จาก1ล้านเป็น500ล้านผมทำอย่างไร

จาก1ล้านเป็น500ล้านผมทำอย่างไร
เล่าประสบการณ์การลงทุนของผมที่นำไปใช้ได้ง่ายๆ

วันอังคารที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2558

OTOP



                                                                            OTOP

           สืบเนื่องมาจากบทความที่แล้วที่ผมพูดถึงเรื่อง OTOP ซึ่งผมยังมีเนื้อหาที่จะกล่าวถึงอีกพอสมควร จึงอยากขยายมาถึงบทความนี้ OTOP หรือ ONE TAMBOL ONE PRODUCT ถึงแม้จะเป็นนโยบายของรัฐบาลที่คุณทักษิณ ที่มีนโยบายประชานิยมค่อนข้างมาก และหลายๆนโยบายผมไม่ค่อยจะเห็นด้วย แต่นโยบาย เช่น บัตรทอง 30 บาท รักษาทุกโรค ผมกลับเห็นด้วยเป็นอย่างมาก ก็อย่างที่ทราบๆกัน คนไทยที่มีรายได้น้อยเป็นฐานประชากรที่ใหญ่ของประเทศ ระบบสวัสดิการแต่เดิมของไทยเรามีน้อยมาก การมีนโยบายนี้ขึ้นมาทำให้คนกลุ่มนี้เมื่อเวลาเจ็บไข้ได้ป่วยก็สามารถที่จะใช้สิทธิ์บัตรทองเพื่อรักษาตนให้หายจากโรคภัยไข้เจ็บ และอีกนโยบายหนึ่งก็คือ OTOP ซึ่งเป็นนโยบายที่ดีมากซึ่งรัฐบาลไม่ว่าจะเป็นของพรรคการเมืองไหน หรือแม้กระทั่งรัฐบาลชุดนี้ ควรจะสนับสนุนอย่างเต็มที่ รัฐบาลควรจะเจียดงบ 1 ก้อนจากงบประมาณแผ่นดินเพื่อ OTOP โดยแบ่งเป็น
               1 งบสำหรับการบริหารจัดการ OTOP
               2 งบสำหรับส่งเสริมและพัฒนา OTOP
               รัฐบาลควรจะจัดตั้งคณะกรรมการคัดเลือกผลิตภัณฑ์และการบริโภค ในระดับตำบล อำเภอ จังหวัด โดยระดับ ตำบลควรจะมีกรรมการที่มาจากภาครัฐ 40% และเป็นกรรมการที่ชาวบ้านในตำบลนั้นๆคัดเลือกกันเองอีก 60% เพื่อจะได้ช่วยกันคัดกรองผู้ที่เป็นเจ้าของผลิตภัณฑ์ และ/หรือ บริการที่มีคุณภาพจริงๆ เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ และเป็นการสร้างความยั่งยืนของ BRAND “OTOP” โดยจะมีการคัดเลือกผลิตภัณฑ์และบริการทุกๆ 2 ปี และแต่ละผลิตภัณฑ์และ/หรือบริการมีสิทธิ์ได้รับคัดเลือกได้ไม่เกิน / ครั้งติดต่อกัน เพื่อหมุนเวียนให้ผลิตภัณฑ์และ/หรือบริการมีสิทธิ์ได้รับคัดเลือกบ้าง ส่วนคณะกรรมการ OTOP ระดับตำบล ควรจะมีวาระละ 4 ปี โดยกรรมการแต่ละท่านในส่วนที่เป็นการคัดเลือกกันเองของชาวบ้านดำรงตำแหน่งได้เพียง 1 วาระ เพื่อที่จะได้หมุนเวียน ส่วนกรรมการที่มาจากส่วนกลางของรัฐดำรงตำแหน่งกรรมการได้ไม่เกิน 2 วาระ ส่วนคณะกรรมการในระดับ อำเภอ และจังหวัดก็ควรจะใช้วิธีการเดียวกัน กับระดับตำบล โดยระดับอำเภอมีหน้าที่ในการคัดเลือกผลิตภัณฑ์และบริการที่ได้ OTOP ระดับตำบลให้เป็น OTOP ระดับอำเภอ ส่วนคณะกรรมการ OTOP ในระดับจังหวัดมีหน้าที่ในการคัดเลือก OTOP  ระดับอำเภอ ที่ดีที่สุดให้เป็น OTOP ระดับจังหวัดแล้วรัฐเองควรจะส่งเสริมให้ความรู้แก่เจ้าของผลิตภัณฑ์ OTOP เหล่านี้ในกระบวนการผลิต เพื่อให้มีสินค้าและบริการที่มีคุณภาพมากยิ่งขึ้น รวมทั้งการตัดทอนค่าใช้จ่ายในการผลิต โดยที่คุณภาพยังคงเดิม พร้อมทั้งจัดหาสินเชื่อ SOFT LOAN ในอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำมากๆ โดยให้สถาบันการเงินของรัฐเป็นผู้คัดเลือกและกำหนดวงเงินที่จะอนุมัติ และให้สถาบันการเงินเหล่านี้ คิดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ในระดับต่ำ โดยรัฐเป็นผู้สนับสนุน นอกจากนั้น ทางรัฐเองควรจะส่งเสริมให้กองทุนประเภท VENTURE CAPITAL เข้ามามีส่วนร่วมโดยการเข้าไปร่วมทุนถือหุ้น กับ OTOP ที่มีคุณภาพเหล่านี้ ซึ่งจะสร้างความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจ OTOP เหล่านี้ ส่วนตัวกองทุน VENTURE CAPITAL ก็ยังจะได้ผลตอบแทนจากเงินปันผล และเมื่อ OTOP เหล่านี้เติบโตเพียงพอที่จะเข้าตลาด MAI  ซึ่งกองทุนเหล่านี้ก็จะสามารถ LIQUIDATE สร้าง CAPITAL GAIN ได้อีก ผมมีความคิดว่าเราน่าจะมีตลาดอีกตลาดหนึ่งคล้ายๆ MAI แต่ลดเกณฑ์การพิจารณาเพื่อจะเข้าตลาดแห่งใหม่นี้ สมมติว่าตั้งชื่อว่า ตลาด OTOP” โดยลดเกณฑ์ความเข้มงวดลงครึ่งหนึ่งของเกณฑ์การเข้าตลาด MAI เพื่อผลักดันให้กิจการ OTOP เหล่านี้เติบโตพร้อมไปกับความแข็งแกร่ง และจะช่วยกระตุ้นให้กองทุนเหล่านี้มีความประสงค์ที่จะเข้ามาร่วมทุนกับ OTOP ที่มีคุณภาพ จากผลประโยชน์ที่จะได้ในอนาคตที่ไม่ไกลจนเกินไปนัก และเมื่อธุรกิจเหล่านี้ถูกถือหุ้นโดยกองทุนและยิ่งเมื่อเข้าตลาด OTOP ด้วยแล้ว ระบบบัญชีก็จะโปร่งใสมากขึ้น นั่นหมายถึงสรรพากรจะสามารถเก็บภาษีได้เต็มเม็ดเต็มหน่วยมากขึ้น เพราะผมเชื่อว่าถ้ารัฐบาลทำแบบนี้เสมือนกับยิงกระสุนนัดเดียวได้นกหลายตัวพร้อมกันเลยทีเดียว
               ผมสรุปผลประโยชน์ของการดำเนินนโยบาย OTOP ข้างต้นไว้ดังนี้
               1.ธุรกิจ SME เล็กๆจะแข่งขันกันพัฒนาคุณภาพของสินค้าและบริการเพื่อให้ตัวเองได้รับการคัดเลือกเป็นผลิตภัณฑ์ OTOP
               2.ธุรกิจที่ได้รับการคัดเลือก OTOP จะมีความแข็งแกร่งมากขึ้นและยังคงต้องพัฒนาผลิตภัณฑ์ของตนให้มี      คุณภาพ เพราะว่าเพื่อการคัดเลือก OTOP ครั้งใหม่ ผลิตภัณฑ์ของตนจะได้รับการคัดเลือกอีก โดยควรจะมีการคัดเลือกผลิตภัณฑ์OTOP ทุกๆ 2ปี
               3.กองทุน VENTURE CAPITAL มีช่องทางในการลงทุนมากขึ้น
               4.ประชาชนมีทางเลือกในการลงทุนมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนในกองทุนข้างต้น หรือ ลงทุนโดยตรงในตลาด OTOP
               5.สถาบันการเงินของรัฐมีรายได้มากขึ้น จากการเป็นผู้ให้บริการธุรกิจ OTOP เหล่านี้
               6.กระตุ้นให้เกิดการท่องเที่ยวจากคนไทยและนักท่องเที่ยวต่างชาติตามชุมชนต่างๆที่มีผลิตภัณฑ์OTOP ที่มีคุณภาพ โดย ททท จะต้องเป็นแกนหลักในด้านประชาสัมพันธ์
               7.สรรพากรเก็บภาษีได้เต็มเม็ดเต็มหน่วยมากขึ้น
               เห็นประโยชน์มากมายหลายสถานแบบนี้แล้ว ท่านสมคิดจะว่ายังไงครับ

กิติชัย เตชะงามเลิศ
        30/09/58
อ่าน
มหาวิปโยคของชาติไทย (ตอนที่1) ที่ http://kitichai1.blogspot.com/2015/08/1.html

      มหาวิปโยคของชาติไทย (ตอนที่2) ที่ http://kitichai1.blogspot.com/2015/09/2.html

        มหาวิปโยคของชาติไทย (ตอนที่3) ที่ http://kitichai1.blogspot.com/2015/09/3.html

       
        มหาวิปโยคของชาติไทย (ตอนที่4) ที่http://kitichai1.blogspot.com/2015/09/4.html





ติดตามสาระดีๆทั้งไลฟ์สไตล์และการลงทุนได้ที่
 Facebook : https://www.facebook.com/VI.Kitichai
 Twitter : http://twitter.com/value_talk
 Instagram : Gid_Kitichai
 Blog : http://kitichai1.blogspot.com
 You Tube : http://www.youtube.com/user/wittayu9
 Google+ : https://www.google.com/+KitichaiTaechangamlert
 Linkedin : https://www.linkedin.com/in/homeproperty
 Pinterest : http://www.pinterest.com/kitichai/
 หรือ หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ทุกวันพุธหน้า B8หนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ และนิตยสารคนรวยหุัน, Condo Guide, Glow, และ Me(Market Evolution) ทุกเดือน 
ถ้าท่านชอบบทความผม ท่านสามารถสมัครสมาชิกโดยเอาเม้าส์ไปทางด้านขวามือจะมีแถบแสดงออกมา แล้วเลือกคลิกไอคอนที่เขียนว่าสมัครรับข้อมูล เมื่อผมมีบทความใหม่ ท่านก็จะทราบทันที 
หาอสังหาทั้งถูกและดีเพื่ออยู่เองหรือเพื่อการลงทุน ได้ที่ http://www.pantipmarket.com/mall/homeproperty

โพสต์เมื่อ โดย


มหาวิปโยคของชาติไทย (ตอนจบ)



                                                                   มหาวิปโยคของชาติไทย (ตอนจบ)


บทความที่แล้ว ผมจบลงที่เรื่องการประท้วงวุ่นวายปิดถนนย่านใจกลางเมือง ซึ่งส่งผลต่ออุตสาหกรรมการท่องเที่ยวที่ส่งผลกระทบต่อผู้ที่อยู่ในธุรกิจนี้ไล่กันตั้งแต่รายใหญ่ไปจนถึงรายเล็ก รวมทั้งผู้คนที่เกี่ยวข้อง และพึ่งพานักท่องเที่ยว ทำให้มีรายได้ลดลง และยังพลอยทำให้บางธุรกิจต้องปิดตัวลง พลอยทำให้คนงานต้องตกงานไปด้วย ผมจึงเห็นด้วยอย่างยิ่งว่ารัฐธรรมนูญฉบับใหม่ควรจะมีการกำหนดสถานที่ที่จะทำการประท้วงไม่ให้อยู่ในใจกลางเมือง หรือย่านชุมชน รวมทั้งย่านที่มีนักท่องเที่ยวเดินทางมาท่องเที่ยว เพราะว่าการปิดถนนประท้วงถึงแม้จะเป็นย่านใจกลางเมือง ก็พิสูจน์มาแล้วว่า ไม่ทำให้รัฐบาลต้องลาออก ถึงแม้จะประท้วงนานแค่ไหน ดูอย่าง กปปส. ประท้วงกันครึ่งปี ถ้าไม่มีการปฏิวัติ รัฐบาลชุดที่แล้วก็คงถูลู่ถูกังอยู่จนถึงปัจจุบันนี้ ก็ได้แต่หวังว่า ไหนๆก็มีการปฏิวัติกันแล้ว ฉีกรัฐธรรมนูญฉบับเก่าไปแล้ว รัฐธรรมนูญฉบับใหม่คงจะมีหน้าตาจิ้มลิ้มกว่ารัฐธรรมนูญฉบับก่อนๆ ให้คุ้มค่ากับเงินทองที่ต้องสูญเสียไปสำหรับการร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ และความเสียหายทั้งทางสังคมและเศรษฐกิจจากการประท้วงวุ่นวายและช่วงเวลาที่แสนขมขื่นของสังคมไทย และรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งชุดหน้า จะเป็นรัฐบาลที่ดี ปกครองประเทศด้วยธรรมาภิบาลที่ดี เลิกใช้นโยบายประชานิยมที่จะสร้างปัญหาในระยะยาว หลายๆครั้งที่ผมอดอิจฉาคนสิงคโปร์ ที่เมื่อ 40 ปี ที่แล้ว เราไม่มีอะไรด้อยกว่าสิงคโปร์เลย แต่ปัจจุบัน GDP ต่อหัวของคนสิงคโปร์คิดเป็นประมาณ 5 เท่าของคนไทยแล้ว ถ้าเรามีคนเก่งๆอย่างอดีตผู้นำของสิงคโปร์ ท่าน ลีกวนยู มาปกครองประเทศ เราคงไม่ติดกับดักชาติที่มีรายได้ปานกลางค่อนข้างสูงอยู่อย่างนี้ หรือแม้เราจะเปรียบเทียบกับมาเลเซียที่ปัจจุบันมี GDP ต่อหัวก็มากกว่าเราเท่าตัวแล้ว ทั้งๆที่เมื่อ 20 ปีที่แล้ว เรากับมาเลเซียสูสีกันอยู่เลย ดูแล้วก็อดเป็นห่วงว่าอีกไม่นาน ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย และเวียดนามจะตามเราทัน แล้วแซงหน้าเราไปอีก คงต้องเป็นหน้าที่ของคนไทยทั้งชาติที่จะร่วมไม้ร่วมมือกัน เลือกคนดีๆเข้าสภาในการเลือกตั้งครั้งต่อๆไป เลือกเพราะว่าเขาเป็นคนดีมีความสามารถ ไม่ใช่เลือกเพราะว่าเขาให้สตางค์เรามา ถ้าเลือกเพราะเหตุผลหลัง เขาต้องกลับมาถอนทุนคืนเมื่อได้รับการคัดเลือกเป็นสส. หรือถ้ายิ่งได้เป็นรัฐบาลด้วยแล้ว คงจะต้องคอร์รัปชั่นแน่นอน มิฉะนั้นการเมืองไทยก็คงจะวนเวียนอยู่อย่างนี้ เหมือนพายเรือในอ่าง อย่างที่หลายๆคนพูดอยู่ว่า คนต่างจังหวัดตั้งรัฐบาล คนกรุงล้มรัฐบาล สังคมไทยและเศรษฐกิจไทยจึงไม่เดินไปข้างหน้าเสียที ยิ่งช่วงหลังๆนี้ วิกฤตเศรษฐกิจเกิดขึ้นอีกในหลายๆประเทศ ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยอย่างมาก จะเห็นได้จากการส่งออกที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง GDP ของไทยก็เติบโตด้วยอัตราที่ลดลง บางปีก็ติดลบเสียอีกจนกลายเป็น NEW NORMAL หรือปกติใหม่ไปแล้วสำหรับเศรษฐกิจไทย ในอดีตเราเคยเห็นการเติบโตของ GDP ในระดับ 9-10% แล้วก็ลดลงเหลือ 7-8 % ต่อมาก็เหลือเพียง 4-5 % จนมาถึงปัจจุบันเรากำลังมี NEW NORMAL ที่ 2-3 % เท่านั้น ถ้าเราไม่ปฏิรูปการเมืองและเศรษฐกิจให้เติบโตไปในทิศทางที่ถูกต้อง ผมเชื่อว่า NEW NORMAL 2-3% จะเป็นการเติบโตปกติของGDP ไทยเรา ในขณะที่เพื่อนบ้านยังเติบโตด้วยระดับที่ 4-8 % ในฟิลิปปินส์ มาลเซีย อินโดนีเซีย และกลุ่ม CLMV เมื่อเวลาผ่านไปประเทศเหล่านั้นจะไม่แซงหน้าเราเหรอ ล่าสุดเราได้หัวหน้าทีมเศรษฐกิจไทยคนใหม่ ซึ่งหลายๆคนรวมทั้งผมต่างก็คาดหวังกับทีมเศรษฐกิจชุดนี้เป็นอย่างมาก เท่าที่อ่านดูนโยบายของทีมนี้แล้ว ผมขอสนับสนุนเต็มที่ แต่อยากจะให้เข้มงวดกับงบหมู่บ้านๆละ 1 ล้านบาท 59,000 หมู่บ้าน รวมเป็นเงิน 59,000 ล้านบาท ซึ่งทีแรกบอกว่าจะเอาไปใช้หนี้สินเดิมไม่ได้ แต่ล่าสุดบอกว่าได้ ถ้าเป็นอย่างนั้น เงินในส่วนที่นำไปชำระหนี้เก่า ก็จะไม่สามารถไปปลุกเศรษฐกิจได้ และสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ หน่วยงานที่ตรวจสอบขออนุมัติเงินกู้นี้ จะต้องเข้มงวด มิฉะนั้น โอกาสการได้รับชำระหนี้คืนคงเป็นศูนย์ จากประวัติศาสตร์การใช้จ่ายงบในลักษณะนี้มีโอกาสซ้ำรอยสูง อย่าลืมนะครับว่า เงินทุกบาททุกสตางค์เป็นเงินภาษีที่เก็บมาจากหยาดเหงื่อของผู้เสียภาษีจะเอาไปใช้โดยคนที่ไม่รับผิดชอบอย่างนั้น เป็นอะไรที่น่าเสียใจมาก จริงๆแล้วผมอยากให้รื้อนโยบาย OTOP ซึ่งผมคิดว่าเป็นนโยบายที่ดีมากๆ ให้แต่ละตำบล อำเภอ จังหวัด รวมทั้งหน่วยงานประชาสัมพันธ์ช่วยโปรโมทในทุกๆช่องทางที่ทำได้ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ที่นอกจากโปรโมทและแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆแล้ว ควรจะพ่วงเอาสินค้า OTOP ให้เป็นสินค้าทั้งอุปโภคบริโภคเองแล้ว ยังเป็นของฝากได้อีกด้วย จะทำให้ OTOP ของเราเข้มแข็ง แล้วรัฐบาลเองควรจะจัดสรรเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำๆให้กับกลุ่ม OTOP เหล่านี้ รัฐควรจะจัดตั้งคณะกรรมการ OTOP ตั้งแต่ระดับท้องถิ่น จนถึงระดับชาติ เพื่อเข้ามาดูแลคัดเลือกและสนับสนุน จะทำให้ OTOP ที่มีคุณภาพเหล่านี้มีความแข็งแกร่ง ผลักดันให้ DUTY FREE ทุกแห่งจะต้องมีการจัดพื้นที่ไม่น้อยกว่า 5 % สำหรับวางจำหน่ายสินค้า OTOP ยิ่งเห็นนักท่องเที่ยวชาวจีนที่ช้อปปิ้งเก่งๆเต็ม DUTY FREE ผมยิ่งเห็นอนาคตที่สดใสของ OTOP เราคนไทยมาช่วยกันคนละไม้คนละมือสนับสนุนผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น OTOP กันครับ

กิติชัย เตชะงามเลิศ
         29/09/58
อ่าน
มหาวิปโยคของชาติไทย (ตอนที่1) ที่ http://kitichai1.blogspot.com/2015/08/1.html

      มหาวิปโยคของชาติไทย (ตอนที่2) ที่ http://kitichai1.blogspot.com/2015/09/2.html

        มหาวิปโยคของชาติไทย (ตอนที่3) ที่ http://kitichai1.blogspot.com/2015/09/3.html

       มหาวิปโยคของชาติไทย (ตอนที่4) ที่http://kitichai1.blogspot.com/2015/09/4.html





ติดตามสาระดีๆทั้งไลฟ์สไตล์และการลงทุนได้ที่
 Facebook : https://www.facebook.com/VI.Kitichai
 Twitter : http://twitter.com/value_talk
 Instagram : Gid_Kitichai
 Blog : http://kitichai1.blogspot.com
 You Tube : http://www.youtube.com/user/wittayu9
 Google+ : https://www.google.com/+KitichaiTaechangamlert
 Linkedin : https://www.linkedin.com/in/homeproperty
 Pinterest : http://www.pinterest.com/kitichai/
 หรือ หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ทุกวันพุธหน้า B8หนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ และนิตยสารคนรวยหุัน, Condo Guide, Glow, และ Me(Market Evolution) ทุกเดือน 
ถ้าท่านชอบบทความผม ท่านสามารถสมัครสมาชิกโดยเอาเม้าส์ไปทางด้านขวามือจะมีแถบแสดงออกมา แล้วเลือกคลิกไอคอนที่เขียนว่าสมัครรับข้อมูล เมื่อผมมีบทความใหม่ ท่านก็จะทราบทันที 
หาอสังหาทั้งถูกและดีเพื่ออยู่เองหรือเพื่อการลงทุน ได้ที่ http://www.pantipmarket.com/mall/homeproperty