มหาวิปโยคของไทย (ตอนที่ 3)
บทความที่แล้วผมจบไว้ที่ควรเปรียบเทียบสังคมไทยกับสิงคโปร์และญี่ปุ่น
บทความนี้เรามาพูดกันที่เรื่องความจำเป็นที่สังคมไทยต้องปรับตัว
เราต้องมีการปลูกฝังสำนึกแห่งการอยู่ร่วมกันที่สังคมไทยยังขาดสิ่งนี้อยู่
เราควรนำหลักสูตรศีลธรรมที่ถูกถอดออกไปจากระบบการเรียนการสอนในปัจจุบัน
(ผมอยากรู้จริงๆว่า ผู้มีอำนาจท่านใดที่ถอนวิชาดังกล่าวออกไป)
แล้วนำเรื่องสำนึกแห่งการอยู่ร่วมกันบรรจุเข้าไปในหลักสูตรดังกล่าว เพื่อให้เจเนอเรชั่นใหม่ของคนไทย
จะโตด้วยจิตสำนึกดังกล่าว แล้วสังคมไทยก็จะอยู่ร่วมกันโดยสันติ เวลาที่ผมไปเที่ยวญี่ปุ่น บนรถไฟฟ้า
หรือกระทั่งรถไฟ ผมไม่เคยเห็นคนญี่ปุ่นคุยกันหรือใช้โทรศัพท์คุยเลย
เห็นมีแต่นั่งหรือยืนอ่านหนังสือพิมพ์ หรือใช้งาน NON-VOICE
ของโทรศัพท์มือถือเท่านั้น เพราะว่าคนญี่ปุ่นจะรู้สึกไม่สุภาพที่จะทำพฤติกรรมดังกล่าว
แต่ปัจจุบันไม่รู้ว่าวัฒนธรรมไทยมีแรงผลักดันสูงหรือกระไร
ผมเริ่มเห็นคนญี่ปุ่นที่อยู่เมืองไทยคุยกันบนรถไฟฟ้า BTS หลายๆคน
อยู่เหมือนกัน หรือเข้าเมืองตาหลิ่วก็เลยหลิ่วตาตาม
เมื่อ
4 ปีที่แล้ว คนไทยก็เจอภัยครั้งยิ่งใหญ่ในรอบ 50 ปี ในปี 2554 ซึ่งน้ำท่วมตั้งแต่ปลายปี
2554 ต่อเนื่องถึงต้นปี 2555 ส่งผลกระทบต่อราษฎรไทยกว่า 12.80 ล้านคน
สร้างความเสียหายสูงถึง 1.44ล้านล้านบาท
ซึ่งถูกจัดเป็นภัยพิบัติที่สร้างความเสียหายมากที่สุดเป็นอันดับ 4
ของโลกเลยทีเดียว น้ำท่วมครั้งนั้นครอบคลุมพื้นที่กว่า 150 ล้านไร่ ใน 65 จังหวัด
684 อำเภอ มีผู้เสียชีวิต 813 ราย หายสาบสูญ 3 ราย
อุตสาหกรรมหลายๆแห่งต้องหยุดการผลิต เครื่องจักรที่ใช้ในการผลิตเสียหายมาก
กลุ่มธุรกิจอุตสาหกรรมต่างๆที่รับออร์เดอร์ส่งออกไว้
ก็ไม่สามารถส่งออกของให้กับลูกค้าได้ ทำให้เสียเครดิตเสียชื่อเสียง
ขาดความเชื่อถือจากลูกค้า
ทำให้ลูกค้าหลายรายต้องหันไปสั่งสินค้าดังกล่าวจากประเทศที่ส่งออกที่เป็นคู่แข่งกับเราแทน
นอกจากเสียออร์เดอร์ไป ยังทำให้บางรายถึงกับเสียลูกค้าไปเลยก็มี
นอกจากนี้กลุ่มธุรกิจประกันภัยและประกันภัยต่อที่รับประกันภัยโดยสัญญาควบรวมภัยจากน้ำท่วมด้วย
ก็ต้องควักกระเป๋าจ่ายค่าเคลมกันแทบไม่ไหว
บริษัทประกันภัยโชคดีหน่อยเพราะว่าส่วนใหญ่จะส่งต่อประกันดังกล่าว
ให้กับบริษัทรับประกันภัยต่อ
ตัวเองจึงมีภาระที่จะต้องจ่ายเคลมค่าความเสียหายไม่มาก
กระนั้นทำให้บริษัทประกันภัยทุกบริษัทประสบปัญหาขาดทุนต่อเนื่องกัน 1-2 ปี
แต่บริษัทประกันภัยต่อของไทยที่มีเพียงบริษัทเดียวก็ประสบปัญหาดังกล่าวขนาดที่ว่า
ถ้าไม่เพิ่มทุนให้บริษัทประกันภัยจากต่างชาติเข้ามาซื้อหุ้นเพิ่มทุน
ก็คงล้มละลายไปแล้ว ธุรกิจที่ทำมาหลายสิบปีแทบจะจบลงจากอุทกภัยครั้งเดียว ในช่วงนั้นราคาหุ้นของกลุ่มบริษัทประกันภัยตกลงมามาก
อย่างที่หลายๆคนชอบพูดกันว่า “วิกฤติ
คือโอกาส” ทำให้นักลงทุนใจกล้าที่ตัดสินใจซื้อหุ้นบริษัทประกันภัยในช่วงนั้นได้รับผลตอบแทนที่งดงามในช่วงเวลาลงทุนเพียงแค่
2 ปีเท่านั้น หลายๆตัวที่ให้ผลตอบแทนมากกว่า 100%เลยทีเดียว
นี่คือเสน่ห์อย่างหนึ่งของการเป็นนักลงทุนที่เป็นชาวสวน(ตลาด) หรือที่เรียกกันว่า CONTRARIAN
ถ้าคุณวิเคราะห์อย่างลึกซึ้งทำการบ้านมาอย่างดี
คุณจะพบว่าการขาดทุนจากภัยน้ำท่วมครั้งนั้นเป็นภัยร้ายครั้งเดียว
และส่งผลกระทบต่อบริษัทประกันภัยไม่มากนัก เมื่อเทียบกับราคาหุ้นที่ตกลงมาจนเกินความเป็นจริง
กลับกลายเป็นว่า วิกฤตกลับเป็นการสร้างเนื้อสร้างตัวให้กับนักลงทุนที่ทำการบ้านมาอย่างดี
เห็นอย่างนี้แล้ว ท่านนักลงทุนทั้งหลายน่าจะกลับมาทำการบ้านให้มากขึ้น
เลิกใช้วิธีลงทุนแบบประเภท “เขาบอกว่า เดี๋ยวเจ้าจะเข้าหุ้นตัวนั้นตัวนี้”
กันเสียที
นักลงทุนบางท่านก็ลงทุนในกลุ่มกระเบื้องปูพื้น และยางมะตอย เพราะเก็งว่าจะต้องนำมาใช้ซ่อมแซมบ้านและถนนหนทาง
โดยเฉพาะตัวหลังนี้ สร้างผลตอบแทนได้มหัศจรรย์จริงๆ ยิ่งถ้าถือยาวมาจนถึงปัจจุบัน
ผลตอบแทนจากการลงทุนประมาณ 600% ภายในเวลาประมาณ 4 ปี
เท่านั้น ในช่วงที่เกิดน้ำท่วมใหญ่คราวนั้น
อีกอุตสาหกรรมหนึ่งที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักหน่วงคือ อุตสาหกรรมรถยนต์
ทำให้รัฐบาลในสมัยนั้นมีความคิดที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจ
และช่วยอุตสาหกรรมรถยนต์ในประเทศ โดยออกมาตรการรถคันแรก
ทำให้ยอดขายรถยนต์ปีนั้นสูงขึ้นมาอย่างมาก อุตสาหกรรมไม่ว่าจะเป็น SME ที่ทำหน้าที่ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ ทั้งที่เป็น TIER1 และ
TIER2 รวมถึงสินค้าส่วนที่เป็นกลางน้ำ ปลายน้ำ ต่างก็ขยายกำลังการผลิต
มีการสั่งเครื่องจักรใหม่ๆเข้ามาเพื่อรองรับออร์เดอร์จากผู้ผลิตรถยนต์ทั้งหลายที่เร่งรีบผลิตกันอย่างเต็มที่
มีการทำงานเต็ม 3 กะเพื่อเร่งการผลิตให้สามารถส่งมอบรถยนต์ให้ลูกค้าให้เร็วที่สุด
กระนั้นก็ตามลูกค้าที่สั่งจองรถยนต์ยังต้องรอรถยนต์ที่สั่งจองไว้นาน 3-8 เดือน
แล้วแต่ยี่ห้อและรุ่นของรถยนต์
อุตสาหกรรมรถยนต์ก็เริงร่าปรีดากับนโยบายนี้ของรัฐบาล รัฐบาลก็ได้หน้า แต่หารู้ไม่ว่า
จะสร้างปัญหาอันใหญ่หลวงแก่อุตสาหกรรมรถยนต์ในเวลาต่อมา เนื้อที่หมดแล้ว
อ่านต่อตอนต่อไปในบทความหน้ากันครับ
กิติชัย เตชะงามเลิศ
11/09/58
อ่าน มหาวิปโยคของชาติไทย (ตอนที่1) ที่ http://kitichai1.blogspot.com/2015/08/1.html
มหาวิปโยคของชาติไทย (ตอนที่2) ที่ http://kitichai1.blogspot.com/2015/09/2.html11/09/58
อ่าน มหาวิปโยคของชาติไทย (ตอนที่1) ที่ http://kitichai1.blogspot.com/2015/08/1.html
ติดตามสาระดีๆทั้งไลฟ์สไตล์และการลงทุนได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/VI.Kitichai
Twitter : http://twitter.com/value_talk
Instagram : Gid_Kitichai
Blog : http://kitichai1.blogspot.com
You Tube : http://www.youtube.com/user/wittayu9
Google+ : https://www.google.com/+KitichaiTaechangamlert
Linkedin : https://www.linkedin.com/in/homeproperty
Pinterest : http://www.pinterest.com/kitichai/
Facebook : https://www.facebook.com/VI.Kitichai
Twitter : http://twitter.com/value_talk
Instagram : Gid_Kitichai
Blog : http://kitichai1.blogspot.com
You Tube : http://www.youtube.com/user/wittayu9
Google+ : https://www.google.com/+KitichaiTaechangamlert
Linkedin : https://www.linkedin.com/in/homeproperty
Pinterest : http://www.pinterest.com/kitichai/
หรือ
หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ทุกวันพุธหน้า B8หนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ
และนิตยสารคนรวยหุัน, Condo Guide, Glow, และ Me(Market Evolution)
ทุกเดือน
ถ้าท่านชอบบทความผม
ท่านสามารถสมัครสมาชิกโดยเอาเม้าส์ไปทางด้านขวามือจะมีแถบแสดงออกมา
แล้วเลือกคลิกไอคอนที่เขียนว่าสมัครรับข้อมูล เมื่อผมมีบทความใหม่
ท่านก็จะทราบทันที
หาอสังหาทั้งถูกและดีเพื่ออยู่เองหรือเพื่อการลงทุน
ได้ที่ http://www.pantipmarket.com/mall/homeproperty
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น