ภาษีกับความหวาน
เมื่อหลายเดือนก่อน
ผมได้เขียนบทความที่เกี่ยวข้องกับภาษีเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของน้ำตาล
ล่าสุดสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) ได้ลงมติเห็นชอบรายงานของคณะกรรมาธิการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศด้านสาธารณสุข
และสิ่งแวดล้อม โดยเสนอให้มีการจัดเก็บภาษี 2 อัตรา ตามความเข้มข้นของน้ำตาล
1.ปริมาณน้ำตาลที่มากกว่า
6-10 กรัม/ 100 cc. ได้จัดเก็บภาษีในอัตราที่ทำให้ราคาสูงขึ้นไม่น้อยกว่า
20% ของราคาขาย
2.
ปริมาณน้ำตาลที่มากกว่า 10 กรัม/ 100 cc. จะจัดเก็บในอัตราที่ทำให้ราคาสูงขึ้นไม่น้อยกว่า
25% ของราคาขาย
จากรายงานของ AMERICAN HEART ASSOCIATION ได้แนะนำไว้ให้ ผู้ชายบริโภคน้ำตาลไม่ควรเกิน 37.5 กรัม หรือ 9 ช้อนชา
ส่วนในผู้หญิงบริโภคน้ำตาลได้ไม่เกิน 25 กรัม หรือ 6 ช้อนชา เมื่อเรามาดูขนาดบรรจุของเครื่องดื่มที่ขายกันในท้องตลาด
ยกตัวอย่าง ชาเขียวซึ่งมีตั้งแต่ขนาด 250 , 380 , 420 , 500 , 600 , 800 cc. เราลองมาคำนวณกันดูว่าปริมาณน้ำตาลในชาเขียวขนาด
500 cc. ที่หาซื้อกันได้ง่ายตามร้านสะดวกซื้อ ถ้ามีน้ำตาล
6กรัม/ 100 cc. นั่นหมายความว่า ในชาเขียวขนาดบรรจุ 500cc.
จะมีปริมาณน้ำตาลถึง 30 กรัม/ขวด ถ้าเป็นผู้ชายดื่ม 1 ขวด
นั่นหมายความว่า ในวันนั้นจะทานน้ำตาลได้อีกเพียง 5 กรัม
ถ้าไม่อยากจะทานน้ำตาลเกินที่ AHA แนะนำ ขณะที่ผู้หญิงดื่ม 1
ขวด จะทานน้ำตาลเกินกว่าปริมาณที่ AHA แนะนำไป 5 กรัม
ซึ่งโทษของการทานน้ำตาลมากเกินไป ก็จะก่อให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บมากมาย เช่น
เส้นเลือดหัวใจตีบ ความดันโลหิตสูง เบาหวาน มะเร็ง ไขมันในเลือดสูง ฯลฯ
นอกเหนือจากฟันผุ และภาวะอ้วนเกินไป
ผมมีความเห็นว่าข้อเสนอเรื่องการเก็บภาษีน่าจะมี
3 ระดับ โดยแบ่งเป็นระดับการจัดเก็บภาษีเป็นดังนี้ คือ
1.
ปริมาณน้ำตาลที่ 5-7 กรัม/ 100cc.
จัดเก็บภาษีในอัตราที่ทำให้ราคาสูงขึ้นไม่น้อยกว่า 10 % ซึ่งจะทำให้ราคาของชาเขียวขนาดจุ 500cc. ซึ่งปกติจะมีราคาที่
20-25 บาท ก็จะมีราคาเป็น 22-27.50 บาท ซึ่งราคาที่ขึ้นเพียงแค่นี้ก็พอที่ผู้บริโภคจะรับราคาได้
หรือผู้ผลิตอาจจะใช้วิธีอุดหนุนราคาทั้งจำนวน หรือบางส่วน
เพื่อให้ยอดขายไม่ถูกกระทบมากนัก
แล้วยังเป็นการกระตุ้นให้ผู้ผลิตพยายามคิดค้นสูตรใหม่ๆ ที่มีปริมาณน้ำตาลน้อยลง
เพื่อที่จะสามารถขายสินค้าที่ราคาเดิม เป็นผลดีทางอ้อม
ทำให้ประเทศไทยที่แวดล้อมด้วยสินค้าที่มีปริมาณน้ำตาลมาก
ซ้ำร้ายคนไทยเองก็เป็นชาติที่ติดรสหวานอยู่แล้ว ถ้าหน่วยงานรัฐไม่ทำอะไร
คงต้องแบ่งงบประมาณมาอุดหนุนด้านสุขภาพมากขึ้นเรื่อยๆ
กอรปกับในปัจจุบันนี้ฐานอายุของประชากรไทยสุงขึ้น เรามีคนไทยที่มีอายุเกิน 60
ปีอยู่ประมาณ 14%
แล้วคนเราเมื่ออายุมากขึ้นมีโอกาสเป็นโรคภัยไข้เจ็บได้ง่าย
ถ้าทางการไม่เข้ามาดูแลจัดการเรื่องต่างๆเหล่านี้
แทนที่รัฐจะใช้งบประมาณที่มีอยู่อย่างจำกัด ไปใช้ก่อสร้างสาธารณูปโภค ไม่ว่าจะเป็นรถไฟฟ้า
รถไฟรางคู่ ระบบชลประทาน ฯลฯ ยิ่งปีนี้เราเกิดภาวะแล้งน้ำ
ถึงขนาดมีการแย่งแหล่งน้ำกันแล้วในบางท้องที่
แล้วดูท่าภาวะโลกร้อนที่ยังดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง ภาวะแล้งน้ำในไทย คงจะมีไปอีกไปเรื่อยๆ
2.
ปริมาณน้ำตาลที่มากกว่า 7-10 กรัม / 100 cc. จัดเก็บภาษีในอัตราภาษีที่ทำให้ราคาสูงขึ้นไม่น้อยกว่า
20 % ของราคาขาย
3.
ปริมาณน้ำตาลที่มากกว่า 10กรัม / 100 cc. จัดเก็บในอัตราที่ทำให้ราคาสูงขึ้นไม่น้อยกว่า 25% ของราคาขาย
การที่ผู้ผลิตที่ผลิตเครื่องดื่มที่จะเข้าเกณฑ์ตามแนวทางการเก็บภาษีใหม่
จะร้องแรกแหกกระเฌอ ก็เป็นเรื่องที่พอจะคาดคิดได้อยู่แล้ว ผมยังอยากจะเห็นภาษีนี้คลอดออกมา
ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าทางรัฐเห็นชอบตามแนวทางที่ผมเสนอ
น่าจะช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของผู้ผลิต เพราะผมทำทางเลือกที่ 1 ไว้ให้
จึงจะไม่กระทบราคาขายมากเกินไปจนไปสร้างความเดือดร้อนแก่ผู้บริโภค และบริมาณน้ำตาลในเครื่องดื่มในตลาดต่อไปก็จะมีปริมาณที่ลดลง
แล้วเมื่อผู้บริโภคเริ่มชินกับปริมาณน้ำตาลที่น้อยลงในเครื่องดื่มต่างๆ
รัฐอาจจะลดขนาดของปริมาณน้ำตาลในเครื่องดื่มที่ไม่ต้องเสียภาษีสรรพสามิต
จากเดิมให้เหลือเป็นไม่มากกว่า 5 กรัม / 100 cc. ก็จะเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพของคนไทยในระยะยาว
4.
นอกจากนั้นรัฐควรจะจำกัดปริมาณน้ำตาล
และเกลือ ต่อขนมขบเคี้ยวในปริมาณที่พอเหมาะเช่นกัน เพราะว่าสินค้าในตลาดเป็นจำนวนมาก
ได้ใส่น้ำตาลและหรือเกลือในปริมาณที่เกินพอดี เพื่อทำให้ผู้บริโภคติดในรสชาติ
ซึ่งจะเป็นโทษต่อสุขภาพในระยะยาว ไหนๆจะโดนด่าแล้ว จัดเต็มกันไปเลยทีเดียวครับ
จะได้ไม่ต้องโดนด่าหลายครั้ง
กิติชัย เตชะงามเลิศ
5/5/59
5/5/59
ติดตามสาระดีๆทั้งไลฟ์สไตล์และการลงทุนได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/VI.Kitichai
Twitter : http://twitter.com/value_talk
Instagram : Gid_Kitichai
Blog : http://kitichai1.blogspot.com
You Tube : http://www.youtube.com/user/wittayu9
Google+ : https://www.google.com/+KitichaiTaechangamlert
Linkedin : https://www.linkedin.com/in/homeproperty
Pinterest : http://www.pinterest.com/kitichai/
1.หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ทุกวันพุธหน้า A10 ในคอลัมน์ "เขียนอย่างที่คิด"
2.หนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจหน้า 15 เดือนละครั้ง ในคอลัมน์ “จับช่องลงทุน”
3.นิตยสาร Condo Guide ทุกเดือน
4.นิตยสาร คนรวยหุัน Me(Market Evolution) และ วารสารเภตรา ทุกไตรมาส
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น