GDP ไตรมาส 4 ดีกว่าคาด เพราะอะไร?
GDP ของไทยในไตรมาส 4 ปี 2555
ซึ่งรายงานโดยสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช) เมื่อวันก่อนขยายตัวถึง
18.90 % เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อนหน้า
ซึ่งดีกว่าตัวเลขที่ตลาดคาดการณ์ไว้ที่ 15.30% ถือว่าเป็นผลงานของรัฐบาลชุดนี้
การที่มีการขยายตัวมากดังกล่าวน่าจะเกิดจากฐานที่ต่ำของไตรมาส 4 ปี 2554 ซึ่งช่วงนั้นไทยเราประสบปัญหาน้ำท่วมครั้งใหญ่และรุนแรงที่สุดในรอบ
50 ปี ทำให้ GDP ไตรมาส 4 ตกลง 10,70% เมื่อเทียบกับไตรมาส 3 ปี 2554 และตกลง 9.0% เมื่อเทียบกับไตรมาส
4 ปี 2553 ในช่วงนั้นโรงงานอุตสาหกรรมต่างๆ
ต้องปิดโรงงาน หยุดผลิตไปมากมาย
ประชาชนลดการจับจ่ายใช้สอยลงอย่างมากนักท่องเที่ยวเปลี่ยนหรือเลื่อนแผนการเดินทางเข้ามาในประเทศไทย
การส่งออกก็ลดตัวลงมาอย่างมากโดยเฉพาะอุตสาหกรรมยานยนต์ และชื้นส่วนอิเล็กทรอนิคส์ ไตรมาส 4 ปีที่ผ่านมา
อัตราการขยายตัวของการส่งออกโตขึ้น 13.50%
เมื่อเทียบกับไตรมาส 4 ปี 2554 แต่เมื่อเทียบกับไตรมาส 3 ปี 2554มูลค่าการส่งออกลดลง ตามภาวะอ่อนแอของเศรษฐกิจในประเทศหลักๆ ไตรมาส 4
ปีที่ผ่านมา จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เข้ามาเยือนประเทศไทยเพิ่มขึ้นถึง
39.30% เมื่อเทียบกับไตรมาส 4 ปี 2554 โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
นักท่องเที่ยวชาวจีนมีจำนวนเพิ่มขึ้นมากกว่า 500,000 คน
หรือขยายตัวถึง 163% ซึ่งสูงกว่าไตรมาส 3 ปี 2554 ที่ขยายตัวถึง
47% ซึ่งคาดว่าน่าจะได้รับอิทธิพลจากภาพยนต์จีนเรื่อง “LOST
IN THAILAND” ซึ่งเป็นหนังตลกต้นทุนต่ำ แต่ทำรายได้ BOX
OFFICE สูงที่สุดในปี 2555 ซึ่งได้ข่าวว่าภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับการสนับสนุนเป็นอย่างดี
จากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย จริงๆ แล้วการท่องเที่ยว แห่งประเทศไทย (ททท)
ควรจะสนับสนุนภาพยนต์ทั้งไทยและเทศที่ถ่ายทำในเมืองไทยให้มากขึ้น
เมื่อเห็นว่าบางส่วนของภาพยนตร์ดังกล่าว
จะกระตุ้นให้นักท่องเที่ยวเข้ามาเที่ยวในประเทศไทยมากขึ้น
อย่างเช่นที่ประเทศเกาหลี ซึ่งส่งเสริมอุตสาหกรรมภาพยนตร์ของเขา
ทำให้ผู้ชมภาพยนตร์ดังกล่าวอยากจะเข้าไปท่องเที่ยวที่เกาหลี และซื้อสินค้าเกาหลีใช้
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือเครื่องใช้ไฟฟ้า, เครื่องสำอาง บางฉากในภาพยนตร์เรื่อง “LOST
IN THAILAND” ได้เข้าไปถ่ายทำในจังหวัดเชียงใหม่
ปรากฏว่าหลังจากภาพยนตร์ออกฉาย นักท่องเที่ยวจีนที่ปกติจะเที่ยวแค่กรุงเทพ พัทยา
ภูเก็ต ก็เริ่มไปท่องเที่ยวที่เชียงใหม่มากขึ้น
ยอดจองห้องพักที่เชียงใหม่ดีขึ้นเป็นอันมาก ทำให้เศรษฐกิจในภูมิภาคดีขึ้น
อย่างเห็นได้ชัด ปัจจุบันดาราไทยหลายคน ก็ประสบความสำเร็จ
มีชื่อเสียงและได้รับรางวัลจากสถาบันภาพยนตร์ของจีนทาง (ททท)
น่าจะทำโฆษณาโปรโมทการท่องเที่ยว โดยให้ดาราดังกล่าว แนะนำสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ
ในไทยไปออกอากาศในสถานีโทรทัศน์ของจีน ประชากรจีนมีเกือบ 1,400 ล้านคน ขอแค่ 1% ของประชากรจีนก็ปาเข้าไป 14 ล้านคนแล้ว ปี 2555 เรามีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาเยือน
รวมทั้งหมด 22.30 ล้านคน
โดยมีนักท่องเที่ยวชาวจีนมากเป็นอันดับ 1 ถึงมากกว่า 2
ล้านคน ตามมาด้วยมาเลเซีย ญี่ปุ่น
และเกาหลีใต้
ปีที่แล้วอานิสงค์ของโครงการรถคันแรก ประกอบกับแรงซื้อที่อัดอั้นมาตั้งแต่ปลายปี
2554 ทำให้ยอดขายรถยนต์ในประเทศ 1,400,127 คัน และการผลิตรถยนต์ในประเทศ 2,453,717 คัน สร้างสถิติสูงสุดใหม่ในประวัติศาสตร์ และยอดส่งออก 1,053,590
คัน ถ้าดูเฉพาะไตรมาส 4 ปี 2555 กลุ่มรถยนต์มียอดขายโตขึ้น 169.30% YOY ทำให้บริษัทในกลุ่มอุตสาหกรรมรถยนต์ ต้องใช้กำลังผลิตเต็มที่และขยายกำลังการผลิต โดยสร้างโรงงานใหม่เพิ่มเติม เช่น กลุ่ม มาสด้า
, ฮอนด้า เป็นตันจริงๆ แล้ว ในความเห็นส่วนตัวของผม รัฐบาลไม่จำเป็นต้องออกมาตรการนี้
เพราะว่ายังไงปี 2555 รถยนต์น่าจะขายดี
เพราะแรงซื้อที่อั้นมาจากปลายปี 2554 บวกกับความต้องการของปี
2555 สู้นำงบประมาณตรงส่วนนี้
ซึ่งเป็นมูลค่าเกือบหนึ่งแสนล้านบาทมาทำโครงการรถไฟฟ้าในกรุงเทพมหานครหรือหัวเมืองใหญ่ๆ
จะดีกว่ารถใหม่ในปี 2555 รวมกับรถจองเมื่อปลายปี 2555
ซึ่งจะส่งมอบภายในครึ่งปีแรกปีนี้
จะทำให้รถติดวินาศสันตะโรเพียงไหนไม่อยากจะคิด
ปริมาณน้ำมันและก๊าซที่ใช้ในรถยนต์ทุกคันติดเครื่องจอดรถบนถนนเป็นการสูญเสียค่าใช้จ่ายด้านพลังงานนำเข้าเป็นจำนวนที่มหาศาล ผู้คนต้องใช้เวลาบนท้องถนนนานขึ้น
ประสิทธิภาพของคนทำงาน LOGISTICS ลดลง
ปี 2556
อัตราการขยายตัวเศรษฐกิจของไทยคงได้รับผลดีจากการขยายการลงทุนของอุตสาหกรรมต่าง ๆ
จะเห็นได้จากยอดขอรับการส่งเสริม BOI สูงมาก
และรัฐบาลเองก็ยังมีโครงการ MEGA PROJECT มูลค่า 2 ล้านล้านบาท ซึ่งจะทยอยลงทุน ตลาดหุ้นก็ขึ้นมาพอสมควร ทำให้เศรษฐกิจดีขึ้น
ยอดการใช้จ่ายภายในประเทศ ยอดขายอสังหาริมทรัพย์ก็ดีขึ้นเป็นอันมาก
เศรษฐกิจอเมริกากับจีน
เริ่มเห็นตัวเลขทางเศรษฐกิจหลายตัวดีขึ้นตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว
รัฐบาลใหม่ของญึ่ปุ่นก็มีนโยบายเพิ่มสภาพคล่องและกระตุ้นเศรษฐกิจ เหลือแต่ยุโรปซึ่งยังไม่ฟื้น แต่ก็น่าจะพ้นจุดต่ำสุดไปแล้ว อะไรๆ
ก็ดูดีขึ้นเรื่อยๆ แต่การที่ดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยขึ้นมาจาก 380.05
จุด เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2551
มาถึง 1,523.29 จุด ณ 18 กุมภาพันธ์ปีนี้ ขึ้นมาแล้วถึง 300.81%
หรือเมื่อเทียบกับ 1,391.93 ณ สิ้นปีที่แล้ว SET
INDEX ก็ขึ้นมาแล้ว 9.44 % ผมคาดว่าภายใน 2 อาทิตย์นับจากนี้
เราน่าจะเห็นการปรับตัวของดัชนี SET
INDEX ซึ่งผมคาดว่าจะเกิน 100
จุด ซึ่งก็จะเป็นโอกาสที่ดี
สำหรับท่านที่ยังมีพอร์ตการลุงทุนว่างอยู่ มาเลือกซื้อลงทุนหุ้นดีในราคาที่เหมาะสม
หวังว่าท่านผู้อ่านจะประสบความสำเร็จในการลงทุนนะครับ
ติดตามแนวทางการลงทุนของผมได้ที่
https://www.facebook.com/VI.Kitichai , http://twitter.com/value_talk , http://www.youtube.com/user/wittayu9 และ http://kitichai1.blogspot.com
หรือหนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ทุกวันพุธหน้า B6 หรือหน้า B10 และนิตยสารคนรวยหุัน, Condo Guide, Stock Review, Me(Market Evolution), Glow และ Lisa ทุกเดือน
สนใจซื้ออสังหาเพื่ออยู่เองหรือเพื่อการลงทุน ลองเข้า http://www.pantipmarket.com/mall/homeproperty
กิติชัย เตชะงามเลิศ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น