ภาษีทรัพย์สินที่จะเป็นธรรม
บนโลกใบนี้
ผู้ที่เป็นเจ้าของทรัพย์สินที่มีฐานะร่ำรวยประมาณสิบกว่าเปอร์เซ็นต์แต่เป็นเจ้าของทรัพย์สินมูลค่าประมาณแปดสิบกว่าเปอร์เซ็นต์
ประเทศไทยเองก็ไม่สามารถหลีกพ้นจากความจริงข้อนี้
สาเหตุนี้ทำให้รัฐบาลหลายๆคณะพยายามที่จะออกกฏหมายต่างๆเพื่อจะลดความเหลื่อมล้ำและสร้างความเป็นธรรมในสังคม
ภาษีมรดกและภาษีทรัพย์สินจึงเป็นแนวคิดที่เกิดขึ้นมาและพยายามผลักดันมาหลายรัฐบาลแล้ว
แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่ประสบความสำเร็จเสียที แต่ดูเหมือนรัฐบาลชุดนี้ที่มาจากการรัฐประหารอาจจะทำได้สำเร็จ
โดยภาษีมรดก ก็อย่างที่ท่านทราบๆกันแล้วว่าจะเรียกเก็บกับผู้รับมรดกแต่ละราย
ไม่ว่าจะได้รับมาในคราวเดียวหรือหลายคราว จะต้องนำมารวมกัน ถ้าต่ำกว่า 50 ล้าน
(โดยนำทรัพย์สินหักด้วยหนี้สินก่อน) ก็ไม่ต้องเสียภาษี แต่ถ้าเกิน 50 ล้าน
ผู้รับมรดกจะต้องชำระภาษีในส่วนที่เกิน 50 ล้านบาทในอัตราคงที่ ไม่เกิน 10% ซึ่งเป็นอัตราเพดาน ซึ่งคาดว่าจะเริ่มบังคับใช้จริงในเดือนมิถุนายนปีนี้
แต่บทความฉบับนี้ ผมจะขอเน้นเรื่องภาษีทรัพย์สิน
หรือภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างซึ่งในหลายๆประเทศก็มีการเรียกเก็บภาษีดังนี้
จุดประสงค์คือนอกจากจะลดความเหลื่อมล้ำในสังคมแล้วยังเป็นการกระตุ้นให้เจ้าของทรัพย์สิน
นำทรัพย์สินเหล่านี้ไปพัฒนา ไม่ใช่ซื้อเก็บไว้เก็งกำไร หรือปล่อยให้รกร้าง
สร้างความสูญเสียแก่เศรษฐกิจของชาติ
เงินภาษีนี้ทำให้ท้องถิ่นมีรายได้มากขึ้นเพื่อนำไปพัฒนาจัดสร้างสาธารณูปโภค
สร้างสิ่งแวดล้อมสีเขียว สะอาด น่ารื่นรมย์แก่สังคมของท้องถิ่นนั้นๆ
คิดแล้วก็คล้ายๆมนุษย์คอนโดที่ต้องจ่ายค่าส่วนกลางให้นิติบุคคล
เพื่อให้นิติบุคคลมีเงินที่จะไว้ใช้จ่ายเพื่อการพัฒนาและปรับปรุงพื้นที่ส่วนกลางให้คงอยู่ในสภาพที่ดี
เหมาะแก่การพักอาศัย ผมจึงเห็นด้วยอย่างยิ่งกับภาษีตัวนี้ เพียงแต่ว่าขอให้เงินภาษีในส่วนนี้
ได้ถูกนำไปใช้ให้ถูกต้องตามวัตถุประสงค์ดังกล่าวเท่านั้นก็เพียงพอ แต่ภาษีโรงเรือนที่มีการเรียกเก็บอยู่ในปัจจุบันก็ควรจะยกเลิกไป
เพราะจะซ้ำซ้อนกับภาษีทรัพย์สินที่กำลังจะออกมา ถึงแม้ว่าจะมีบางฝ่ายแย้งว่า
ภาษีโรงเรือนนั้นคิดจากฐานค่าเช่า หากเป็นบ้านที่อยู่อาศัยเองไม่ต้องเสียภาษี
ดังนั้นการยกเลิกภาษีโรงเรือนจะยังประโยชน์ให้แก่ผู้ที่มีอสังหาริมทรัพย์ให้เช่าเท่านั้น
ส่วนประชาชนที่เป็นเจ้าของบ้านและอยู่พักอาศัยเองซึ่งจากเดิมก็ไม่ต้องเสียภาษีนี้อยู่แล้ว
ก็จะไม่ได้ประโยชน์จากการยกเลิกภาษีโรงเรือนก็ตาม
แต่ในเมื่อรัฐจะเรียกเก็บภาษีทรัพย์สินซึ่งอัตราเรียกเก็บก็ขึ้นอยู่กับการใช้ประโยชน์ของทรัพย์สินนั้นๆ
ยิ่งการถือครองทรัพย์สินเพื่อการพาณิชย์ก็จะถูกเรียกเก็บในอัตราภาษีที่สูงกว่าแบบอื่นๆอยู่แล้ว
การมีอสังหาริมทรัพย์ไว้เช่าก็ถือว่าเข้าข่ายเพื่อการพาณิชย์อยู่แล้ว
ก็ไม่ควรจะเรียกเก็บภาษีโรงเรือนซ้ำอีก
ส่วนข้อเสนอของกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์
สภาหอการค้าไทยที่เสนอขอยกเว้นภาษีที่ดินสำหรับบ้านของผู้มีรายได้น้อยที่มูลค่าไม่เกิน
1 ล้านบาท และยกเว้นให้ทุกคนเพื่อความชอบธรรม โดยให้คำนวณภาษีทรัพย์จากส่วนที่เกิน
1 ล้านบาทขึ้นไป แต่ปัจจุบันนี้ราคาอสังหาริมทรัพย์ราคาค่อนข้างสูง
ผมมีความเห็นว่าควรจะยกเว้นภาษีสำหรับบ้านที่มีมูลค่าไม่เกิน 1.50 ล้านบาท
ส่วนข้อเสนอที่จะให้เก็บค่าธรรมเนียมการโอนเป็น 2%
ของราคาซื้อขาย แต่ไม่เกิน 5,000 บาท ผมไม่เห็นด้วย
เพราะว่าจะทำให้หน่วยงานของรัฐสูญเสียรายได้ตรงส่วนนี้เป็นอย่างมาก
ยิ่งปัจจุบันนี้รัฐยังหารายได้ไม่พอกับรายจ่ายจนทำให้งบประมาณขาดดุลติดต่อกันมาหลายปี
จึงน่าจะคงแบบเดิมไว้ และการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ราคาสูงๆ
ทั้งผู้ซื้อและผู้ขายต่างก็เป็นผู้ที่มีฐานะแน่นอน การเก็บ 2% ของราคาทรัพย์สินก็ดูเหมาะสมดี
มีฉะนั้นเราจะออกกฏหมายภาษีมรดกหรือทรัพย์สินทำไม
ก็เพื่อลดความเหลื่อมล้ำของคนในสังคมนั่นเอง ส่วนค่าจดจำนองที่เดิมคิดไว้ 1% ของราคาทรัพย์สิน สำหรับผู้ที่กู้ซื้ออสังหาเพื่ออยู่อาศัยเอง ตัวนี้ควรจะกำหนดว่า
1% แต่ไม่เกิน 50,000 บาท
เพราะผู้กู้ต้องแบกดอกเบี้ยจ่ายกับสถาบันการเงินอยู่แล้ว ภาระจะได้ไม่หนักเกินไป ยกเว้นอสังหาริมทรัพย์ที่ซื้อไว้เป็นสำนักงานหรือเพื่อการพาณิชย์
ก็จะเรียกเก็บในอัตราเท่าเดิมโดยไม่มีเพดาน
ส่วนข้อเรียกร้องของบริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่ให้ยกเว้นการเรียกเก็บภาษีทรัพย๋สินที่บริษัทเหล่านี้ถือครองเพื่อรอการพัฒนา
พูดง่ายๆคือรอการสร้างแล้วขาย ให้ยกเว้นไม่เรียกเก็บภายในระยะเวลา 2 ปี
ผมถือว่าเป็นการเอาเปรียบบุคคลธรรมดาหรือหน่วยงาน หรือองค์กรอื่นๆ
ที่ถือครองทรัพย์สินแห่งนี้แต่ต้องเสียภาษีเป็นรายปี เพราะไม่ว่าจะเป็นบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์หรือบุคคลธรรมดา
ต่างก็ต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะ 3.30%
(ยกเว้นถ้าบุคคลธรรมดาโอนชื่อเข้าไปในทะเบียนบ้านเกิน 1 ปี
ก็จะไม่ต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะ แต่ก็ต้องจ่ายค่าอากรในตอนโอนแทน) ค่าธรรมเนียมการโอน
2% ส่วนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดากับบริษัทจำกัดหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล
ก็จะมีวิธีการคำนวณภาษีที่แตกต่างกัน แต่ต่างก็ต้องเสียภาษีรายได้เช่นกัน
ดังนั้นการที่จะยกเว้นการเก็บภาษีกับบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่ถือครองทรัพย์สินดังกล่าวในช่วงระยะเวลาถือครองประมาณ
1-2 ปี เป็นการไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง
เป็นการเอาเปรียบกลุ่มอื่นๆที่อาจจะซื้อลงทุนเหมือนกันหรือจำใจถือเพราะว่ายังหาคนซื้อไม่ได้
อย่าลืมนะครับ การที่จะขายอสังหาริมทรัพย์ชิ้นนึงไม่ใช่ง่ายๆ ต้องเจอคนซื้อที่เขา CLICK กับอสังหาชิ้นนั้นจริงๆจึงจะได้ขาย
และโอกาสที่จะขายอสังหาของบุคคลธรรมดายิ่งลำบากกว่าบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เป็นอย่างมาก
และที่อ้างว่าจะทำให้ต้นทุนสูงขึ้นจนต้องผลักภาระให้ผู้บริโภค
เวลาคุณขึ้นโครงการสร้างเสร็จก่อนขาย
ขอถามสักคำว่าคุณตั้งราคาขายตอนสร้างเสร็จแพงกว่าตอนก่อนสร้างไหมครับ
โดยเฉพาะคอนโดมิเนียมนี่แหละตัวดี เห็นความแตกต่างของราคามากตอน PRESALE กับช่วงเวลาที่ผ่านไปบางโครงการขยับราคาขึ้นแทบจะรายไตรมาสเสียด้วยซ้ำ
กิติชัย เตชะงามเลิศ
11/02/58
ถ้าท่านชอบบทความผม ท่านสามารถสมัครสมาชิกโดยเอาเม้าส์ไปทางด้านขวามือจะมีแถบแสดงออกมา แล้วเลือกคลิกไอคอนที่เขียนว่าสมัครรับข้อมูล เมื่อผมมีบทความใหม่ ท่านก็จะทราบทันที
ติดตามสาระดีๆทั้งไลฟ์สไตล์และการลงทุนได้ที่Facebook : https://www.facebook.com/VI.Kitichai
Twitter : http://twitter.com/value_talk
Instagram : Gid_Kitichai
Blog : http://kitichai1.blogspot.com
You Tube : http://www.youtube.com/user/wittayu9
Google+ : https://www.google.com/+KitichaiTaechangamlert
Linkedin : https://www.linkedin.com/in/homeproperty
Pinterest : http://www.pinterest.com/kitichai/
หรือหนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ทุกวันพุธหน้า B6 หนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ และนิตยสารคนรวยหุัน, Condo Guide, Glow, และ Me(Market Evolution) ทุกเดือน
ถ้าท่านชอบบทความผม ท่านสามารถสมัครสมาชิกโดยเอาเม้าส์ไปทางด้านขวามือจะมีแถบแสดงออกมา แล้วเลือกคลิกไอคอนที่เขียนว่าสมัครรับข้อมูล เมื่อผมมีบทความใหม่ ท่านก็จะทราบทันที
หาอสังหาทั้งถูกและดีเพื่ออยู่เองหรือเพื่อการลงทุน ได้ที่ http://www.pantipmarket.com/mall/homeproperty
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น