ธุรกิจ
HEALTH
CARE ดีจริงหรือ (ตอนจบ)
•ออมเงินเพียงเดือนละหลักพัน ก็เป็นเศรษฐี 100 ล้าน ก่อนอายุ 50 ปี!
รายละเอียดอยู่ในหนังสือ"ออมจากน้อยเป็นร้อยล้าน"ซึ่งวางจำหน่ายตามร้านหนังสือชั้นนำทั่วไป(ร้านนายอิน ซีเอ็ด B2S คิโนะคุนิยะ)แล้วครับ
บทความ 4 ตอนที่ผ่านมาที่ผมพูดเกี่ยวกับธุรกิจ
Health care สวนใหญ่จะเป็นการมองในภาพรวมของทั้งโลก
ส่วนบทความสัปดาห์นี้ผมจะเน้นถึงธุรกิจนี้ที่อยู่ในประเทศไทยครับ ธุรกิจ Health
care ในประเทศมีมาตั้งนานแล้ว ผมขอเริ่มตั้งแต่สมัยที่มีเริ่มตั้งโรงพยาบาลเป็นเรื่องเป็นราวสมัยล้นเกล้ารัชกาลที่
5 ที่พระองค์ได้เล็งเห็นถึงการขาดสถานพยาบาลเพื่อดูแลรักษาพสกนิกรที่เจ็บป่วย
จึงมีพระราชดำริก่อตั้งโรงพยาบาลขึ้นเป็นครั้งแรกในราชอาณาจักรสยาม
แต่ในสมัยนั้นมีจุดประสงค์เพื่อช่วยเหลือประชาขน ไม่ได้หวังค้ากำไร
เนื่องจากเป็นโรงพยาบาลของรัฐ ต่อมาคนไทยที่มีรายได้สูงเริ่มมีจำนวนมากขึ้น จึงเริ่มมีธุรกิจโรงพยาบาลเอกชนมาตอบสนองความต้องการในบริการที่ดีขึ้น
และต่อมาเริ่มมีการแตกขยายสาขาเป็น Hospital chain หรือ hospital
network เริ่มมีการนำโรงพยาบาลเอกชนเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์มากขึ้น
จนปัจจุบันมีมากกว่า 10 บริษัทแล้วและยังมีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
โดยมีบริษัทกรุงเทพดุสิตเวชการ (BGH) เป็น Chain ที่ใหญ่ที่สุดมี Market cap มากถึง 300,000 ล้านบาทเลยทีเดียวจนทำให้กลุ่มการแพทย์ ซึ่งเมื่อย้อนหลังไป 7-8 ปีที่แล้ว กลุ่มนี้นับว่าเป็นกลุ่มที่เล็ก Market cap ทั้งกลุ่มมีมูลค่าน้อยมากเมื่อเทียบกับ Market cap รวมของตลาด
ต่อมาหลังจากเริ่มได้รับความนิยมจากนักลงทุน ทำให้กลุ่มการแพทย์มี P/E ที่สูงขึ้น จนถึงปัจจุบันเฉลี่ยประมาณ 20-30 กว่าเท่า
เนื่องจากอัตราการเจริญเติบโตของรายได้และกำไรค่อนข้างสูง
ประเทศไทยเรายังมีจำนวนบุคลากรทางการแพทย์ รวมทั้งสถานพยาบาลค่อนข้างน้อย
ยิ่งต่างจังหวัดแล้วยิ่งน้อยใหญ่ ทำให้โอกาสของธุรกิจนี้ยังมีอีกมากมาย
นี้ยังไม่รวมผลกระทบจาก AEC ซึ่งทำให้ Hospital chain
ของไทยไม่ว่าจะเป็น Chain ใหญ่หรือเล็ก
มีโอกาสสอดแทรกเข้าไปตั้งคลีนิคหรือโรงพยาบาลที่ประเทศในกลุ่ม ASEAN โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศ CLMV (Cambodia, Laos,
Myanmar, และ Vietnam) ซึ่งยังขาดแคลนโรงพยาบาลชั้นนำอย่างมาก
นอกจากการไปตั้งสถานพยาบาลในประเทศเหล่านี้แล้ว
ยังสามารถที่จะรับบริหารจัดการโรงพยาบาลอื่นๆ โดยรับรู้เป็นค่าจ้างบริหารจัดการ
อย่างเช่น ที่กลุ่ม IHH ของมาเลเซียทำอยู่ในหลายๆ ประเทศ
ทำให้บริษัทมีโอกาสได้เรียนรู้ตลาดในประเทศนั้นๆ
ว่ามีความต้องการบริการในรูปแบบไหน และประเภทของโรคภัยไข้เจ็บ
ทำให้สามารถตั้งเป็นศูนย์รักษาโรคเฉพาะทางได้อีกด้วย
ซึ่งการรับบริหารเป็นหนึ่งในนโยบาย Asset light ทำให้กลุ่มโรงพยาบาลที่รับบริหารไม่ต้องลงทุนมากมายเหมือนการลงทุนแบบ
Green field ที่ใช้การลงทุนที่มากและใช้เวลาในการก่อสร้างโรงพยาบาลหรืออาจจะเข้าไป
Takeover โรงพยาบาลทั้งในต่างจังหวัด และโรงพยาบาลในกลุ่ม ASEAN
ด้วยกัน ยิ่งเครือข่ายที่ใหญ่มากขึ้นเท่าไร Economy of scale
ก็จะมากขึ้นเท่านั้น
อำนาจในการต่อรองทางธุรกิจไม่ว่าจะเป็นการสั่งอุปกรณ์ทางการแพทย์
ยาและเวชภัณฑ์ต่างๆ ผมยังสงสัยว่าทำไมกลุ่มโรงพยาบาลต่างๆ
ไม่เข้ามาสนับสนุนสถานศึกษาต่างๆ
ให้สามารถรับนิสิตนักศึกษาเข้ามาเรียนได้เพิ่มจำนวนมากขึ้น
และให้ทุนการศึกษาแก่นิสิตนักศึกษาที่เรียนดี
โดยอาจจะมีข้อผูกพันว่าจะต้องมาทำงานใช้ทุนที่โรงพยาบาลที่ให้ทุนการศึกษาต่อจากการใช้ทุนของรัฐ
คิดแล้วโรงพยาบาลเอกชนที่ให้ทุนน่าจะได้ประโยชน์
เพราะว่าบุคลากรทางการแพทย์นี้จบใหม่เหล่านี้ ในช่วงการใช้ทุนของรัฐ
ก็เปรียบเสมือนได้ฝึกงานไปในตัว พอเริ่มทำงานใช้ทุนให้กับโรงพยาบาลเอกชน
ก็จะมีประสบการณ์มากขึ้นแล้ว ผมอยากให้ BGH เป็นผู้ริเริ่มโครงการนี้
ปัจจุบัน BGH มีโรงพยาบาลในเครือทั้งหมด 3 แห่งและกำลังก่อสร้างอีก 9 แห่ง
และล่าสุดก็ได้ควบรวมกับกลุ่มโรงพยาบาลสนามจันทร์ซึ่งมีโรงพยาบาลอีก 3 แห่งเมื่อเร็วๆ นี้ รวมเป็น 43 แห่ง
แล้วยังตั้งเป้าหมายจะเพิ่มอีก 7 แห่งในปีหน้ารวมเป็น 50 แห่ง ทำให้มีจำนวนเตียง
รวมเป็น 8,000 เตียง นับว่ามากที่สุดในประเทศไทย รีบๆ
ทำเถอะครับ เพราะว่าโครงการดีๆ แบบนี้ถือเป็น CSR ที่ตรงกับลักษณะธุรกิจและดีมากๆ
ครับ และยังจะได้บุคลากรทางการแพทย์มาร่วมงานมากขึ้นด้วย
กิติชัย เตชะงามเลิศ
10/09/57
ติดตามสาระดีๆทั้งไลฟ์สไตล์และการลงทุนได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/VI.Kitichai
Twitter : http://twitter.com/value_talk
Instagram : Gid_Kitichai
Blog : http://kitichai1.blogspot.com
You Tube : http://www.youtube.com/user/wittayu9
Google+ : https://www.google.com/+KitichaiTaechangamlert
Linkedin : https://www.linkedin.com/in/homeproperty
Pinterest : http://www.pinterest.com/kitichai/
หรือหนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ทุกวันพุธหน้า B6 และนิตยสารคนรวยหุัน, Condo Guide, Glow, L'Optimum และ Me(Market Evolution) ทุกเดือน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น