำ ห้องฟิตเนส ห้องล๊อคเกอร์ ซาวน่า สตีม
แยกชายหญิง สควอช 1
คอร์ท ห้องสนุกเกอร์ ห้องตีปิงปอง สนามเด็กเล่น ห้องที่จะขายอยู่ชั้น
30 พื้นที่ 192 ตารางเมตร
พร้อมที่จอดรถส่วนตัว 1 คัน ในห้องนี้ มี 2 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ รับแขก ครัว ซักล้าง
และห้องคนรับใช้พร้อมห้องน้ำในตัว 1 ห้อง เฟอร์นิเจอร์ และเครื่องใช้ไฟฟ้า สวยมาก
ครบถ้วน ขายที่ราคา 19 ล้านบาทถ้วน