มองสิงคโปร์แล้วย้อนกลับมาดูไทยเรา
การท่องเที่ยวดูเหมือนจะเป็นปัจจัยที่ 5
ของหลายๆ คน
คนส่วนใหญ่มักจะให้รางวัลชีวิตแก่ตนเองโดยการใช้เงินที่สู้อุตส่าห์ตรากตรำทำงานหนักเพื่อซื้อสินค้าหรือบริการที่อยากได้
การท่องเที่ยวเป็นหนึ่งในตัวเลือกแรกๆ สำหรับคนทั่วไป
ผมก็เป็นคนหนึ่งที่มักจะให้รางวัลกับตัวเองในการได้ไปเปิดหูเปิดตา ไปเที่ยวในสถานที่ต่างๆ
ที่ไม่เคยไป เพื่อจะดูตึกรามบ้านช่อง โบราณสถาน สถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติ
พิพิธภัณฑ์ Galley ต่างๆ
รวมทั้งสัมผัสวัฒนธรรมของท้องถิ่นเหล่านั้น ไม่ว่าจะเป็นการแสดง อาหารการกิน
การใช้บริการขนส่งสาธารณะ เพื่อให้ได้อรรถรสและความเข้าใจเกี่ยวกับผู้คนชาตินั้นๆ
และที่ขาดไม่ได้ก็คือ การสังเกตธุรกิจต่างๆ ของประเทศเหล่านั้น ซึ่งทำได้ง่ายๆ
จากการเดินเข้าไปใช้บริการในศูนย์การค้า Supermarket ร้านสะดวกซื้อ
ฯลฯ สิ่งที่ผมจะให้ความสนใจ ส่วนใหญ่จะเป็นการตกแต่งร้าน วิธีการ Display สินค้าและบริการและวิธีการดูแลลูกค้ารวมไปถึงตัวสินค้าและหีบห่อ โดยเฉพาะสินค้าที่มีขายในประเทศไทย
ผมมักจะเปรียบเทียบสิ่งต่างๆ ที่ได้กล่าวมาข้างต้นกับของบ้านเรา
ว่ามีความแตกต่างกันอย่างไร หลายๆ
ครั้งทำให้เห็นแนวโน้มและช่องทางในการทำธุรกิจหรือการลงทุน
อย่างเช่นประเทศที่เจริญกว่าเรา ทำให้ผมเห็นแนวโน้มของ Life style ที่คาดว่าอีกไม่นานสังคมไทยก็คงจะก้าวไปตามโลกานุวัตร
สินค้าและบริการหลายๆ แบรนด์ที่ยังไม่เข้ามาทำการตลาดในประเทศไทย
ที่ผมเห็นว่าน่าสนใจผมก็จะแนะนำพรรคพวกเพื่อนฝูงที่อยู่ในวงการธุรกิจต่างๆ
ให้ลองไป Observe แบรนด์เหล่านั้นดู นอกจากนั้นผมจะเมียงมองหาสินค้าและบริการของบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์และ
MAI ว่ามีอะไรบ้างที่มีการจัดจำหน่ายในประเทศต่างๆ
ที่ผมไปเที่ยว และความสนใจของคนท้องถิ่นที่มีต่อสินค้า และบริการเหล่านั้น
รวมถึงดูสินค้าและบริการประเภทเดียวกัน พร้อมทั้งหีบห่อบรรจุภัณฑ์ และตำแหน่งในการจัดวางว่าจะได้เปรียบเสียเปรียบกันอย่างไร
บางครั้งผมยังจินตนาการไปล่วงหน้า
กรณีที่สินค้าและบริการที่ยังไม่มีขายในประเทศเรา ผู้ผลิตของเราเองจะเป็นอย่างไร
ถ้าผลิตภัณฑ์เหล่านี้เข้ามาทำการตลาดในประเทศไทย
จะมีผลกระทบต่อยอดขายและกำไรของบริษัทจดทะเบียนในตลาดอย่างไรบ้าง
และมีบริษัทจดทะเบียนอะไรจะได้ผลประโยขน์ทางอ้อม โดยอาจจะเป็นธุรกิจ Logistics
ต่างๆ ที่จะทำหน้าที่ขนส่งหรือ Distribute ผลิตภัณฑ์เหล่านั้น
คงเป็นเพราะจิตใต้สำนึกของการเป็นนักลงทุน
ทำให้แม้แต่ช่วงการพักผ่อนหรือการท่องเที่ยว ผมก็ยังอดไม่ได้ที่จะทำการบ้าน
ทำให้สมองมีการลับคม ซึ่งพฤติกรรมเหล่านี้ แม้การเดินช้อปปิ้งในศูนย์การค้าบ้านเรา
ผมก็ยังอดสอดส่องสังเกตสังกาแบบนี้ไม่ได้เช่นกัน
ซึ่งหลายครั้งผมก็แปลกใจมากว่าบางร้านหรือบางเคานท์เตอร์ วันๆ
แทบจะไม่มีลูกค้าเข้าร้านหรือแวะชมดูเลย แต่กลับมียอดขายที่ดีและมีการเติบโตของยอดขาย
เพราะบางประเภทของร้านหรือห้าง อาจมีลูกค้าเดิมไม่มาก
แต่ยอดขายต่อลูกค้าแต่ละรายอาจจะสูงมาก อย่างเช่นลูกค้าที่เดินเข้าร้านสะดวกซื้อ
ยอดเงินที่ซื้อเฉลี่ยต่อรายคงไม่น่าจะเกิน 100 บาทต่อคนต่อครั้ง
ในขณะที่ลูกค้าที่เดินไปซื้อของที่ร้านหรือห้างที่เป็นศูนย์รวมวัสดุตกแต่งบ้าน
แน่นอนยอดซื้อต่อคนต่อครั้งโดยเฉลี่ยน่าจะอยู่ที่หลายๆ พันบาท
ล่าสุดผมไปพักผ่อนสุดสัปดาห์ที่สิงคโปร์
ซึ่งทิ้งช่วงไปถึง 5 ปี
หลังจากการไปเยือนครั้งที่แล้ว ผมพบว่าสิงคโปร์ซึ่งเป็นประเทศที่เป็นเกาะเล็กๆ ที่มีขนาดใกล้เคียงกับภูเก็ตของเรา
ตั้งแต่นั่งรถไฟฟ้า MRT จากสนามบินชางฮีเข้าไปในตัวเมือง
ผมเห็นความเขียวขจีของต้นไม้ ความสะอาดและความมีระเบียบเรียบร้อย รวมทั้งสิ่งปลูกสร้างใหม่ๆ
ก็เกิดขึ้นมากมายใน 5 ปีที่ผ่านมา
ล้วนแล้วสามารถที่จะดึงดูดนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศให้เข้ามาเยือน
พร้อมทั้งมีสินค้าและบริการที่น่าสนใจไว้ล่อเงินในกระเป๋า
เมื่อหันกลับมามองที่บ้านเราแล้วก็อดหดหู่ใจไปเสียไม่ได้
บ้านเราช่างไร้ซึ่งความมีระเบียบเรียบร้อย หาบเร่แผงลอยเกลื่อนกลาด
ยึดครองพื้นที่ฟุตบาทเกือบหมด ทำให้คนต้องลงไปเดินบนถนน ช่วงนี้เป็นโอกาสที่ดีที่
คสช.กับ กทม.จะได้ร่วมมือกันจัดระเบียบหาบเร่ แผงลอยกันเสียที หันมาดูด้านรายได้ GDP
PER CAPITA ตามที่ IMF ได้จัดเปรียบเทียบ
ปรากฏว่าสิงคโปร์เป็นประเทศที่มีรายได้ต่อหัวเป็นอันดับที่ 8 ของโลก คือเท่ากับ 54,775 เหรียญสหรัฐ/ปี หรือคิดเป็นประมาณ 150,000 บาทต่อเดือน
แซงหน้าสหรัฐที่อยู่ในอันดับที่ 9 มีรายได้ต่อหัวที่ 53,101
เหรียญในขณะที่ไทยเราอยู่ในอันดับที่ 92 โดยมีรายได้ต่อหัวเพียง
5,674 เหรียญต่อปีหรือคิดเป็นรายได้ต่อเดือนต่อหัวเพียง 15,000
บาท คิดเป็น 10% ของสิงคโปร์เท่านั้น
มันน่าอับอายจริงๆ ประเทศไทยที่มีทรัพยากรธรรมชาติสมบูรณ์
อุดมไปด้วยแหล่งทัศนาจรสำหรับนักท่องเที่ยว แต่ทำได้เพียงแค่นี้
ปีที่แล้วนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทย 26.7 ล้านคน
(รวมนักท่องเที่ยวจากประเทศเพื่อนบ้านที่เดินทาง By Land) ในขณะที่มีนักท่องเที่ยวถึง
15.6 ล้านคน (ไม่รวมนักท่องเที่ยวจากมาเลเซียซึ่งถ้ารวมก็คงเฉียดๆ
20 ล้านคน) ทั้งๆ ที่สิงคโปร์เป็นเกาะเล็กนิดเดียว ซ้ำร้ายไม่มีแหล่งทัศนาจรทางธรรมชาติอะไร
นอกจากสิ่งปลูกสร้างที่เป็น Man made เท่านั้น
และเป็นประเทศที่เพิ่งแยกตัวเป็นเอกราชจากมาเลเซียเมื่อปี พ.ศ.2506 หรือเพียง 51 ปีเท่านั้น ลองคิดเล่นๆ ดูสิครับ
ถ้าเอาท่านลีกวนยู มาเป็นผู้นำในเมืองไทย 50 ปีที่แล้ว
แล้วเอานักการเมืองไทยไปอยู่สิงคโปร์ให้หมด
สภาพของสิงคโปร์และเมืองไทยจะเป็นไปในรูปแบบใดครับ
ผมขอทิ้งท้ายบทความนี้ด้วยการเตือนท่านนักลงทุนด้วยคำพูดที่ว่า
“งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา” SET INDEX ที่อยู่เหนือ
1,530 จุด เป็นจุดที่หุ้นไทยค่อนข้างแพงเกินไปในระยะสั้น
น่าจะทยอยลดพอร์ตลงบ้าง รอให้มีการปรับตัวลงของ SET INDEX ซึ่งผมเชื่อว่าจะอยู่ประมาณร่วมร้อยจุดค่อยทยอยรับกลับคืน
น่าจะเป็นกลยุทธ์ที่ดีในช่วงนี้ครับ
กิติชัย เตชะงามเลิศ
16/07/57
ติดตามสาระดีๆทั้งไลฟ์สไตล์และการลงทุนได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/VI.Kitichai
Twitter : http://twitter.com/value_talk
Instagram : Gid_Kitichai
Blog : http://kitichai1.blogspot.com
You Tube : http://www.youtube.com/user/wittayu9
Google+ : https://www.google.com/+KitichaiTaechangamlert
Linkedin : https://www.linkedin.com/in/homeproperty
Pinterest : http://www.pinterest.com/kitichai/
หรือหนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ทุกวันพุธหน้า B6 และนิตยสารคนรวยหุัน, Condo Guide, Glow, L'Optimum และ Me(Market Evolution) ทุกเดือน
หาอสังหาทั้งถูกและดีเพื่ออยู่เองหรือเพื่อการลงทุน ได้ที่ http://www.pantipmarket.com/mall/homeproperty
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น