จาก1ล้านเป็น500ล้านผมทำอย่างไร

จาก1ล้านเป็น500ล้านผมทำอย่างไร
เล่าประสบการณ์การลงทุนของผมที่นำไปใช้ได้ง่ายๆ

วันพุธที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

มองสิงคโปร์แล้วย้อนกลับมาดูไทยเรา

มองสิงคโปร์แล้วย้อนกลับมาดูไทยเรา

          การท่องเที่ยวดูเหมือนจะเป็นปัจจัยที่ 5 ของหลายๆ คน คนส่วนใหญ่มักจะให้รางวัลชีวิตแก่ตนเองโดยการใช้เงินที่สู้อุตส่าห์ตรากตรำทำงานหนักเพื่อซื้อสินค้าหรือบริการที่อยากได้ การท่องเที่ยวเป็นหนึ่งในตัวเลือกแรกๆ สำหรับคนทั่วไป ผมก็เป็นคนหนึ่งที่มักจะให้รางวัลกับตัวเองในการได้ไปเปิดหูเปิดตา ไปเที่ยวในสถานที่ต่างๆ ที่ไม่เคยไป เพื่อจะดูตึกรามบ้านช่อง โบราณสถาน สถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติ พิพิธภัณฑ์ Galley ต่างๆ รวมทั้งสัมผัสวัฒนธรรมของท้องถิ่นเหล่านั้น ไม่ว่าจะเป็นการแสดง อาหารการกิน การใช้บริการขนส่งสาธารณะ เพื่อให้ได้อรรถรสและความเข้าใจเกี่ยวกับผู้คนชาตินั้นๆ และที่ขาดไม่ได้ก็คือ การสังเกตธุรกิจต่างๆ ของประเทศเหล่านั้น ซึ่งทำได้ง่ายๆ จากการเดินเข้าไปใช้บริการในศูนย์การค้า Supermarket ร้านสะดวกซื้อ ฯลฯ สิ่งที่ผมจะให้ความสนใจ ส่วนใหญ่จะเป็นการตกแต่งร้าน วิธีการ Display สินค้าและบริการและวิธีการดูแลลูกค้ารวมไปถึงตัวสินค้าและหีบห่อ โดยเฉพาะสินค้าที่มีขายในประเทศไทย ผมมักจะเปรียบเทียบสิ่งต่างๆ ที่ได้กล่าวมาข้างต้นกับของบ้านเรา ว่ามีความแตกต่างกันอย่างไร หลายๆ ครั้งทำให้เห็นแนวโน้มและช่องทางในการทำธุรกิจหรือการลงทุน อย่างเช่นประเทศที่เจริญกว่าเรา ทำให้ผมเห็นแนวโน้มของ Life style ที่คาดว่าอีกไม่นานสังคมไทยก็คงจะก้าวไปตามโลกานุวัตร สินค้าและบริการหลายๆ แบรนด์ที่ยังไม่เข้ามาทำการตลาดในประเทศไทย ที่ผมเห็นว่าน่าสนใจผมก็จะแนะนำพรรคพวกเพื่อนฝูงที่อยู่ในวงการธุรกิจต่างๆ ให้ลองไป Observe แบรนด์เหล่านั้นดู นอกจากนั้นผมจะเมียงมองหาสินค้าและบริการของบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์และ MAI ว่ามีอะไรบ้างที่มีการจัดจำหน่ายในประเทศต่างๆ ที่ผมไปเที่ยว และความสนใจของคนท้องถิ่นที่มีต่อสินค้า และบริการเหล่านั้น รวมถึงดูสินค้าและบริการประเภทเดียวกัน พร้อมทั้งหีบห่อบรรจุภัณฑ์ และตำแหน่งในการจัดวางว่าจะได้เปรียบเสียเปรียบกันอย่างไร บางครั้งผมยังจินตนาการไปล่วงหน้า กรณีที่สินค้าและบริการที่ยังไม่มีขายในประเทศเรา ผู้ผลิตของเราเองจะเป็นอย่างไร ถ้าผลิตภัณฑ์เหล่านี้เข้ามาทำการตลาดในประเทศไทย จะมีผลกระทบต่อยอดขายและกำไรของบริษัทจดทะเบียนในตลาดอย่างไรบ้าง และมีบริษัทจดทะเบียนอะไรจะได้ผลประโยขน์ทางอ้อม โดยอาจจะเป็นธุรกิจ Logistics ต่างๆ ที่จะทำหน้าที่ขนส่งหรือ Distribute ผลิตภัณฑ์เหล่านั้น คงเป็นเพราะจิตใต้สำนึกของการเป็นนักลงทุน ทำให้แม้แต่ช่วงการพักผ่อนหรือการท่องเที่ยว ผมก็ยังอดไม่ได้ที่จะทำการบ้าน ทำให้สมองมีการลับคม ซึ่งพฤติกรรมเหล่านี้ แม้การเดินช้อปปิ้งในศูนย์การค้าบ้านเรา ผมก็ยังอดสอดส่องสังเกตสังกาแบบนี้ไม่ได้เช่นกัน ซึ่งหลายครั้งผมก็แปลกใจมากว่าบางร้านหรือบางเคานท์เตอร์ วันๆ แทบจะไม่มีลูกค้าเข้าร้านหรือแวะชมดูเลย แต่กลับมียอดขายที่ดีและมีการเติบโตของยอดขาย เพราะบางประเภทของร้านหรือห้าง อาจมีลูกค้าเดิมไม่มาก แต่ยอดขายต่อลูกค้าแต่ละรายอาจจะสูงมาก อย่างเช่นลูกค้าที่เดินเข้าร้านสะดวกซื้อ ยอดเงินที่ซื้อเฉลี่ยต่อรายคงไม่น่าจะเกิน 100 บาทต่อคนต่อครั้ง ในขณะที่ลูกค้าที่เดินไปซื้อของที่ร้านหรือห้างที่เป็นศูนย์รวมวัสดุตกแต่งบ้าน แน่นอนยอดซื้อต่อคนต่อครั้งโดยเฉลี่ยน่าจะอยู่ที่หลายๆ พันบาท
          ล่าสุดผมไปพักผ่อนสุดสัปดาห์ที่สิงคโปร์ ซึ่งทิ้งช่วงไปถึง 5 ปี หลังจากการไปเยือนครั้งที่แล้ว ผมพบว่าสิงคโปร์ซึ่งเป็นประเทศที่เป็นเกาะเล็กๆ ที่มีขนาดใกล้เคียงกับภูเก็ตของเรา ตั้งแต่นั่งรถไฟฟ้า MRT จากสนามบินชางฮีเข้าไปในตัวเมือง ผมเห็นความเขียวขจีของต้นไม้ ความสะอาดและความมีระเบียบเรียบร้อย รวมทั้งสิ่งปลูกสร้างใหม่ๆ ก็เกิดขึ้นมากมายใน 5 ปีที่ผ่านมา ล้วนแล้วสามารถที่จะดึงดูดนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศให้เข้ามาเยือน พร้อมทั้งมีสินค้าและบริการที่น่าสนใจไว้ล่อเงินในกระเป๋า เมื่อหันกลับมามองที่บ้านเราแล้วก็อดหดหู่ใจไปเสียไม่ได้ บ้านเราช่างไร้ซึ่งความมีระเบียบเรียบร้อย หาบเร่แผงลอยเกลื่อนกลาด ยึดครองพื้นที่ฟุตบาทเกือบหมด ทำให้คนต้องลงไปเดินบนถนน ช่วงนี้เป็นโอกาสที่ดีที่ คสช.กับ กทม.จะได้ร่วมมือกันจัดระเบียบหาบเร่ แผงลอยกันเสียที หันมาดูด้านรายได้ GDP PER CAPITA ตามที่ IMF ได้จัดเปรียบเทียบ ปรากฏว่าสิงคโปร์เป็นประเทศที่มีรายได้ต่อหัวเป็นอันดับที่ 8 ของโลก คือเท่ากับ 54,775 เหรียญสหรัฐ/ปี หรือคิดเป็นประมาณ 150,000 บาทต่อเดือน แซงหน้าสหรัฐที่อยู่ในอันดับที่ 9 มีรายได้ต่อหัวที่ 53,101 เหรียญในขณะที่ไทยเราอยู่ในอันดับที่ 92 โดยมีรายได้ต่อหัวเพียง 5,674 เหรียญต่อปีหรือคิดเป็นรายได้ต่อเดือนต่อหัวเพียง 15,000 บาท คิดเป็น 10% ของสิงคโปร์เท่านั้น มันน่าอับอายจริงๆ ประเทศไทยที่มีทรัพยากรธรรมชาติสมบูรณ์ อุดมไปด้วยแหล่งทัศนาจรสำหรับนักท่องเที่ยว แต่ทำได้เพียงแค่นี้ ปีที่แล้วนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทย 26.7 ล้านคน (รวมนักท่องเที่ยวจากประเทศเพื่อนบ้านที่เดินทาง By Land) ในขณะที่มีนักท่องเที่ยวถึง 15.6 ล้านคน (ไม่รวมนักท่องเที่ยวจากมาเลเซียซึ่งถ้ารวมก็คงเฉียดๆ 20 ล้านคน) ทั้งๆ ที่สิงคโปร์เป็นเกาะเล็กนิดเดียว ซ้ำร้ายไม่มีแหล่งทัศนาจรทางธรรมชาติอะไร นอกจากสิ่งปลูกสร้างที่เป็น Man made เท่านั้น และเป็นประเทศที่เพิ่งแยกตัวเป็นเอกราชจากมาเลเซียเมื่อปี พ.ศ.2506 หรือเพียง 51 ปีเท่านั้น ลองคิดเล่นๆ ดูสิครับ ถ้าเอาท่านลีกวนยู มาเป็นผู้นำในเมืองไทย 50 ปีที่แล้ว แล้วเอานักการเมืองไทยไปอยู่สิงคโปร์ให้หมด สภาพของสิงคโปร์และเมืองไทยจะเป็นไปในรูปแบบใดครับ

          ผมขอทิ้งท้ายบทความนี้ด้วยการเตือนท่านนักลงทุนด้วยคำพูดที่ว่า “งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา” SET INDEX ที่อยู่เหนือ 1,530 จุด เป็นจุดที่หุ้นไทยค่อนข้างแพงเกินไปในระยะสั้น น่าจะทยอยลดพอร์ตลงบ้าง รอให้มีการปรับตัวลงของ SET INDEX ซึ่งผมเชื่อว่าจะอยู่ประมาณร่วมร้อยจุดค่อยทยอยรับกลับคืน น่าจะเป็นกลยุทธ์ที่ดีในช่วงนี้ครับ

กิติชัย เตชะงามเลิศ
                                                                                          16/07/57


ติดตามสาระดีๆทั้งไลฟ์สไตล์และการลงทุนได้ที่ 

Facebook : https://www.facebook.com/VI.Kitichai
Twitter     : http://twitter.com/value_talk
Instagram : Gid_Kitichai
Blog         : http://kitichai1.blogspot.com
You Tube : http://www.youtube.com/user/wittayu9 
Google+  : https://www.google.com/+KitichaiTaechangamlert
Linkedin   : https://www.linkedin.com/in/homeproperty
Pinterest   : http://www.pinterest.com/kitichai/


 หรือหนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ทุกวันพุธหน้า B6  และนิตยสารคนรวยหุัน, Condo Guide, Glow, L'Optimum และ Me(Market Evolution) ทุกเดือน
     

หาอสังหาทั้งถูกและดีเพื่ออยู่เองหรือเพื่อการลงทุน ได้ที่  http://www.pantipmarket.com/mall/homeproperty

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น