จาก1ล้านเป็น500ล้านผมทำอย่างไร

จาก1ล้านเป็น500ล้านผมทำอย่างไร
เล่าประสบการณ์การลงทุนของผมที่นำไปใช้ได้ง่ายๆ

วันพุธที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2556

ภาษีสินค้าฟุ่มเฟือยควรลดหรือไม่

ภาษีสินค้าฟุ่มเฟือยควรลดหรือไม่


          คนไทยเป็นชนชาติที่รักการช้อปปิ้ง ติดอันดับต้นๆ ของโลกเลยทีเดียวจากการเปิดเผย การใช้จ่ายต่อวันของนักท่องเที่ยวไทย ไม่ว่าจะเป็นสิงคโปร์ ญี่ปุ่น และยุโรป ปรากฏว่าคนไทยติด TUP5 บ้าง TOP10 บ้าง ไม่รู้ว่าเราควรจะภูมิใจกันดีไหม หรือว่าคนไทยรวยกว่าคนชาติอื่นๆ สินค้าที่คนไทยนิยมไปช้อปปิ้งที่ต่างประเทศ ส่วนใหญ่จะเป็นสินค้าฟุ่มเฟือยไม่ว่าจะเป็น เครื่องสำอาง ซึ่งพักหลังคนไทยนิยมไปซื้อเครื่องสำอางที่เกาหลี มากจนทำให้บรรดาร้านค้าเครื่องสำอางแบรนด์เกาหลีเหล่านี้ ในย่านช้อปปิ้ง เช่นเมียงดอง ต้องจ้างพนักงานคนไทยมาต้อนรับลูกค้าคนไทยกันเลยทีเดียว คงจะเป็นเพราะว่ากระแสภาพยนต์และละครเกาหลี ทำให้คนไทยรับเอาวัฒนธรรมบางอย่างรวมไปถึงเสื้อผ้า หน้า ผม ปัจจุบันถ้าสังเกตให้ดีเวลาเดินตามเคาน์เตอร์เครื่องสำอางตามห้างสรรพสินค้า ก็จะพบแบรนด์เกาหลีมากขึ้น นับดูแล้วก็ร่วม 10 แบรนด์เลยทีเดียว แต่ราคาที่เมืองไทยจะแพงกว่าที่เกาหลีพอสมควร ทำให้สาวไทยบินไปเกาหลีเพื่อซื้อสินค้าเหล่านี้กันมากมาย ทั้งซื้อใช้เอง และซื้อตามลิสต์รายการที่ญาติพี่น้อง เพื่อนฝูงฝากซื้อ นอกจากเกาหลีแล้วคนไทยเราเป็นชนชาติที่ซื้อนาฬิกาหรูๆ ติดอันดับของนักท่องเที่ยวที่บินไปยุโรป ไม่ว่าจะเป็นสุภาพบุรุษหรือสุภาพสตรี ในเมืองไทยเอง เวลาห้างสรรพสินค้าจัด Watch Fair ทีไร ยอดขายเป็นหลักร้อยล้าน พันล้านบาททุกที จนปีหนึ่งๆ จากเดิมเคยจัดปีละครั้งกลายเป็นปีละหลายๆ ครั้ง นอกจากนั้นกระเป๋าถือของคุณสุภาพสตรีบางแบรนด์ใบละหลายๆ แสน แล้วต้องเข้าคิวกันซื้อ บางรุ่นถ้าไม่ใช่ลูกค้าเก่าแก่ ลูกค้าชั้นหนึ่งก็ไม่สามารถซื้อได้ เพราะว่าทางร้านเขามีจำกัด เวลาผมเดินผ่านร้านพวกนี้ทีไร อดสงสัยไม่ได้เลยว่าแต่ละร้านก็ออกจะใหญ่โต ทำไมต้องให้ลูกค้าต่อคิวเพื่อจะเข้าไปช้อปปิ้งสินค้าในร้าน จะบอกว่ากลัวจะดูแลลูกค้าไม่ทั่วถึง ก็ยังดูไม่สมเหตุสมผล น่าจะเป็นกลยุทธการตลาด เรียกร้องความสนใจจากคนที่เดินผ่านไปมา ประมาณว่าร้านขายดีจนลูกค้าต้องมาต่อคิวรอกัน อีกคำถามที่คาใจก็คือ ทำไมคนเหล่านี้ยอมที่จะซื้อกระเป๋าใบละเป็นหลักแสนทั้งๆ ที่ดูแล้วต้นทุนเป็นเพียงหลักพันบาทเท่านั้น สร้างผลกำไรให้กับบริษัทที่เป็นเจ้าของแบรนด์สินค้าเหล่านี้มโหฬาร จนกระทั่งมีบริษัทหลักทรัพย์จดทะเบียนกองทุนรวมของไทยบางบริษัท เอากองทุนจากต่างประเทศที่เน้นลงทุนในสินค้า Luxury นี้โดยเฉพาะมาขายให้นักลงทุนไทย ผมไม่ได้ติดตามดูว่าผลประกอบการของกองทุนประเภทนี้เป็นอย่างไรบ้าง
          เกริ่นมาตั้งนานขอเข้าเรื่องสักที ผมไม่เห็นด้วยกับการที่จะลดภาษีสินค้าฟุ่มฟือย เพราะว่าจะทำให้สินค้าฟุ่มเฟือยจากต่างชาติเหล่านี้ถูกลงมาก (ถ้าร้านค้าลดราคาลงเท่ากับภาษีที่ลดลง ผมเกรงว่าร้านเหล่านี้จะลดราคาลงน้อยกว่า ภาษีที่ลดลงซะมากกว่า) สินค้า Made In Thailand ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า เครื่องสำอาง เครื่องหนัง ฯลฯ ก็จะมีความแตกต่างในด้านราคาลดลง นิสัยคนไทยที่นิยมใช้ของนอกมากกว่าของที่ผลิตในประเทศ ก็จะทำให้บรรดาผู้ผลิตไทยโดยเฉพาะธุรกิจ SME ทั้งหลาย อาจจะลดการผลิตลง จากยอดขายที่ลดลง หรืออาจจะถึงขั้นเลิกกิจการ ถ้าธุรกิจเหล่านั้นไม่สามารถปรับตัวได้ คนก็จะตกงานมากขึ้น ผมคิดว่ามีอีกวิธีหนึ่งที่จะช่วยกระตุ้นการท่องเที่ยวให้ Thailand เป็น Shopping Destiny แข่งกับฮ่องกงและสิงคโปร์ ก็คือ การคืนภาษีนำเข้าด้วยไม่ใช่คืนแค่ VAT อย่างเดียวที่ทำกันอยู่ เพราะว่าภาษีนำเข้าเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้ราคาสินค้าฟุ่มเฟือยของไทยแพงกว่าประเทศคู่แข่ง ถ้าทำอย่างที่ผมแนะนำ เชื่อได้เลยว่าจะมีนักท่องเที่ยว เข้ามาท่องเที่ยวในเมืองไทยมากขึ้นเลยทีเดียว จากราคาสินค้าที่ไม่แพงกว่าประเทศคู่แข่ง สินค้าฟุ่มเฟือยเหล่านี้ ก็จะมาเปิดสาขาในไทยมากขึ้น การจ้างงานก็จะมากขึ้น ประเทศไทยมีทรัพยากรธรรมชาติที่สวยงาม มีวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ สิ่งปลูกสร้างสวยมากมาย นักท่องเที่ยวเข้ามามากขึ้น ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวก็จะดีไปด้วย มีคนมาข่วยจับจ่ายใช้สอยในประเทศมากขึ้น เศรษฐกิจไทยที่ไม่ค่อยดีจากตัวเลขที่ประกาศมาในไตรมาส 2-3 ก็จะเริ่มเห็นอนาคตที่สดใส ถ้ามีบริษัทที่ทำ Duty Free ในประเทศไทยเข้ามาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ผมคงต้องรีบขายหุ้นตัวนี้ทิ้งทันที เพราะว่าอนาคตเริ่มไม่ค่อยจะสดใสเสียแล้ว 

          กลับมาดูตลาดหุ้น ผมคิดว่าการปรับตัวเมื่อวันจันทร์รุนแรงเกินไป ผมคิดว่ารอบนี้ตลาดหุ้นไม่น่าจะเห็นต่ำกว่า 1,400 จุดแน่ๆ เมื่อสังเกตจากแรงซื้อของนักลงทุนต่างชาติ ในช่วงเร็วๆ นี้ การปรับตัวลงรอบนี้ เป็นโอกาสดีที่นักลงทุนจะได้ซื้อสะสมแล้วถือยาวไปถึงปีหน้าเลยนะครับ

กิติชัย เตชะงามเลิศ
                                                                                          24/9/56
หนังสือ "จาก 1 ล้านเป็น 500 ล้าน ผมทำอย่างไร" ยอดขายขื้นอันดับหนื่งตั้งแต่วันแรกจำหน่ายและครองอันดับ 1 ติดต่อกันมานาน

ติดตามแนวทางการลงทุนของผมได้ที่ 
Facebook : https://www.facebook.com/VI.Kitichai
Twitter : http://twitter.com/value_talk 
Youtube : http://www.youtube.com/user/wittayu9
Blog :  http://kitichai1.blogspot.com
Instagram : Gid_Kitichai

หรือหนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ทุกวันพุธหน้า B6 หรือหน้า B10 และนิตยสารคนรวยหุัน, Condo Guide, Stock Review, Me(Market Evolution), Glow และ Lisa  ทุกเดือน
     

สนใจซื้ออสังหาเพื่ออยู่เองหรือเพื่อการลงทุน ลองเข้า http://www.pantipmarket.com/mall/homeproperty

คอนโดหรูในซอยสุขุมวิท 23 (ประสานมิตร) (เดิน 6 นาที จาก MRT,BTS อโศก) ราคา 50,000/ตรม.



ขาย-เช่า คอนโดเพรสทรีจคอนโด อยู่ในซอยสุขุมวิท 23 (ประสานมิตร) ห่างจากสถานีรถไฟใต้ดิน (สุขุมวิท) และสถานีรถไฟฟ้า BTS (อโศก) ไม่ถึง 500 เมตร ทางไปตึกเริ่มจากปากซอยสุขุมวิท23(ซอยนี้เป็นทางลัดไปออกสุขุมวิท55ทองหล่อและถนนเพชรบุรีได้)ตรงเข้าซอยไป200ม.ถึง3แยกเลี้ยวขวา ตรงไป50ม.เป็น4แยกเล็กๆเลี้ยวซ้าย ตรงไป100ม.เป็น4แยกเล็กๆให้ตรงไปอีก30ม.ตึกอยู่ขวามีอ ในโครงการมีสระว่ายน้ำ ห้องฟิตเนส ห้องล๊อคเกอร์แยกชายหญิง ห้องที่จะขายอยู่ชั้น 5 อาคาร B เลขที่ห้อง 168/40 พื้นที่ 174.49 ตารางเมตร พร้อมที่จอดรถส่วนตัว 1 คัน ในห้องนี้ มี 2 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ รับแขก ครัว ซักล้าง และห้องคนรับใช้พร้อมห้องน้ำในตัว 1 ห้อง เฟอร์นิเจอร์ และเครื่องใช้ไฟฟ้า สวยมาก ครบถ้วน ขายที่ราคา 8.5 ล้านบาทถ้วน  ให้เช่าห้อง 35,000 บาท/เดือน ค่าส่วนกลางเดือนละ4,300บาท
 
ติดต่อ 081-5549777

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น