จาก1ล้านเป็น500ล้านผมทำอย่างไร

จาก1ล้านเป็น500ล้านผมทำอย่างไร
เล่าประสบการณ์การลงทุนของผมที่นำไปใช้ได้ง่ายๆ

วันอังคารที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

ธุรกิจ Health care ดีจริงหรือ? (ตอนที่ 1)

ธุรกิจ Health care ดีจริงหรือ? (ตอนที่ 1)

          จากวิทยาการที่ก้าวหน้าในหลายๆ ด้านในปัจจุบัน รวมถึงธุรกิจ Health care และความรู้ที่ประชากรโลกมีต่อโรคภัยไข้เจ็บ และโภชนาการที่ดีขึ้น ทำให้อายุขัยของคนในยุคปัจจุบันยืนยาวขึ้น ทำให้ประชากรทั่วโลกที่กำลังเข้าสู่วัยชรามีสัดส่วนสูงขึ้นเรื่อยๆ โดยประชากรที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป มีจำนวนเพิ่มขึ้น 3 เท่าในทุกๆ  50 ปี โดยคาดว่าจะมีจำนวนถึง 2,000 ล้านคนในปี พ.ศ. 2593 หรืออีก 36 ปีข้างหน้า จากปัจจุบันที่มีประชากรประมาณ 800 ล้านคนที่มีอายุ 60 ปี หรือคิดเป็น 11% ของประชากรโลกที่มีอยู่มากกว่า 7,250 ล้านคน โดยมีประเทศจีนเป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุดคือ 1,394 ล้านกว่าคน ตามมาติดๆ คือ อินเดีย ซึ่งมีจำนวนประชากรอยู่ที่ 1,268 ล้านคน คาดว่าอีกไม่กี่ปี อินเดียจะเป็นประเทศที่มีจำนวนประชากรมากที่สุดในโลก จากอัตราการเพิ่ม (เกิดใหม่-ตายไป) สูงกว่าของประเทศจีน ที่มีอัตราการเกิดต่ำ จากนโยบายลูกคนเดียว แต่ความที่คนจีนมีอายุยืนมากขึ้น ปัจจุบันคนจีนที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไปมี 129 ล้านคนคิดเป็น 9.60% ของประชากร ทำให้สัดส่วนประชากรผู้สูงอายุของคนจีนสูง รัฐบาลจีนเริ่มตระหนักถึงปัญหาข้อนี้อยู่เข่นกัน เมื่อสัปดาห์ที่แล้วผมได้รับเชิญจากธนาคารซิตี้แบงค์ เข้าฟัง Dinner talk มีหัวข้อหนึ่งในสัมมนาที่น่าสนใจคือ ธุรกิจ Health care โดยมีผู้บริหารจาก บลจ.กรุงศรีอยุธยาเป็นวิทยากร รู้สึกได้ความรู้มากมาย จึงอยากนำเนื้อหาบางส่วนมาแบ่งปันให้กับท่านผู้อ่าน ระหว่างที่ผมเขียนบทความอยู่นี้ผมได้เข้า  www.worldometers.info/world-population/ นั่งดูตัวเลขแล้วเพลินดี เพราะว่าจำนวนประชากรเพิ่มขึ้นทุกเสี้ยววินาทีแบบ Real time เลยทีเดียวอดสงสัยไม่ได้ว่า ทำไมเว็บไซต์นี้ถึงได้รู้ดี และ Update ได้แบบนี้ ผมคาดว่าน่าจะเป็นการคาดการณ์ว่ามีเด็กเกิดใหม่ในปีนี้กี่คนแล้วก็มาหารเฉลี่ยต่อวินาทีกระมัง
          อัตราการเพิ่มขึ้นของผู้สูงอายุอยู่ที่ 1.90% ในขณะที่การเพิ่มขึ้นของประชากรรวมเพียง 1.20% นี่คือเหตุผลที่สัดส่วนประชากรผู้สูงอายุในโลกนี้มีมากขึ้น อายุขัยเฉลี่ยของประชากรโลกเท่ากับ 73.70 ปีในปี พ.ศ. 2560 จากเดิม 72.60 ปีเมื่อปี พ.ศ.2555 เมื่อคนเรามีอายุมากขึ้น ความต้องการในด้าน Health care ก็ต้องสูงขึ้นตามไปด้วยอย่างแน่นอน ปัจจุบันยุโรปเป็นทวีปที่มีอัตราส่วนผู้สูงอายุมากที่สุดในโลก คาดว่า 37% ของประชากรทั้งหมดจะมีอายุ 60 ปีขึ้นไปในปี พ.ศ. 2593 ในขณะที่ญี่ปุ่นเป็นประเทศแรกๆ ในเชียที่เข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างสมบูรณ์แบบคือมีประชากรถึง 1 ใน 4 ที่มีอายุมากกว่า 65 ปีขึ้นไปและคาดว่าจะมีจำนวนถึง 35 ล้านคนในปี พ.ศ. 2568 จากโครงสร้างของประชากรแบบนี้บางประเทศในยุโรป เช่น เยอรมัน ก็มีการเกษียณงานตอนอายุ 65 ปี มากขึ้น ซึ่งผมเห็นด้วยอย่างยิ่งถ้าทำแบบสมัครใจ เพราะว่าบางท่านอาจจะยังอยากทำงานต่อ กลัวว่าหลังเกษียณแล้วจะเหงา ในขณะที่บางท่านก็รอวันเกษียณ เพื่อจะได้ไปเที่ยว หรือพักผ่อนเสียที อย่างน้อยวิธีนี้ก็เป็นวิธีทำให้ปริมาณคนในวัยทำงาน ไม่ลดลง ซึ่งมีผลต่อปริมาณผลิตผลของชาติ ซึ่งแน่นอนกระทบกับอัตราการเจริญเติบโตของประเทศหรือ GDP นั่นเอง ส่วนญี่ปุ่นเอง รัฐบาลเคยมีความคิดที่จะมีการเปิดให้มีการนำเข้าแรงงานที่มีคุณภาพ แต่ด้วยความที่เป็นเชื้อชาตินิยมอย่างแรงกล้า ไม่อยากให้มีสายเลือดจากชนชาติอื่นมาปะปน จึงต้องพับเก็บความคิดนี้ไว้
          นอกจากประเทศพัฒนาแล้ว มีการคาดว่าประเทศเกิดใหม่ไม่ว่าจะเป็นจีน อินเดีย อินโดนีเซีย รัสเซีย และแม็กซิโกจะมีการใช้จ่ายด้านสุขภาพเพิ่มขึ้นอย่างมากในอีก 5 ปีข้างหน้า จากจำนวนประชากรที่เพิ่มมากขึ้น พร้อมกับรายได้ต่อหัวที่สูงขึ้น เมื่อปี 2548 ค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพของทั้งโลกอยู่ที่ 605,000 ล้าน$ โดยมีสหรัฐเป็นชาติที่มีสัดส่วนมากสุดคือ 41% แคนาดา 2 % ยุโรป 27% ญี่ปุ่น 11% ที่เหลืออีก 19% เป็นประเทศ Emerging และประเทศกำลังพัฒนาอื่นๆ แต่ปีหน้า (พ.ศ.2558) ค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพของทั้งโลกคาดว่าจะขึ้นไปถึง 1,100,000 ล้าน$ (นับตัวเลขไม่ถูกเลย) หรือเพิ่มขึ้นเกือบ 82% ภายในเวลา 10 ปีเท่านั้น โดยสัดส่วนค่าใช้จ่ายจะเริ่มมีการผ่องถ่ายไปยังประเทศ Emerging มากขึ้น คือ สหรัฐจะมีสัดส่วนลดลงเหลือ 31% ยุโรปเหลือ 19% ญี่ปุ่นยังคง 11% แคนาดา 2% ที่เหลืออีก 29% เป็นประเทศ Emerging และประเทศกำลังพัฒนาอื่นๆ

          กำลังสนุกอยู่เลย แต่เนื้อที่หมดขอยกยอดไปต่อตอนที่ 2 ในสัปดาห์หน้าแต่ขอเตือนนักลงทุนให้ระมัดระวังในการลงทุนในช่วงนี้ ตลาดหุ้นจะยื้อได้คงถึงแต่กลางเดือนสิงหาคม หลังผลประกอบการไตรมาส 2 ของบริษัทจดทะเบียนประกาศหมด แต่ทางเทคนิค Indicator หลายตัวเริ่มส่งสัญญานขาย รวมทั้งเป็น Bearish Divergence ระหว่าง SET INDEX กับ RSI มา 3-4 ครั้งแล้ว หรือตลาดจะลงก่อนก็ไม่แน่เหมือนกันนะครับ

กิติชัย เตชะงามเลิศ
                                                                                          30/07/57


ติดตามสาระดีๆทั้งไลฟ์สไตล์และการลงทุนได้ที่ 

Facebook : https://www.facebook.com/VI.Kitichai
Twitter     : http://twitter.com/value_talk
Instagram : Gid_Kitichai
Blog         : http://kitichai1.blogspot.com
You Tube : http://www.youtube.com/user/wittayu9 
Google+  : https://www.google.com/+KitichaiTaechangamlert
Linkedin   : https://www.linkedin.com/in/homeproperty
Pinterest   : http://www.pinterest.com/kitichai/


 หรือหนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ทุกวันพุธหน้า B6  และนิตยสารคนรวยหุัน, Condo Guide, Glow, L'Optimum และ Me(Market Evolution) ทุกเดือน
     

หาอสังหาทั้งถูกและดีเพื่ออยู่เองหรือเพื่อการลงทุน ได้ที่  http://www.pantipmarket.com/mall/homeproperty

วันอังคารที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

ตลาดหุ้นกำลังจะมีการปรับตัว

ตลาดหุ้นกำลังจะมีการปรับตัว

          เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา มีรายการวิทยุรายการหนึ่ง Phone-In สัมภาษณ์ผมเกี่ยวกับสถานการณ์ของ SET INDEX หลังจากที่ไต่บันไดขึ้นขาเดียว หลังจากที่ไปทำจุดต่ำสุดในรอบปีนี้ที่ 1,205.44 จุด เมื่อวันที่ 6 มกราคม แล้วก็ขึ้นมาตลอดด้วยความชันค่อนข้างมากจนมาสร้างสุดสูงสุดในรอบปีกว่าๆ เมื่อวานนี้รวมแล้วขึ้นมามากกว่า 340 จุด หรือคิดเป็น 28% กว่าๆ โดยที่ยังไม่มีการปรับตัวแรงๆ แม้แต่ครั้งเดียว ทั้งๆ ที่เรามีความวุ่นวายประท้วงกันมายาวนานตั้งแต่ปลายปีที่แล้วจนกระทั่งเกิดการรัฐประหาร ต่างชาติขายสุทธิอย่างหนักหน่วงมา 2 ปีแล้ว แต่กลับไม่ระคายผิวของตลาดหุ้นไทยเรา  เชื่อหรือไม่ครับว่า SET INDEX เป็นหนึ่งใน TOP 10 ของตลาดหุ้นที่สร้างผลตอบแทนได้สูงสุด ทำเอาฝรั่งงงกันเป็นไก่ตาแตกกันเป็นแถว ล้างความคิดเดิมๆ ที่ว่าตลาดหุ้นไทยเรา ฝรั่งซื้อหุ้นขึ้น ฝรั่งขายหุ้นลง รอบนี้ฝรั่งเริ่มกลับมาซื้อแล้ว แม้จะยังไม่มากนักเมื่อเทียบกับยอดขายสุทธิที่ผ่านมา ผมจะรอดูว่าหุ้นจะลงไหม เมื่อฝรั่งกลับมา อย่างที่ผมได้เขียนไปว่า “ไม่มีงานเลี้ยงใด ที่ไม่เลิกรา” เมื่อสัปดาห์ที่แล้วผมก็ยังยืนยันว่า SET INDEX ที่เหนือ 1,530 ขึ้นไป มีความเสี่ยงสูงมาก ผมคาดการณ์ว่ารอบนี้ขึ้นอย่างไรก็ไม่น่าจะเกิน 1,560 จุด เผลอๆ จะแป้กตรง 1,550 จุดเสียด้วยซ้ำ  ปัจจุบัน Trailing P/E ของ SET INDEX อยู่ที่ 18.54 เท่า ส่วนของตลาด MAI อยู่ที่ 60.15 เท่า และ P/BV ของ SET INDEX = 2.23 ส่วนของ MAI = 3.86 นับว่าสูงมากเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ย P/E และ P/BV ของตลาดหุ้นไทยในอดีต ถึงแม้ว่าเป็นเพราะความไม่สงบทำให้เศรษฐกิจไทยต้องหยุดชะงักลงตั้งแต่ไตรมาส 4 ปีที่แล้วจนถึงไตรมาส 2 ปีนี้ พลอยทำให้ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์และตลาด MAI ได้รับผลกระทบตามไปด้วย ทั้งยอดขาย Margin และกำไรสุทธิลดลงไปตามๆ กัน ทำให้ P/E ตลาดโดยรวมดูสูงผิดปกติชั่วคราวก็ตาม แต่การปรับตัวขึ้นมาอย่างร้อนแรง โดยไม่มีการปรับตัวใหญ่ ทำให้เสถียรภาพของตลาดย่อมไม่มั่นคง เมื่อมีการจุดพลุขายทำกำไรเกิดขึ้น ก็จะทำให้นักลงทุนทั้งรายใหญ่ รายย่อย พร้อมใจกันเทขายตาม เนื่องจากทุกคนมีกำไรกันมากพอดูอยู่แล้ว อย่าลืมนะครับ ถึงแม้ดัชนีตลาดหลักทรัพยจะขึ้นมามากกว่า 28% แต่หุ้นหลายๆ ตัวขึ้นมามากกว่า 50% ไปแล้วจากจุดต่ำสุดเมื่อต้นปี ผมจึงแนะนำว่าช่วงนี้นักเก็งกำไรควรจะทำพอร์ตให้เบาลง ไม่ควรจะถือหุ้นเกิน 30% ของพอร์ต ส่วนนักลงทุนระยะกลางและยาวน่าจะถือหุ้นไม่เกิน 50 และ 70% ของพอร์ตตามลำดับ เก็บสภาพคล่องส่วนหนึ่งไว้รอช้อนซื้อในช่วงที่หุ้นตกลงมา ซึ่งผมคาดว่าน่าจะมีการปรับตัวร่วมร้อยจุด โดยมีแนวรับที่แข็งแกร่งอยู่แถว 1,420-1,440 จุด แล้วคงจะมีการปรับตัวขึ้นหลังจากนั้น ผมยังมองว่าตลาดหุ้นปีหน้าก็ยังดูน่าจะสดใส เรากำลังจะมี AEC ในเดือนธันวาคมปีหน้าแล้วประเทศไทยเราน่าจะเป็นหนึ่งในประเทศที่จะได้รับประโยชน์สูงสุด เนื่องจากไทยเราเมื่อดูจากแผนที่เราเป็นประเทศศูนย์กลางที่มีพรมแดนติดกับประเทศเพื่อนบ้าน ไม่ว่าจะเป็นพม่า ลาว กัมพูชา และมาเลเซีย ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นประเทศที่มีอัตราการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจสูงในกลุ่ม ASEAN ด้วยกัน  โอกาสที่บริษัทชั้นนำต่างๆ ทั่วโลก จะเลือกใช้ไทยเป็น HUB หรือสำนักงานใหญ่สำหรับการดูแลสินค้าหรือบริการใน ASEAN ด้วยการท่องเที่ยวไทยเราน่าจะยังคงความเป็นจุดศูนย์กลางเพื่อเดินทางต่อไปยังประเทศในกลุ่ม ASEAN อื่นๆ เพราะว่าไทยเราเป็นประเทศที่มี Infrastructure ที่เพียงพอและทันสมัยในราคาที่ถูกกว่ามาเลเซียหรือสิงคโปร์ เราคงจะเห็น Expat ที่มาจากประเทศในกลุ่ม ASEAN ด้วยกันมากขึ้น ความต้องการที่อยู่อาศัยในเมืองสำหรับการลงทุนหรืออยู่อาศัยจะมีมากขึ้น โดยเฉพาะคอนโดในใจกลางเมืองที่อยู่ใกล้รถไฟฟ้าทั้ง BTS และ MRT ช่วงนี้คงต้องหัดพูดคำทักทายในภาษาของเพื่อนบ้านใน ASEAN ทุกประเทศบ้างแล้ว เอาไว้ทักทายเพื่อนๆ ร่วม ASEAN ที่จะทยอยหลั่งใหลเข้ามาบ้านเราหลังมีการใช้ AEC ในช่วงสิ้นปีหน้าเป็นต้นไปกันแล้วนะครับ


กิติชัย เตชะงามเลิศ
                                                                                          23/07/57


ติดตามสาระดีๆทั้งไลฟ์สไตล์และการลงทุนได้ที่ 

Facebook : https://www.facebook.com/VI.Kitichai
Twitter     : http://twitter.com/value_talk
Instagram : Gid_Kitichai
Blog         : http://kitichai1.blogspot.com
You Tube : http://www.youtube.com/user/wittayu9 
Google+  : https://www.google.com/+KitichaiTaechangamlert
Linkedin   : https://www.linkedin.com/in/homeproperty
Pinterest   : http://www.pinterest.com/kitichai/


 หรือหนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ทุกวันพุธหน้า B6  และนิตยสารคนรวยหุัน, Condo Guide, Glow, L'Optimum และ Me(Market Evolution) ทุกเดือน
     

หาอสังหาทั้งถูกและดีเพื่ออยู่เองหรือเพื่อการลงทุน ได้ที่  http://www.pantipmarket.com/mall/homeproperty

วันพุธที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

มองสิงคโปร์แล้วย้อนกลับมาดูไทยเรา

มองสิงคโปร์แล้วย้อนกลับมาดูไทยเรา

          การท่องเที่ยวดูเหมือนจะเป็นปัจจัยที่ 5 ของหลายๆ คน คนส่วนใหญ่มักจะให้รางวัลชีวิตแก่ตนเองโดยการใช้เงินที่สู้อุตส่าห์ตรากตรำทำงานหนักเพื่อซื้อสินค้าหรือบริการที่อยากได้ การท่องเที่ยวเป็นหนึ่งในตัวเลือกแรกๆ สำหรับคนทั่วไป ผมก็เป็นคนหนึ่งที่มักจะให้รางวัลกับตัวเองในการได้ไปเปิดหูเปิดตา ไปเที่ยวในสถานที่ต่างๆ ที่ไม่เคยไป เพื่อจะดูตึกรามบ้านช่อง โบราณสถาน สถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติ พิพิธภัณฑ์ Galley ต่างๆ รวมทั้งสัมผัสวัฒนธรรมของท้องถิ่นเหล่านั้น ไม่ว่าจะเป็นการแสดง อาหารการกิน การใช้บริการขนส่งสาธารณะ เพื่อให้ได้อรรถรสและความเข้าใจเกี่ยวกับผู้คนชาตินั้นๆ และที่ขาดไม่ได้ก็คือ การสังเกตธุรกิจต่างๆ ของประเทศเหล่านั้น ซึ่งทำได้ง่ายๆ จากการเดินเข้าไปใช้บริการในศูนย์การค้า Supermarket ร้านสะดวกซื้อ ฯลฯ สิ่งที่ผมจะให้ความสนใจ ส่วนใหญ่จะเป็นการตกแต่งร้าน วิธีการ Display สินค้าและบริการและวิธีการดูแลลูกค้ารวมไปถึงตัวสินค้าและหีบห่อ โดยเฉพาะสินค้าที่มีขายในประเทศไทย ผมมักจะเปรียบเทียบสิ่งต่างๆ ที่ได้กล่าวมาข้างต้นกับของบ้านเรา ว่ามีความแตกต่างกันอย่างไร หลายๆ ครั้งทำให้เห็นแนวโน้มและช่องทางในการทำธุรกิจหรือการลงทุน อย่างเช่นประเทศที่เจริญกว่าเรา ทำให้ผมเห็นแนวโน้มของ Life style ที่คาดว่าอีกไม่นานสังคมไทยก็คงจะก้าวไปตามโลกานุวัตร สินค้าและบริการหลายๆ แบรนด์ที่ยังไม่เข้ามาทำการตลาดในประเทศไทย ที่ผมเห็นว่าน่าสนใจผมก็จะแนะนำพรรคพวกเพื่อนฝูงที่อยู่ในวงการธุรกิจต่างๆ ให้ลองไป Observe แบรนด์เหล่านั้นดู นอกจากนั้นผมจะเมียงมองหาสินค้าและบริการของบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์และ MAI ว่ามีอะไรบ้างที่มีการจัดจำหน่ายในประเทศต่างๆ ที่ผมไปเที่ยว และความสนใจของคนท้องถิ่นที่มีต่อสินค้า และบริการเหล่านั้น รวมถึงดูสินค้าและบริการประเภทเดียวกัน พร้อมทั้งหีบห่อบรรจุภัณฑ์ และตำแหน่งในการจัดวางว่าจะได้เปรียบเสียเปรียบกันอย่างไร บางครั้งผมยังจินตนาการไปล่วงหน้า กรณีที่สินค้าและบริการที่ยังไม่มีขายในประเทศเรา ผู้ผลิตของเราเองจะเป็นอย่างไร ถ้าผลิตภัณฑ์เหล่านี้เข้ามาทำการตลาดในประเทศไทย จะมีผลกระทบต่อยอดขายและกำไรของบริษัทจดทะเบียนในตลาดอย่างไรบ้าง และมีบริษัทจดทะเบียนอะไรจะได้ผลประโยขน์ทางอ้อม โดยอาจจะเป็นธุรกิจ Logistics ต่างๆ ที่จะทำหน้าที่ขนส่งหรือ Distribute ผลิตภัณฑ์เหล่านั้น คงเป็นเพราะจิตใต้สำนึกของการเป็นนักลงทุน ทำให้แม้แต่ช่วงการพักผ่อนหรือการท่องเที่ยว ผมก็ยังอดไม่ได้ที่จะทำการบ้าน ทำให้สมองมีการลับคม ซึ่งพฤติกรรมเหล่านี้ แม้การเดินช้อปปิ้งในศูนย์การค้าบ้านเรา ผมก็ยังอดสอดส่องสังเกตสังกาแบบนี้ไม่ได้เช่นกัน ซึ่งหลายครั้งผมก็แปลกใจมากว่าบางร้านหรือบางเคานท์เตอร์ วันๆ แทบจะไม่มีลูกค้าเข้าร้านหรือแวะชมดูเลย แต่กลับมียอดขายที่ดีและมีการเติบโตของยอดขาย เพราะบางประเภทของร้านหรือห้าง อาจมีลูกค้าเดิมไม่มาก แต่ยอดขายต่อลูกค้าแต่ละรายอาจจะสูงมาก อย่างเช่นลูกค้าที่เดินเข้าร้านสะดวกซื้อ ยอดเงินที่ซื้อเฉลี่ยต่อรายคงไม่น่าจะเกิน 100 บาทต่อคนต่อครั้ง ในขณะที่ลูกค้าที่เดินไปซื้อของที่ร้านหรือห้างที่เป็นศูนย์รวมวัสดุตกแต่งบ้าน แน่นอนยอดซื้อต่อคนต่อครั้งโดยเฉลี่ยน่าจะอยู่ที่หลายๆ พันบาท
          ล่าสุดผมไปพักผ่อนสุดสัปดาห์ที่สิงคโปร์ ซึ่งทิ้งช่วงไปถึง 5 ปี หลังจากการไปเยือนครั้งที่แล้ว ผมพบว่าสิงคโปร์ซึ่งเป็นประเทศที่เป็นเกาะเล็กๆ ที่มีขนาดใกล้เคียงกับภูเก็ตของเรา ตั้งแต่นั่งรถไฟฟ้า MRT จากสนามบินชางฮีเข้าไปในตัวเมือง ผมเห็นความเขียวขจีของต้นไม้ ความสะอาดและความมีระเบียบเรียบร้อย รวมทั้งสิ่งปลูกสร้างใหม่ๆ ก็เกิดขึ้นมากมายใน 5 ปีที่ผ่านมา ล้วนแล้วสามารถที่จะดึงดูดนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศให้เข้ามาเยือน พร้อมทั้งมีสินค้าและบริการที่น่าสนใจไว้ล่อเงินในกระเป๋า เมื่อหันกลับมามองที่บ้านเราแล้วก็อดหดหู่ใจไปเสียไม่ได้ บ้านเราช่างไร้ซึ่งความมีระเบียบเรียบร้อย หาบเร่แผงลอยเกลื่อนกลาด ยึดครองพื้นที่ฟุตบาทเกือบหมด ทำให้คนต้องลงไปเดินบนถนน ช่วงนี้เป็นโอกาสที่ดีที่ คสช.กับ กทม.จะได้ร่วมมือกันจัดระเบียบหาบเร่ แผงลอยกันเสียที หันมาดูด้านรายได้ GDP PER CAPITA ตามที่ IMF ได้จัดเปรียบเทียบ ปรากฏว่าสิงคโปร์เป็นประเทศที่มีรายได้ต่อหัวเป็นอันดับที่ 8 ของโลก คือเท่ากับ 54,775 เหรียญสหรัฐ/ปี หรือคิดเป็นประมาณ 150,000 บาทต่อเดือน แซงหน้าสหรัฐที่อยู่ในอันดับที่ 9 มีรายได้ต่อหัวที่ 53,101 เหรียญในขณะที่ไทยเราอยู่ในอันดับที่ 92 โดยมีรายได้ต่อหัวเพียง 5,674 เหรียญต่อปีหรือคิดเป็นรายได้ต่อเดือนต่อหัวเพียง 15,000 บาท คิดเป็น 10% ของสิงคโปร์เท่านั้น มันน่าอับอายจริงๆ ประเทศไทยที่มีทรัพยากรธรรมชาติสมบูรณ์ อุดมไปด้วยแหล่งทัศนาจรสำหรับนักท่องเที่ยว แต่ทำได้เพียงแค่นี้ ปีที่แล้วนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทย 26.7 ล้านคน (รวมนักท่องเที่ยวจากประเทศเพื่อนบ้านที่เดินทาง By Land) ในขณะที่มีนักท่องเที่ยวถึง 15.6 ล้านคน (ไม่รวมนักท่องเที่ยวจากมาเลเซียซึ่งถ้ารวมก็คงเฉียดๆ 20 ล้านคน) ทั้งๆ ที่สิงคโปร์เป็นเกาะเล็กนิดเดียว ซ้ำร้ายไม่มีแหล่งทัศนาจรทางธรรมชาติอะไร นอกจากสิ่งปลูกสร้างที่เป็น Man made เท่านั้น และเป็นประเทศที่เพิ่งแยกตัวเป็นเอกราชจากมาเลเซียเมื่อปี พ.ศ.2506 หรือเพียง 51 ปีเท่านั้น ลองคิดเล่นๆ ดูสิครับ ถ้าเอาท่านลีกวนยู มาเป็นผู้นำในเมืองไทย 50 ปีที่แล้ว แล้วเอานักการเมืองไทยไปอยู่สิงคโปร์ให้หมด สภาพของสิงคโปร์และเมืองไทยจะเป็นไปในรูปแบบใดครับ

          ผมขอทิ้งท้ายบทความนี้ด้วยการเตือนท่านนักลงทุนด้วยคำพูดที่ว่า “งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา” SET INDEX ที่อยู่เหนือ 1,530 จุด เป็นจุดที่หุ้นไทยค่อนข้างแพงเกินไปในระยะสั้น น่าจะทยอยลดพอร์ตลงบ้าง รอให้มีการปรับตัวลงของ SET INDEX ซึ่งผมเชื่อว่าจะอยู่ประมาณร่วมร้อยจุดค่อยทยอยรับกลับคืน น่าจะเป็นกลยุทธ์ที่ดีในช่วงนี้ครับ

กิติชัย เตชะงามเลิศ
                                                                                          16/07/57


ติดตามสาระดีๆทั้งไลฟ์สไตล์และการลงทุนได้ที่ 

Facebook : https://www.facebook.com/VI.Kitichai
Twitter     : http://twitter.com/value_talk
Instagram : Gid_Kitichai
Blog         : http://kitichai1.blogspot.com
You Tube : http://www.youtube.com/user/wittayu9 
Google+  : https://www.google.com/+KitichaiTaechangamlert
Linkedin   : https://www.linkedin.com/in/homeproperty
Pinterest   : http://www.pinterest.com/kitichai/


 หรือหนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ทุกวันพุธหน้า B6  และนิตยสารคนรวยหุัน, Condo Guide, Glow, L'Optimum และ Me(Market Evolution) ทุกเดือน
     

หาอสังหาทั้งถูกและดีเพื่ออยู่เองหรือเพื่อการลงทุน ได้ที่  http://www.pantipmarket.com/mall/homeproperty

วันพุธที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

10 วิธีเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานที่ทำให้ผมประสพความสำเร็จ

10 วิธีเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานที่ทำให้ผมประสพความสำเร็จ

          ปัจจุบันนี้ มือถือกลายเป็นปัจจัยที่ 5 ของคนเราไปเสียแล้ว ดูได้จากอัตราการครอบครองมือถือของคนไทยมากกว่า 100% มาหลายปีแล้ว เพราะว่าคนไทยหลายคนชอบพกมือถือ 2 เครื่อง คงเนื่องจากโปรโมชั่นของผู้ให้บริการมือถือของแต่ละค่ายที่ให้กับลูกค้าที่เปิดซิมเบอร์ใหม่ รวมกระทั่งการย้ายค่าย โชคดีที่ในบ้านเรามีผู้ให้บริการอยู่ถึง 3 ราย (Oligopoly) ทำให้ไม่เกิดการผูกขาด คนไทยจึงเสียค่าบริการไม่ว่าจะเป็น Voice หรือ Non-voice ไม่แพงเมื่อเทียบกับเพื่อนบ้าน ยิ่งปัจจุบันเรามี กสทช. ที่ลงมากำกับดูแลราคาค่าบริการและกฎระเบียบต่างๆ ทำให้ค่าบริการต่างๆ อยู่ในอัตราที่ยุติธรรมมากขึ้น สิ่งที่ทำไม่ได้ในสมัยก่อน เช่น การคงหมายเลขโทรศัพท์เดิม แต่ย้ายค่ายบริการ (Number portability) ปัจจุบันก็สามารถทำได้ง่ายดาย ผมยังจำได้ว่ามือถือรุ่นแรกๆ ของโลกมีขนาดใหญ่พอๆ กับ กระบอกน้ำ ซึ่งมีฟังค์ชั่น แต่รับสายโทรออกเท่านั้น และราคาแพงมาก ซึ่งเด็กรุ่นๆ ใหม่คงไม่เคยเห็น  ด้วยวิวัฒนาการทางเทคโนโลยี ปัจจุบันมือถือเริ่มทำอะไรได้หลายอย่างมากขึ้น จนเราสามารถแบ่งมือ ถือได้เป็น 2 ประเภทคือ Feature phone (มือถือรับสายโทรออกส่ง SMS MMS เท่านั้น)  กับ Smart  phone (มือถืออัจฉริยะ) ที่ทำให้เราสามารถทำอะไรได้หลายๆ อย่าง เกือบเทียบเท่าคอมพิวเตอร์ 1 ตัว เลยทีเดียว เกริ่นมาซะตั้งนาน ขอเข้าเรื่องเลยดีกว่าครับ
          10 วิธีเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานให้ดียิ่งขึ้น
1    1)    จัดลำดับงานตามความสำคัญของงาน โดยแบ่งลำดับงานที่ต้องทำก่อนหลังดังนี้
1.1)          งานที่ต้องทำ    เป็นงานประเภทแรกที่ต้องทำก่อนเพื่อน
1.2)          งานที่ควรทำ    เป็นงานถัดมา
1.3)          งานที่ไม่รีบ      เป็นงานที่เก็บไว้ทำหลังจากงาน 2 ประเภทได้ทำเสร็จแล้ว  
แต่อย่างไรก็ต้องเอา  Dead line ของแต่ละงานมาพิจารณาประกอบด้วย
2   2)    อย่ารวบอำนาจ หรือเก็บงานทั้งหมดไว้กับตัวคนเดียวควรจะกระจายงานให้ผู้ใต้บังคับบัญชา ตามความสามารถของเขาเหล่านั้น ถึงแม้บางครั้งลูกน้องอาจจะทำงานได้ไม่ดีเท่าเราเองก็ตาม  แต่เป็นการให้โอกาสฝึกฝนเขาให้มีพัฒนาการและประสบการณ์ในการทำงานมากขึ้น รวมทั้ง เป็นการผ่อนเบางานของเรา ทำให้เรามีเวลาไปคิดสร้างสรรค์โครงการใหม่ๆ
3      3)    จัดเก็บข้าวของให้เป็นที่เป็นทางอย่างมีระเบียบเรียบร้อย บ่อยครั้งที่เราสูญเสียเวลาไปสิบกว่า นาที เพื่อหาสิ่งของหรืออุปกรณ์บางอย่างที่จำเป็น ถ้าเกิดขึ้นบ่อยครั้ง ทำให้เราสูญเสียเวลาที่จะ ใช้ไปกับการทำงาน และยังทำให้เราหงุดหงิด สมองพาลจะไม่ปลอดโปร่ง อาจมีผลกระทบกับ ผลงานหรือการตัดสินใจได้
4     4)    จัดตารางเวลาของสิ่งที่ต้องทำในแต่ละวันไว้ล่วงหน้า และพยายามอย่าใช้เวลาเกินกำหนดที่ตั้งไว้ โชคดีที่ปัจจุบัน Smart phone ทั้งหลายจะมี Calendar เป็น App ที่มากับเครื่องเลย ซึ่งปกติผมจะใช้โปรแกรม Outlook ในการจัดการ Calendar แล้วนำมา Sync กับมือถือของผม ทำให้ผม ไม่พลาดนัดหมายต่างๆ และเตือนผมให้เตรียมตัวสำหรับกิจกรรมต่างๆ  
5     5)    จำกัดการใช้โทรศัพท์ในรูปของ VOICE เพราะว่าเวลาคุยโทรศัพท์หลายครั้งที่เราจะต้องมีการคุย สารทุกข์สุขดิบ หรือเรื่องอื่นๆ ที่นอกเหนือจากประเด็นที่จะสนทนา หลายครั้งผมก็เลี่ยงโดยการ ใช้ App ต่างๆ เช่น Whatsapp หรือ Line ในการสื่อสารแทน นอกจากเป็นการประหยัดเวลา แล้วยังช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายได้อีกด้วย     6) App มือถือในปัจจุบัน มีความหลากหลายและเอื้ออำนวยความสะดวกให้กับชีวิตเราได้มาก ผมเองใช้มือถือระบบ Android ผมพบว่าให้มี App ให้เลือกใช้เป็นเรือนแสน ลองเลือก App ที่ เหมาะสมกับเรา จะทำให้เราสามารถบริหารเวลาได้ดียิ่งขึ้น ผมเองเป็นนักลงทุนในตลาดหุ้น  ผมก็จะ Download โปรแกรมเกี่ยวกับหุ้นไว้ 4-5 โปรแกรมไว้ติดตามดูสภาพการณ์ของตลาด หุ้นและราคาหุ้นรายตัว ไม่ว่าผมจะไปอยู่ที่ไหนก็ตาม ทำให้ผมสามารถสั่งซื้อและขายหุ้นได้แบบ  Real time แทนที่จะต้องไปนั่งที่ห้องค้าหลักทรัพย์หรือนั่งเฝ้าจอที่บ้านเหมือนสมัยก่อน  แล้วอีกอย่างหนึ่ง ผมเป็นคนที่ชอบมีความคิดแวบขึ้นมากะทันหันบ่อยๆ หลายครั้งที่ผมไม่ได้พกพากระดาษโน๊ตและปากกาติดตัวไปด้วย ทำให้ผมสูญเสียไอเดียดีๆ ไปหลายครั้ง(จริงๆแล้วหลายๆไอเดียที่ลืม มีมูลค่ามากกว่าราคามือถือเสียอีก) เพราะว่าเมื่อผมกลับมาถึงบ้าน ผมดันลืมไอเดียเหล่านั้นไป จนในที่สุดเมื่อผมมาใช้มือถือที่มีปากกาในตัว ทำให้ผมสามารถบันทึกโน้ตทุกอย่างได้ทันที ยิ่งมือถือ Samsung Note3 ที่ผมใช้อยู่ในขณะนี้มีปากกา S PEN พร้อมทั้งฟังค์ชั่นให้เลือก Sync กับ App ตัวโปรดของผมคือ Ever Note ทำให้ผมสามารถเข้าถึงโน้ตเหล่านี้จาก Device ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น Notebook , Tablet และมือถือของผม และผมยังสามารถแปะรูปภาพ ลากลูกศร และขีดไฮไลท์ข้อความที่ผมต้องการเน้นได้อีกด้วย โชคดีจริงๆ ที่มีเทคโนโลยีแบบนี้ส่งผลให้ประสิทธิภาพการทำงานที่ดีขึ้น มีผลไปถึงประสิทธิผลชองผลงานของผมอีกด้วย
6      7)   นอกจากจัดลำดับความสำคัญของงานแล้ว การจัดลำดับความสำคัญของการอ่านและตอบ  Email ก็เป็นสิ่งสำคัญ วันๆ หนึ่ง ผมจะได้รับ Emails 50-70 Emails ซึ่งผมก็จะดูจากหัวข้อและ ผู้ส่ง โดยจะเลือกอ่านและตอบ Emails ที่สำคัญก่อน แล้วเก็บ Email ที่ไม่สำคัญไว้อ่านในวันหยุด หรือช่วงเวลาว่างๆ โชคดีที่คนยุคนี้มี Smart phone ใช้ทำให้ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน เราก็สามารถรับ และส่ง Email ถึงกันได้ทั่วทุกมุมของโลก
7    8)    ปัจจุบันเราไปเสียเวลากับ Social media ต่างๆ มากเกินไป ควรจะมีการจำกัดเวลาในแต่ละวัน ให้กับสิ่งเหล่านี้ในเวลาที่พอเหมาะและควรจะใช้ในช่วงเวลาว่างๆ เช่นช่วงพักเบรก อย่างไรก็ ตามผมคิดว่าเราไม่ควรจะให้เวลากับมันเกินครึ่งชั่วโมง/วัน แต่ก็อย่างว่าแหละครับ สมัยนี้ผู้ใช้  Smart phone ทั้งหลายก็ติดตั้ง Facebook Twitter IG Line ฯลฯ กันแทบทุกเครื่อง
8     9)    รู้จักที่จะปฏิเสธ การที่เราเป็น MR OR MISS “YES” นั่นหมายถึงงานที่จะเป็น Overload สำหรับเราต้องเกิดขึ้นเป็นประจำ ทำให้ประสิทธิภาพในการทำงานของเราแย่ลง และไม่สามารถจะทำงานหลายชิ้นได้ทันเวลา แต่ก็ไม่ใช่จะเป็น MR OR MISS “No” ในทุกๆ เรื่อง คงต้องดูตามความเหมาะสมเป็นเรื่องๆ ไป
10)    ออกกำลังกายให้สม่ำเสมอและพักผ่อนนอนหลับให้ได้คืนละ 7-8 ชั่วโมง เพราะจะทำให้เรามีสุขภาพแข็งแรง จิตใจผ่องใส สามารถรับมือกับงานในแต่ละวันได้เป็นอย่างดี ยิ่งปัจจุบันมี App และ Gadget  เสริมต่างๆ ที่ช่วยเราในการออกกำลังกายไม่ว่าจะเป็นการเดิน วิ่ง Workout yoga ฯลฯ รวมทั้ง App ที่ข่วยผ่อนคลายตอนนอนให้เราหลับสบายอีกด้วย
      ถ้าสามารถทำตามที่ผมเสนอแนะได้ทั้ง 10 ข้อ ผมมั่นใจว่าทุกๆ ท่านจะกลายเป็นบุคลากรที่มีประสิทธิภาพขององค์กร และเป็นคนที่น่ารักที่มีเวลาให้กับครอบครัว ถ้าท่านยังไม่มี Smart phone น่าจะลองจับจองมาสักเครื่องได้แล้วนะครับ แล้วท่านจะบอกกับตัวเองว่า รู้งี้ซื้อมาใช้ตั้งนานแล้ว

   "ด้วยความปรารถนาดีจาก Samsung Galaxy Note 3 Series (Note 3 LTE, Note 3, Note 3 neo Duos)" 





กิติชัย เตชะงามเลิศ
                                                                                          09/07/57


ติดตามสาระดีๆทั้งไลฟ์สไตล์และการลงทุนได้ที่ 

Facebook : https://www.facebook.com/VI.Kitichai
Twitter     : http://twitter.com/value_talk
Instagram : Gid_Kitichai
Blog         : http://kitichai1.blogspot.com
You Tube : http://www.youtube.com/user/wittayu9 
Google+  : https://www.google.com/+KitichaiTaechangamlert
Linkedin   : https://www.linkedin.com/in/homeproperty
Pinterest   : http://www.pinterest.com/kitichai/


 หรือหนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ทุกวันพุธหน้า B6  และนิตยสารคนรวยหุัน, Condo Guide, Glow, L'Optimum และ Me(Market Evolution) ทุกเดือน
     

หาอสังหาทั้งถูกและดีเพื่ออยู่เองหรือเพื่อการลงทุน ได้ที่  http://www.pantipmarket.com/mall/homeproperty

วันอังคารที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

ดีลเทคโอเวอร์ที่น่าสนใจ-ตอนที่ 2

ดีลเทคโอเวอร์ที่น่าสนใจ-ตอนที่ 2

          สัปดาห์ก่อนผมเขียนถึงเรื่องดีลเทคโอเวอร์ ได้รับFeedback ค่อนข้างดีจาก Social media ของผมไม่ว่าจะเป็น Facebook (www.facebook.com/VI..Kitichai) หรือBlog (http://kitichai1.blogspot.com) ซึ่งมียอดเข้าชมดูมากพอสมควร สัปดาห์นี้เลยมาต่อกันในดีลเทคโอเวอร์อื่นๆ ตามสัญญาครับ ดีลที่น่าสนใจและเป็นดีลที่ทำให้หลายๆ คนกลายเป็นเศรษฐีหรืออภิมหาเศรษฐีก็คือดีล BGH เทคโอเวอร์ HNC (บริษัท Health Network) ซึ่งเป็นเจ้าของโรงพยาบาลในกลุ่ม พญาไทและเปาโล ซึ่งมีผู้ถือหุ้นใหญ่คือคุณวิชัย ทองแตง ราชานักเทคโอเวอร์ที่เป็นที่รู้จักกันดี สำหรับนักลงทุนในยุคนี้ ดีลนี้ทำกันเมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2553  โดยใช้วิธีแลกหุ้นกัน BGH เพิ่มทุนจดทะเบียน โดยออกหุ้นสามัญใหม่ 230.87 ล้านหุ้น โดยตีมูลค่าหุ้น BGH ที่ 37.75 ซึ่งเป็นราคาที่ใกล้เคียงกับราคาตลาดในขณะนั้น บวกกับเงินสดอีก 680 ล้านบาท เพื่อไปแลกซื้อหุ้น HNC อนึ่งบริษัท HNC เป็นบริษัทที่ถือหุ้น 49.17% ของบริษัทประสิทธิ์พัฒนาจำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่และเป็นผู้บริหารในกลุ่มโรงพยาบาลพญาไท (และถือหุ้น 100% ในรพ.เปาโล พหลโยธิน 88.73% ในรพ.เปาโล สมุทรปราการ 80.72% ในรพ.เปาโล โชคชัย 4 และ 99.76% ในรพ.เปาโล นวมินทร์  ซึ่งก่อนจะมีการเทคโอเวอร์ครั้งนี้ BGH ก็ถือหุ้นอยู่ในบริษัทประสิทธิ์พัฒนาอยู่แล้ว 19.47% หลังการเทคโอเวอร์ทำให้ BGH กลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ คือถือถึง 68.64% ทำให้ต้องตั้งโต๊ะทำ Tender offer ตามกฎตลาดหลักทรัพย์จากนักลงทุนรายย่อย ทำให้ รพ.กรุงเทพกลายเป็นเครือโรงพยาบาลที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยและเป็นที่ 2 ใน Asia pacific โดยนอกจากรพ.กรุงเทพซึ่งมีสาขามากมายทั่วไทยแล้ว ยังมี รพ.สมิติเวช (ปัจจุบัน BGH ถือ 95.76%) BNH (BGH ถือหุ้น 88.30%) รพ.วัฒโนสถ (บำบัดรักษาผู้ป่วยโรคมะเร็ง) และกลุ่มรพ.พญาไทและรพ.เปาโลที่เทคโอเวอร์มาจาก HNC จนปัจจุบันเครือโรงพยาบาลกรุงเทพมีโรงพยาบาลในเครือ 31 แห่ง เมื่อผนวกโรงพยาบาลสนามจันทร์อีก 3 แห่ง ที่กำลังอยู่ระหว่างการควบรวม และอีก 9 แห่งที่อยู่ในระหว่างการก่อสร้าง รวมเป็น 43 แห่งเมื่อสร้างเสร็จ และมีแผนจะขยายจำนวนโรงพยาบาลในเครือให้เพิ่มขึ้นเป็น 50 แห่งในปีหน้า คาดหวังว่าจะมีผู้ป่วยนอกเพิ่มเป็น 30,000 คน/วัน จากปัจจุบันอยู่ที่ 22,000 คน/วัน ทำให้ BGH มี Economy of scale ค่าใช้จ่ายต่างๆ ต่อคนไข้ 1 ราย จะลดลง ต้นทุนการสั่งเครื่องไม้เครื่องมือ อุปกรณ์ทางการแพทย์ ยารักษาโรคต่างๆ ก็จะถูกกว่าโรงพยาบาลอื่นๆ ยิ่งทาง BGH กำลังนำระบบ B-EXCHANGE ซึ่งจะเชื่อมโยงฐานข้อมูลด้านเวชระเบียนเข้ามาใช้ระหว่างโรงพยาบาลในเครือ ทำให้การส่งต่อผู้ป่วยระหว่างโรงพยาบาลในเครือทำได้ง่ายขึ้น คุณหมอโรงพยาบาลปลายทางสามารถอ่านผลการรักษาต่อเนื่องจากคุณหมอจากโรงพยาบาลต้นทาง ไม่ว่าจะเป็นคำวินิจฉัยอาการของโรค และชนิดของยา หรือวิธีการบำบัดโรคที่ได้ทำไปแล้ว ยิ่ง BGH มีศูนย์รักษาโรคเฉพาะทางอยู่หลายด้านด้วยแล้ว ยิ่งเป็นประโยชน์ต่อคนไข้เป็นอย่างมากช่วยลดค่าใช้จ่าย จากการวินิจฉัยซ้ำซ้อนและลดความผิดพลาดทางการรักษาได้เป็นอย่างดี ทำให้ราคาหุ้น BGH ที่เดิมเคยอยู่ที่ราคา 30 กว่าบาท กระโดดขึ้นมา 170 กว่าบาท (PAR=1 บาทในสมัยนั้น แต่ปัจจุบัน PAR=0.10 บาท) ราคาหุ้นเพิ่มขึ้นเกือบ 500% ภายในเวลาเพียง 3 ปีเท่านั้น เพราะว่านักลงทุนชอบกลุ่ม Health care อยู่แล้ว โดย P/E ที่ซื้อขายกันของหุ้นในกลุ่มนี้อยู่ที่  20-30 กว่าเท่า หุ้น BGH เป็นหุ้นที่นักลงทุนยอมจ่ายค่า P/E ในระดับที่สูงถึง 30 กว่าเท่า คงจะเป็นเพราะว่าชอบนโยบาย การลงทุนแบบควบกิจการที่ทาง BGH ทำอยู่และการขยายสาขาของโรงพยาบาลในเครือไปยังจังหวัดต่างๆ ที่มีกลุ่มคนไข้เป้าหมายมากพอ   รวมทั้งขยายตัวในรูปของคลีนิคเพื่อรักษาพยาบาลโรคที่ไม่ซับซ้อนหรือเพื่อจะส่งต่อคนไข้ไปโรงพยาบาลใหญ่อีกต่อหนึ่ง ดีลการควบรวมครั้งนั้น ทำให้นพ.ประเสริฐ ประสาททองโอสถ และคุณวิชัย ทองแตงติดอันดับ 1 ใน 10 ของอภิมหาเศรษฐีเมืองไทยของ Forbes magazineในเวลาถัดมา ทั้งๆ ที่ในอดีตไม่เคยติดอยู่ใน 10 อันดับแรกนี้มาก่อน และพลอยทำให้นักลงทุน VI หลายๆ ท่านล่ำซำขึ้นมาด้วย ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะว่ากำไรของ BGH หลังจากที่ทำดีลดังกล่าวกำไรจากปี 2553 อยู่ที่ 2,295 ล้านบาท กระโดดมาที่ 4,386  7,937 และ 6,261 ล้านบาท สำหรับปี 2554 2555 และ 2556 ตามลำดับ (ปี 2556 ผลประกอบการไม่ค่อยน่าประทับใจ)  เราต้องมาดูกันต่อไปว่าผลประกอบการปี 2557 และปีต่อๆ ไปจะดีขึ้นหรือแย่ลงอย่างไร โชคดีตรงที่ปลายปีหน้าเราจะเริ่มเข้าสู่ AEC แล้ว BGH และบริษัทอื่นๆ คงได้อานิสงค์ไม่มากก็น้อยครับ  ถ้ากลุ่มรพ.กรุงเทพเข้าครอบครองตลาดผู้ป่วยที่มีฐานะระดับกลางและระดับบนไว้เกิน 70% เมื่อไหร่ผู้ป่วยคงต้องควักกระเป๋าสตางค์จ่ายมากขึ้น นั่นคงจะต้องถึงเวลาที่หน่วยงานของรัฐจะต้องเข้ามากำหนดเพดานของค่าใช้จ่ายต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นค่าผ่าตัด Doctor fee ค่าพยาบาล ค่ายารักษาโรค ฯลฯ เพื่อคุ้มครองผู้ป่วยไม่ให้ต้องถูกเรียกเก็บค่ารักษาพยาบาแพงเกินควร  แต่ราคาหุ้น BGH ในขณะนี้จะถูกหรือแพง ผมคงปล่อยให้เป็นหน้าที่ของนักวิเคราะห์และนักลงทุนพิจารณาตัดสินกันเองนะครับ (หุ้นดีแต่แพงก็ไม่น่าซื้อนะครับ)

          ส่วนพอร์ตลงทุนของผมในส่วนที่เก็งกำไร ช่วงนี้ผมจะพยายามลดการลงทุนในส่วนนี้ลง แต่จะยังคงพอร์ตที่ถือระยะยาวไว้เหมือนเดิม ซึ่งผมคาดว่าเราน่าจะเห็นการปรับตัวลงในระดับร่วมร้อยจุดภายในเดือนกรกฎาคมหรือสิงหาคมนี้ ส่วนดีลเทคโอเวอร์กรณีรสากับสิงห์ และกรณี PF ถ้า Feedback ดีผมจะมาเขียนถึง 2 ดีลนี้ในโอกาสหน้าครับ

กิติชัย เตชะงามเลิศ
                                                                                          09/07/57


ติดตามสาระดีๆทั้งไลฟ์สไตล์และการลงทุนได้ที่ 

Facebook : https://www.facebook.com/VI.Kitichai
Twitter     : http://twitter.com/value_talk
Instagram : Gid_Kitichai
Blog         : http://kitichai1.blogspot.com
You Tube : http://www.youtube.com/user/wittayu9 
Google+  : https://www.google.com/+KitichaiTaechangamlert
Linkedin   : https://www.linkedin.com/in/homeproperty
Pinterest   : http://www.pinterest.com/kitichai/


 หรือหนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ทุกวันพุธหน้า B6  และนิตยสารคนรวยหุัน, Condo Guide, Glow, L'Optimum และ Me(Market Evolution) ทุกเดือน
     

หาอสังหาทั้งถูกและดีเพื่ออยู่เองหรือเพื่อการลงทุน ได้ที่  http://www.pantipmarket.com/mall/homeproperty

วันพุธที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

ดีลเทคโอเวอร์ที่น่าสนใจ

ดีลเทคโอเวอร์ที่น่าสนใจ

          2 สัปดาห์ก่อนผมเขียนถึงเรื่อง “ทำไมปลาใหญ่ชอบกินปลาเล็ก” ได้รับความสนใจพอควรสัปดาห์นี้จึงขอยกดีลเทคโอเวอร์ที่น่าสนใจในอดีตมาเล่าสู่กันฟัง
1)    ดีล BIGC เทคโอเวอร์ Carrefour ในปี พ.ศ.2553 ด้วยวงเงิน 35,500 ล้านบาทได้สาขาของ Carrefour มาทั้งหมด 42 สาขา ซึ่งทำให้ BIGC กลายเป็นรายใหญ่ในวงการ Hyper market คือมี 103 สาขา (Tesco Lotus มี 116 สาขา) โดยใช้เงินกู้จากธนาคารเป็นจำนวนเงิน 38,000 ล้านบาทเพื่อสำหรับดีลนี้และการขยายตัวในอนาคต ดีลนี้ได้ทำให้ยอดขายรวมของ BIGC เดิมที่ 70,000 ล้านบาท/ปี บวกกับยอดขายของ Carrefour อีกประมาณ 40,000 ล้านบาท จนกลายเป็นรายได้รวมหลังเทคโอเวอร์ไปอยู่ที่ 110,000 ล้านบาทต่อปี เป็นการเติบโตแบบ Inorganic growth ยอดขายของ BIGC สูสีกับ Tesco Lotus มากขึ้น เพิ่มความสามารถในการแข่งขันและกำจัดคู่แข่งอย่าง Carrefour ให้ออกไปจากตลาด เท่ากับยิงปืนนัดเดียวได้นกถึง 2 ตัว นอกจากนั้นยังทำให้ BIGC เองสามารถเพิ่มอำนาจในการต่อรองกับ Supplier มากขึ้น ไม่ว่าจะขอค่าจัดวางของบนชั้นวางสินค้าบางตำแหน่ง ค่านำสินค้าแรกเข้าสู่ระบบ ค่าโปรโมชั่นต่างๆ ฯลฯ ในอัตราที่สูงขึ้นจากยอดขายที่รวมของ 2 ห้างเข้าด้วยกัน และ Economy of scale ที่มีจำนวนสาขามากขึ้นและการใช้ประโยชน์จากศูนย์กระจายสินค้าได้เต็มที่มากขึ้น เรามาดูยอดขายของ BIGC ก่อนควบรวมกับ Carrefour ปี 2553 BIGC มียอดขาย  74,457 ล้านบาท กำไรสุทธิ 2,887 ล้านบาท หลังควบรวมแล้วปี 2554 BIGC มียอดขาย 109,548 ล้านบาท กำไรสุทธิ 5,242 ล้านบาท เมื่อดูยอดขายปรากฏว่าปี 2554 ยอดขายรวมจะเท่ากับยอดขายปี 2553 ของ BIGC รวมกับของ Carrefour เท่านั้น แทบไม่มีการเติบโตเลย อาจจะเป็นช่วงปรับเปลี่ยนระบบทุกๆ อย่างให้เป็นระบบเดียวกันและส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะว่าช่วงปลายปี เกิดน้ำท่วมใหญ่ในประเทศไทยและปี 2555 ยอดขายก็เพิ่มเป็น 120,062 ล้านบาท โดขึ้น 10,514 ล้านบาท หรือ 9.60% ส่วนหนึ่งมาจากฐานที่ต่ำในปี 2554 ด้วย
เมื่อกล่าวถึงดีล BIGC ควบรวม Carrefour แล้วจะไม่กล่าวถึงดีล CPALL เทคโอเวอร์ MAKRO ได้อย่างไร
2)    ดีล CPALL เทคโอเวอร์ MAKRO ดีลนี้เกิดขึ้นเมื่อปี 2556 มูลค่าถึงเกือบ 200,000 ล้านบาท นับเป็นดีลที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ไทย โดย CPALL ได้ซื้อหุ้น MAKRO จากบริษัท SHV NETHERLAND BV. 154,429,500 หุ้นคิดเป็น 64.35% ของทุนจดทะเบียนและทำ Tender offer จากผู้ถือหุ้นรายย่อยในราคา 787 บาท (P/E 56 = 53 เท่า) เท่ากัน โดยก่อนที่จะมีข่าวนี้ ตอนนั้น MAKRO มีราคาเพียง 500 กว่าบาทเท่านั้น นับเป็นค่า Goodwill ที่มีมูลค่ามหาศาลมากๆ เลยทีเดียว โดย CPALL จะได้ MAKRO 57 สาขา และ Siam frozen อีก 5 สาขา ท่านผู้อ่านลองเปรียบเทียบดูกับดีล BIGC เอาเองละกันครับ นอกจากนั้นผมเห็นว่าดีล MAKRO  CPALL จะได้ SYNERGY น้อยกว่าดีลของ BIGC เพราะว่าธุรกิจร้านสะดวกซื้อ 7-11 กับธุรกิจ Cash & Carry ลักษณะขายส่งของ MAKRO แตกต่างกันและจำนวน Item ของสินค้าที่ซ้ำกันของ 7-11 กับ MAKRO มีไม่น่าจะมาก การที่ทาง 7-11 และ MAKRO จะมีอำนาจต่อรองทางการค้ามากขึ้นก็เฉพาะสินค้า Item ที่ซ้ำกัน โดยอาศัยข้ออ้างจากจำนวนซื้อที่มากขึ้นจากการรวมยอดสั่งซื้อของทั้ง 2 เข้าด้วยกัน แต่อาจจะมีข้อดีอยู่บ้างตรงที่ CPALL เองจะมีอำนาจครอบคลุมธุรกิจทั้งค้าส่งและค้าปลีก โดยที่ลูกค้าของ MAKRO ส่วนใหญ่จะเป็นร้านโชห่วยและธุรกิจ HORECA (Hotel, Restaurant และ Catering) นั่นหมายถึง CPALL จะเข้าครอบครองหรือมีอิทธิพลในธุรกิจค้าปลีกส่วนใหญ่ของประเทศ แต่ก็ต้องแลกมาด้วยราคาที่สูงจริงๆ ไม่รู้จะคุ้มหรือไม่ หรือถ้าคุ้มอีกกี่ปีถึงจะคุ้ม ในขณะที่ BIGC สามารถกำจัดคู่แข่งที่สำคัญไป 1 ราย พร้อมกับถีบตัวเองขึ้นมาให้เป็นคู่แข่งขันที่สูสีกับ Tesco Lotus และอำนาจต่อรองทางการค้ากับ Supplier ต่างๆ ที่มากขึ้น เนื่องจากจำนวน Item สินค้าของทั้ง BIGC และ CARREFOUR นั้นแทบจะซ้ำกันเกือบทั้งหมด นี่ยังไม่นับรวมค่าธรรมเนียมที่ปรึกษาทางการเงินและดอกเบี้ยเงินกู้ที่ตามมาอีกมหาศาลหลังจากดีลนี้ทำให้ CPALL ที่เป็นธุรกิจที่มีเงินสดมากมายต้องมีหนี้สูงจน DEBT/EQUITY RATIO กระโดดขึ้นไปถึง 6 เท่า ราคาหุ้น MAKRO เองหลังจากหมดช่วง Tender offer ก็หล่นมาแถว 600 บาทอยู่นาน จนเพิ่งมาโผล่พ้นน้ำราคาสูงกว่า 787 บาท (PAR=10) หรือ 39.35 บาท (PAR=0.50 บาทในปัจจุบัน) เมื่อเดือนมิถุนายน 2557 ที่ผ่านมานี่เอง คงต้องติดตามดูว่าทาง CPALL จะได้ประโยชน์อะไรจาก MAKRO นอกเหนือจากการคาดการณ์ของผม ไหนๆ ก็ Take มาแล้ว ถ้าบทความนี้ได้รับความสนใจ ผมอาจจะมีต่อภาค 2 ในดีลอื่นๆ อย่างเช่น Deal ของ BGH ในอดีต รวมทั้ง DEAL ของ Rasa และบริษัทอื่นๆ

ก่อนจบบทความนี้ อยากเตือนให้นักลงทุนทั้งหลาย ทยอยลดพอร์ตของท่านในช่วงดัชนีแถว1,490-1,520 จุด เพราะว่า ณ ราคาระดับนี้ตลาดหุ้นไทยไม่ถูกแล้วเมื่อเทียบกับเพื่อนบ้าน

กิติชัย เตชะงามเลิศ
                                                                                          02/07/57


ติดตามสาระดีๆทั้งไลฟ์สไตล์และการลงทุนได้ที่ 

Facebook : https://www.facebook.com/VI.Kitichai
Twitter     : http://twitter.com/value_talk
Instagram : Gid_Kitichai
Blog         : http://kitichai1.blogspot.com
You Tube : http://www.youtube.com/user/wittayu9 
Google+  : https://www.google.com/+KitichaiTaechangamlert
Linkedin   : https://www.linkedin.com/in/homeproperty
Pinterest   : http://www.pinterest.com/kitichai/


 หรือหนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ทุกวันพุธหน้า B6  และนิตยสารคนรวยหุัน, Condo Guide, Glow, L'Optimum และ Me(Market Evolution) ทุกเดือน
     

หาอสังหาทั้งถูกและดีเพื่ออยู่เองหรือเพื่อการลงทุน ได้ที่  http://www.pantipmarket.com/mall/homeproperty