จาก1ล้านเป็น500ล้านผมทำอย่างไร

จาก1ล้านเป็น500ล้านผมทำอย่างไร
เล่าประสบการณ์การลงทุนของผมที่นำไปใช้ได้ง่ายๆ

วันพฤหัสบดีที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2556

พฤติกรรมการใช้รถไฟฟ้าของคนกรุงเทพ


พฤติกรรมการใช้รถไฟฟ้าของคนกรุงเทพ
          ผมรู้สึกแปลกใจทุกครั้งเวลาใช้บริการรถไฟใต้ดินบ้านเรา  ซึ่งจะมีประกาศวิธีการใช้บันไดเลื่อนอยู่เสมอๆ ว่า “กรุณาอย่านั่ง ยิ้ม เดินหรือวิ่งบนบันไดเลื่อน”  โดยเฉพาะบางครั้งที่ผมใช้บริการดังกล่าวพร้อมกับเพื่อนชาวต่างชาติซึ่งพอได้ยินคำประกาศใน VERSION ภาษาอังกฤษ เขาแซวผมว่าดูท่าประเทศไทยคงจะเริ่มมีใช้บันไดเลื่อนไม่นานใช่ไหม จึงต้องแนะนำวิธีการใช้ดังกล่าว ตัวผมเองใช้บริการรถไฟฟ้าในหลายๆ ประเทศ ไม่เห็นมีประเทศไหนเขาต้องประกาศแนะนำวิธีการใช้แบบนี้เลยโดยเฉพาะอย่างยิ่ง บางประเทศ เช่น ญี่ปุ่น ซึ่งผมชื่นชมวัฒนธรรมอันดีงานในการใช้บันไดเลื่อนของเขา โดยเขาจะยืนชิดไปด้านเดียวกัน แล้วปล่อยให้มีทางโล่งด้านข้างของบันไดเลื่อนสำหรับคนที่รีบ สามารถเดินขึ้นหรือลงได้  การที่ผู้โดยสารมายืนสลับฟันปลาหรือยืนตรงกลางบันได ผมบอกว่าทำให้โลกของคนที่อยู่ข้างหลังคุณต้องหยุดเดินไปด้วย ผมมานั่งคำนวณเล่นๆ นะครับว่า ในหนึ่งวันมีคนใช้บันไดเลื่อนในประเทศ (ไม่เพียงแต่ในสถานีรถไฟฟ้า BTS รถไฟใต้ดิน MRT แต่รวมถึงในห้างสรรพสินค้าและอาคารต่างๆ ) วันหนึ่งน่าจะมีผู้ใช้บริการไม่ต่ำกว่าล้านคนแต่ละคนต้องหยุดยืนบนบันไดเลื่อนคนละ 5 วินาที/ครั้ง  ใน 1 วันใช้บริการเฉลี่ย 4 ครั้ง  หมายถึง 20 วินาที/คน/วัน  สมมติว่ามีคนใช้บันไดเลื่อน 1.50% ของประชากรไทย 68 ล้านคน ก็ประมาณ 1.02 ล้านคน ขอใช้ตัวเลขกลมๆ เป็น 1 ล้านคน นั่นหมายถึงเวลาที่สูญเสียไป 20 ล้านวินาที/วัน  หรือเท่ากับ 5,555 ชั่วโมงทำงานต่อวัน 1 ปีก็จะเท่ากับ 2,027,777 ชั่วโมงทำงาน  นี่คือเวลาที่สูญเสียไปอย่างน่าเสียดาย  ผมเคยดูภาพยนตร์เมริกันเรื่อง “SLIDING DOOR” ซึ่งเนื้อเรื่องของภาพยนตร์เรื่องนี้ได้สร้างเป็น 2 SCENAR10 คือนางเอกขึ้นรถไฟฟ้าทันขบวนแรกกับขึ้นไม่ทันแต่ต้องไปขึ้นขบวนถัดไปแล้วเรื่องราวต่อมาได้สร้างความเปลี่ยนแปลงจากหน้ามือเป็นหลังมือ  ต่อชีวิตของนางเอกทีเดียวครับ (ผมลืมบอกไปว่านางเอกในเรื่องนี้คือคุณ GWYNETH PALTROW ดาราโปรดของผม) ผมอยากให้คนที่ชอบยืนบล็อคทางบันไดเลื่อนได้มีโอกาสดูภาพยนตร์เรื่อง บางครั้งเพียงแค่เสี้ยวนาทีที่พลาดรถไฟฟ้าอาจทำให้คนบางคนพลาดเวลานัด  ไปทำงานสายไปเรียนไม่ทันถึงแม้จะไม่กี่นาทีก็ตาม  เพราะว่า BTS และ MRT บางช่วงเวลาความถี่ 5-10 นาที/ขบวน  บางครั้งผมอยากจะแอบถ่าย VDO พฤติกรรมเหล่านี้  โดยเฉพาะผู้โดยสารหลายๆ ท่าน จะยืนบนบันไดเลื่อนเฉยๆ ทั้งๆ ที่จุดที่เขายืนบนบันไดเลื่อนเห็นรถไฟฟ้าจอดรอที่สถานีแล้ว  ค่อยมาวิ่งตาลีตาเหลือกเมื่อพ้นบันไดเลื่อนเพื่อจะให้ทันประตูรถไฟฟ้าที่กำลังจะปิด  ทำไมเขาเหล่านั้นไม่เลือกที่จะเดิน CHILLED CHILLED  บันไดเลื่อนแล้วเดินเข้ารถไฟ  นอกจากนั้นการที่หลายๆ ท่านชอบมายืนตรงช่องทางเดินที่ทางสถานีเข้าทำเครื่องหมายให้เป็นช่องสำหรับให้ผู้โดยสารข้างในเดินออกมาลำบากมาก โดยก้าวออกมาได้ทีละคนๆ ทำให้ทุกๆ คนเสียเวลาไปหมดหรือหลายๆ ครั้งผมพบว่า  ผู้โดยสารยังเดินออกมาไม่หมด บางท่านก็เดินเข้าไปในขบวนรถไฟแล้วและคนส่วนใหญ่ไม่ค่อยจะชอบเดินเข้ามาด้านใน  ทำให้อัดแน่นกันตรงบริเวณประตู  แทนที่จะจุผู้โดยสารได้มากขึ้น  โดยเฉพาะในช่วงเวลา RUSH HOUR และบางคนชอบยืนพิงประตู  ซึ่งผมคิดว่าอันตรายมาก เมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมาผมอ่านจากหนังสือพิมพ์  M2F  ซึ่งลงข่าวว่า ประตูรถไฟฟ้า BTS เปิดเอง  ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้จอดเทียบท่าที่สถานี  โชคดีที่ไม่มีคนตกรถไฟฟ้า  ซึ่งถ้ามีรับรองผู้โดยสารท่านนั้นคงจะดังไปทั่วโลก ผมเชื่อว่าได้ขึ้นหน้า 1 หนังสือพิมพ์ไทยรายวันทุกฉบับแน่ๆ อย่าลืมนะครับ BTS เป็นรถไฟลอยฟ้า  ถ้าตกลงมาจะเป็นอย่างไรคงจินตนาการภาพออกนะครับ  สิ่งที่ผมชื่นชม BTS ถึงแม้ช้าไปเป็น 10 ปี ก็คือ การทำกำแพงกั้นระหว่างรางรถไฟฟ้ากับชานชาลาสถานี  ลองคิดดูสิครับ  ถ้าเกิดมีคนสติไม่ดีผลักคนที่ยืนรอรถไฟฟ้าที่ยืนอยู่ข้างหน้าเขาแรงๆ ทำให้คนข้างหน้าล้มลงไปในรางรถไฟฟ้าขณะที่รถไฟฟ้ากำลังวิ่งเข้ามาเทียบท่าที่สถานี  อะไรจะเกิดขึ้นครับ  แต่ตอนนี้ผมเพิ่งเห็น BTS เพิ่งจะเริ่มทำที่สถานีสยามซึ่งเป็นสถานีชุมสายและคึกคักที่สุด หวังว่าจะติดตั้งทุกชานชาลาของทุกสถานีโดยเร็วนะครับ  ถึงแม้อาจจะทำให้ BTS ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นบ้าง แต่ดีกว่าปล่อยให้เกิดอุบัติเหตุคนตกลงไปในรางรถไฟฟ้าเหมือนกับที่สาววัยรุ่นไทยคนหนึ่งที่ไปเกิดอุบัติเหตุดังกล่าวที่สิงคโปร์ จนต้องตัดขาทิ้งไป ชื่อเสียงที่เสียไปบวกกับความหวาดกลัวของผู้ใช้รถไฟฟ้าอาจจะแพงกว่าค่าใช้จ่ายดังกล่าวถึงแม้ว่าทาง BTS อาจจะทำประกันความรับผิดชอบด้านอุบัติเหตุของผู้โดยสารกับบริษัทประกันภัยไว้ก็ตาม สิ่งหนึ่งที่ผมแปลกใจมาก ว่าทางกทม. ผู้ใช้บริการรถไฟฟ้ามานานเป็น 10 ปี อย่างนี้หวังว่าในส่วนต่อขยายและเส้นทางรถไฟสีอื่นๆ ที่กำลังจะประมูลหรือกำลังก่อสร้าง จะใส่ใจในเรื่องเหล่านี้ให้มากขึ้น อย่าปล่อยให้วัวหายแล้วค่อยล้อมคอกนะครับ ส่วนเราในฐานะผู้โดยสาร อยากให้รณรงค์เรื่องวัฒนธรรมการใช้รถไฟฟ้าและบันไดเลื่อนผมว่าการเลียนแบบวัฒนธรรมของคนญี่ปุ่นเป็นสิ่งที่ดีที่สุดเราชอบลอกเลียนแบบวัฒนธรรมชาติอื่นๆมากมาย ทั้งส่วนที่ดีและไม่ดี ทำไมวัฒนธรรมดีๆ แบบนี้เราไม่เอามาเป็นเยี่ยงอย่างกันบ้างล่ะครับ
          บ่นมาซะนานขอเข้าเรื่องกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานมูลค่า 62,500 ล้านบาทซึ่งเป็น IPO ที่ใหญ่ที่สุดประเภทนี้เพื่อจะระดมทุน โดยทาง BTS จะขายหรือโอนรายได้ค่าโดยสารสุทธิที่จะเกิดขึ้นในอนาคตจากการดำเนินงานของระบบรถไฟฟ้า BTS สายหลัก ระยะทาง 23.5 กิโลเมตร ตามอายุสัญญาสัมปทานที่เหลืออยู่ประมาณ 17 ปี ให้กับกองทุนรวมดังกล่าวโดยไม่รวมส่วนต่อขยายจากสะพานตากสินไปตลาดพลูและจากอ่อนนุชไปแบริ่งซึ่งเป็นรายได้ของกทม. โดย BTS ได้รับเพียงค่าจ้างการให้บริการระยะเวลา 30 ปี เท่านั้น ซึ่งทาง บล.ภัทรธนกิจ ซึ่งเป็น LEAD UNDERWRITER ได้จัดงานแนะนำกองทุนดังกล่าว เมื่อเร็วๆนี้ ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการลงทุน สำหรับท่านนักลงทุนที่สนใจลงทุนในอะไรที่มีความเสี่ยงต่ำ รายได้ค่อนข้างแน่นอนนะครับ



ติดตามแนวทางการลงทุนของผมได้ที่ 
https://www.facebook.com/VI.Kitichai , http://twitter.com/value_talk , http://www.youtube.com/user/wittayu9 และ http://kitichai1.blogspot.com

หรือหนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ทุกวันพุธหน้า B6 หรือหน้า B10 และนิตยสารคนรวยหุัน, Condo Guide, Stock Review, Me(Market Evolution), Glow และ Lisa  ทุกเดือน
     
สนใจซื้ออสังหาเพื่ออยู่เองหรือเพื่อการลงทุน ลองเข้า http://www.pantipmarket.com/mall/homeproperty

กิติชัย เตชะงามเลิศ

วันอังคารที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2556

ตลาดหุ้นไทยเราขึ้นมาร้อนแรงมาก


     ช่วงนี้ตลาดหุ้นไทยเราขึ้นมาร้อนแรงมาก  จริงๆ แล้วไม่เพียงแต่ปีนี้นับตั้งแต่พฤศจิกายน 2551 เมื่อ SET INDEX ลงไปถึงจุดต่ำสุด แถวๆ 380 จุด หลังจากนั้นตลาดหุ้นไทยก็เปลี่ยนเป็นขาขึ้น ไต่ระดับสูงขึ้นเรื่อยๆ จนมาสร้างจุดสูงสุดใหม่ในรอบ 13 ปีกับ 1 เดือน หลังจาก SET INDEX สร้างจุดสูงสุดในประวัติการณ์ที่ 1,789 จุด เมื่อเดือนมกราคม 2537 นักวิเคราะห์บางค่ายทำนายว่าจุดสูงสุดของปีนี้จะอยู่ที่ 1,800 จุด ถ้าเป็นเช่นนั้นเราก็จะมีจุดสูงสุดใหม่ แต่ส่วนใหญ่จะทำนายจุดสูงสุดไว้ที่ 1,600-1,700 จุด เท่านั้น นี่เพิ่งผ่านปีใหม่มาแค่ 2 เดือนกว่าๆ เท่านั้นเอง หลังประกาศงบไตรมาส 1 หรือไตรมาส 2 อาจจะมีการปรับเป้าหมายของราคาหุ้นและ SET INDEX โดยอิงกับผลประกอบการที่ประกาศเหล่านั้น  ถ้างบออกมาดีก็มีความเป็นไปได้ว่าจะปรับคำทำนาย SET INDEX ให้สูงขึ้นไปอีก น่าดีใจแทนนักลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ทุกๆ ท่าน
          เรามาดูสาเหตุว่าทำไมตลาดหุ้นไทยถึงสร้างผลตอบแทนโดดเด่นเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นทั่วโลก ในช่วงกี่ปีนี้ ปีที่แล้วตลาดหุ้นไทยพุ่งขึ้น 35.80% เป็นอันดับที่ 7 ของโลกและเป็นอันดับที่ 2 ของเอเซียรองจากตลาดหุ้นปากีสถานที่พุ่งขึ้น 48.98% แต่เป็นอันดับหนึ่งของ ASEAN โดยนำฟิลิปปินส์ที่พุ่งขึ้นมา 32.95% ไหนๆ ก็ดูตลาดที่พุ่งแรง เราลองมาดูตลาดที่แย่ๆ เมื่อปีที่แล้ว โดยตลาดหุ้นไซปรัสมีผลตอบแทนติดลบถึง 61.19% ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจมากนัก เพราะว่าประเทศนี้เป็น 1 ในประเทศที่ประสบปัญหาทางเศรษฐกิจในช่วงหลายปีที่แล้วมา ส่วนปีนี้นับแต่ต้นปีมา SET INDEX ขึ้นจากจุดปิดเมื่อปลายปีที่แล้วที่ 1,391.93 มาทำจุดสูงสุดเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา (11/3/56) ที่ 1,580.67 จุด ขึ้นมาแล้ว 188.74 จุด คิดเป็น 13.56% ภายในระยะเวลาเพียงแค่ 2 เดือนกว่าๆ นับว่าเป็นการลงทุนที่สร้างผลตอบแทนได้ดีมาก ยิ่งเมื่อเทียบกับอัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่ประมาณ 3% ต่อปี แล้วยังต้องเสียภาษีดอกเบี้ยเงินฝากอีก ในขณะที่กำไรจากการซื้อขายหุ้นของบุคคลธรรมดาไม่ต้องเสียภาษี นี่ผมยังไม่ได้เอาปันผลที่บางบริษัทประเทศจ่ายและ XD ไปแล้ว มาคำนวณด้วย  ถ้าคำนวณรวมไปผลตอบแทนจากการลงทุนหุ้นไทย ก็จะมากกว่าตัวเลขข้างต้น แต่เงินปันผลผู้ถือหุ้นต้องเสียภาษีหัก ณ ที่จ่าย 10% แต่ท่านสามารถนำไปเครดิตภาษีได้  ตอนยื่นเสียภาษีซึ่งบุคคลธรรมดาจะต้องยื่นภายใน 31 มีนาคมนี้แล้วนะครับ การที่ตลาดหุ้นไทยสร้างผลตอบแทนดีขนาดนี้ จึงทำให้หลายๆ คนที่ไม่เคยเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้น  เริ่มสนใจมาเปิดบัญชีซื้อขายหุ้นมากขึ้น ผมเห็นนิสิต นักศึกษา คุยกันเรื่องหุ้นมากขึ้น น่าเป็นที่ดีใจนะครับที่มีนักลงทุนหน้าใหม่เข้ามาในตลาด นอกจากนี้เงินทุนต่างชาติที่เข้ามาในตลาดหุ้นไทยตั้งแต่ปี 2552 จำนวน 1,137 ล้านเหรียญสหรัฐ ปี 2553 2,687 ล้านเหรียญ  ปี 2554 ไหลออกไป 167 ล้านเหรียญแล้วกลับเข้ามาใหม่ในปี 2555 ถึง 2,504 ล้านเหรียญ ทำให้มูลค่าซื้อขายต่อวันของตลาดหุ้นไทยสูงที่สุดใน ASEAN แซงสิงคโปร์ที่ครองความเป็นเจ้าอยู่นาน โดยปีนี้ตลาดหุ้นไทย มีมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยอยู่ที่ 1,770 ล้านเหรียญ/วัน ในขณะที่สิงคโปร์แชมป์เก่าอยู่ที่ 1,250 ล้านเหรียญ/วัน  โดยไทยเพิ่งจะแซงสิงคโปร์ปีนี้  เพราะว่าปีที่แล้วมูลค่าการซื้อขายของตลาดหุ้นไทยเฉลี่ยอยู่ที่ 1,004 ล้านเหรียญ/วัน เท่านั้น มูลค่าการซื้อขายที่ร้อนแรงโตขึ้น 76.29% YOY ทำให้หุ้นตัวเล็กๆ หลายตัวได้รับความสนใจจากนักลงทุนทั้งหน้าใหม่และหน้าเก่า  มูลค่าการซื้อขายหุ้นขนาดเล็กและขนาดกลางหลายตัวติดอันดับ TOP 10 รายวัน  ด้วยความร้อนแรงขนาดนี้ ทำให้ตลาดหลักทรัพย์และกลต. ได้เปลี่ยนแปลงระยะเวลาสำหรับหุ้นที่ติด TURNOVER LIST จาก 3 สัปดาห์เป็น 6 สัปดาห์ เพื่อกำหราบและป้องกันการเก็งกำไรกระจุกตัวอยู่ในหุ้นเหล่านี้ ซึ่งหลายๆ ตัวมีผลประกอบการขาดทุนหรือมีกำไรน้อย P/E สูงกว่า 40 เท่า หรือมีการซื้อขายเปลี่ยนมือสูงเมื่อเทียบกับ MARKET CAP ซึ่งผมเห็นว่าเป็นมาตรการที่ดี เพราะทุกวันนี้มีนักลงทุนหน้าใหม่เข้ามาในตลาดหุ้นทุกวัน อาจจะลงทุนด้วยความไม่ระมัดระวัง  หรือเล่นหุ้นผีบอก ผมกำลังหมายถึงหุ้นที่มีคนโน้นคนนี้บอกให้ซื้อ โดยที่ตัวเองวิเคราะห์หุ้นยังไม่เป็น อย่างไรก็ตามถึงแม้มีมาตรการเหล่านี้ ดูเหมือนว่าก็ยังมีการเก็งกำไรในตลาดค่อนข้างสูง จะเห็นได้ว่าปีนี้เพียงแค่ 2 เดือนกว่าๆ มีหุ้นติด TURNOVER LIST หลายสิบตัวแล้ว มากที่สุดนับตั้งแต่มีมาตรการนี้เกิดขึ้นมา
          ส่วน MARKET CAP ของตลาดหุ้นไทยขยับขี้นมาเป็นอันดับ 2 ของ ASEAN แซงมาเลเซียที่ครองตำแหน่งนี้มานาน โดยเป็นรองเพียงสิงคโปร์ที่มี MARKET CAP ที่ 8 แสนล้านเหรียญ ขณะที่ไทยและมาเลเซียอยู่ที่ 4.54 และ 4.50 แสนล้านเหรียญสหรัฐตามลำดับ ดูท่าไทยน่าจะรักษาเก้าอี้เบอร์ 2 ได้ อีกหลายปี เพราะว่าผลกำไรของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทยในปีนี้ที่คาดว่าจะโตขึ้นประมาณ 20% เมื่อเทียบกับมาเลเซียที่ประมาณ 10 กว่า% ดูยังไงๆ ตลาดหุ้นไทยก็ยังมีเสน่ห์มากกว่า จึงไม่แปลกใจที่เงินทุนต่างชาติที่ไหลเข้ามาในตลาดหุ้นไทยน่าจะยังมีประเภทที่มากกว่ายิ่ง FITCH เพิ่ง UPGRADE RATING ประเทศไทย จาก BBB เป็น BBB+ และไทยเรามีโอกาสที่จะหลุดจากรายชื่อประเทศที่เป็นแหล่งฟอกเงินในปีนี้ก็จะทำให้กองทุนอีกมากมายที่เคยไม่เข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทย  เพราะว่าติดข้อปัญหานี้ ต่อไปก็จะเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทย นอกจากนี้เงิน RE ของสหรัฐ LTRO ของ EU เงินที่จะปั้มออกมาในอนาคตอื่นใกล้จากญี่ปุ่น ซึ่งรวมแล้วเป็นเม็ดเงินมหาศาลที่จะเข้ามา และธรรมชาติของเงินจะตรงกันข้ามกับน้ำ คือ เงินจะไหลจากที่ที่มีผลตอบแทนต่ำไปสู่ที่ที่มีผลตอบแทนสูง การที่การเติบโตของ GDP ไทยและผลประกอบการของไทยที่โดดเด่น และ AEC ที่จะเริ่มมีผลบังคับใช้ในปลายปี 2558 ย่อมเป็นแม่เหล็กอย่างดีที่จะดึงดูดเม็ดเงินเหล่านี้เข้ามาลงทุนในไทย ทั้ง FDI (เงินลงทุนทางตรง) และเงินลงทุนทางอ้อม (เงินลงทุนในตลาดหุ้น)
          อย่างไรก็ตามแม้จะมีปัจจัยดีมากมายแต่ระยะสั้นตลาดหุ้นไทยก็ขึ้นมาพอสมควรแล้ว ถึงแม้ตลาดหุ้นไทยยังเป็นขาขึ้นอยู่แต่น่าจะมีการปรับตัวเพื่อลดความร้อนแรง และทำให้การปรับตัวขึ้นในรอบต่อไป มีฐานที่แข็งแรงขึ้น ผมคาดว่าเราน่าจะเห็นการปรับตัวลงของตลาดหุ้นภายในอาทิตย์ 2 อาทิตย์แน่ๆ และผมมั่นใจว่าน่าจะลงมากกว่า 100 จุดครับ อย่าลืมนะครับการลงทุนมีความเสี่ยง คิดพิจารณาให้ดีก่อนตัดสินใจลงทุน เงินทองหายากนะครับ


ติดตามแนวทางการลงทุนของผมได้ที่ 
https://www.facebook.com/VI.Kitichai , http://twitter.com/value_talk , http://www.youtube.com/user/wittayu9 และ http://kitichai1.blogspot.com

หรือหนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ทุกวันพุธหน้า B6 หรือหน้า B10 และนิตยสารคนรวยหุัน, Condo Guide, Stock Review, Me(Market Evolution), Glow และ Lisa  ทุกเดือน
     
สนใจซื้ออสังหาเพื่ออยู่เองหรือเพื่อการลงทุน ลองเข้า http://www.pantipmarket.com/mall/homeproperty

กิติชัย เตชะงามเลิศ

วันอังคารที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2556

ภาวะเศรษฐกิจและการส่งออก


ภาวะเศรษฐกิจและการส่งออก

          กระทรวงพาณิชย์เพิ่งประกาศตัวเลขส่งออกเดือนมกราคม  ที่ทำได้ค่อนข้างดีทีเดียวมีมูลค่า 18,629 ล้านเหรียญสหรัฐโตขึ้น 16.09% ขณะที่ตัวเลขนำเข้า 23,756 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 40.87% ส่งผลให้เดือนมกราคม ขาดดุลการค้า 5,487 ล้านเหรียญ   โดยในเดือนมกราคมมีการนำเข้าเครื่องบินมูลค่า 600 ล้านเหรียญ บวกกับการนำเข้าทองคำมูลค่า  2,700  ล้านเหรียญ ถ้าหัก 2 รายการนี้ออกไป  ยอดขาดดุลการค้าก็จะเหลือเพียง 2,150 ล้านเหรียญ แต่ยังไม่น่าหนักใจ เพราะสินค้านำเข้าอื่นๆ ส่วนใหญ่จะเป็นสินค้าทุนเครื่องจักร และวัตถุดิบ เพื่อนำมาใช้ในการผลิตสินค้า ส่วนหนึ่งน่าจะเป็นค่าบาท ที่แข็งขึ้นอย่างรวดเร็ว จึงทำให้มีการเร่งนำเข้าสินค้าดังกล่าวมากขึ้น กอรปกับราคาทองในตลาดโลกที่ต่ำลง จึงมีการนำเข้ามาค่อนข้างมาก โดยเฉพาะเป็นช่วงเวลาใกล้เทศกาลตรุษจีน  ซึ่งทั้งคนไทยและคนไทยเชื้อสายจีน นิยมมาซื้อทองในช่วงเวลานี้  ส่วนตลาดส่งออกจะเห็นได้ว่าตลาดหลักๆ มีการขยายตัวค่อนข้างดีทีเดียว  โดยสหรัฐขยายตัว 16.70% สภาพยุโรปขยายตัว 24.5% ทั้งๆ ที่เศรษฐกิจหลายประเทศในสภาพนี้ มีปัญหาเศรษฐกิจอยู่  ASEAN ขยายตัว 18%  จีน 19.40%  อินเดียขยายตัวน้อยมากเพียง 5.90% ขณะที่ฮ่องกงขยายตัวถึง 74.10% และเกาหลีขยายตัว 24.70%  โดยสินค้าอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น 20.90% โดยมียานยนต์และชิ้นส่วนเป็นพระเอกขยายตัวมากขึ้น 40.30%  ขณะที่กลุ่มอิเล็กทรอนิคส์ขยายตัว  20.80% และกลุ่มผลิตภัณฑ์พลาสติกขยายตัว 22.80% ส่วนด้านสินค้าเกษตรกรรมขยายตัวเพียง 7.20% โดยมีข้าวเป็นพระเอกขยายตัวถึง 31.30% เพราะว่าปี 2554 เราส่งออกข้าวลดลง จากราคาข้าวของเราที่ตั้งราคาสูงมาก ทำให้คู่แข่งของเราโดยเฉพาะเวียดนามแย่งตลาดข้าวของเราไปมาก รองลงมาเป็นผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังขยายตัวถึง 26.50% กลุ่มอาหารทะเลเพิ่มขึ้น  17.10% ขณะที่ผู้ร้ายก็คือ  น้ำตาล ส่งออกลดลงถึง 36.60%
          หันมาดูสินค้านำเข้าหมวดเชื้อเพลิงเพิ่มขึ้นถึง 61% โดยน้ำมันสำเร็จรูปเพิ่มขึ้น 135.10% น้ำมันดิบเพิ่มขึ้น 42.40% เรามาคอยดูตัวเลขนำเข้าสินค้าหมวดนี้กันทุกเดือน ดูว่าจะมีการนำเข้าเพิ่มขึ้นแค่ไหน นโยบายรถคันแรกมีทั้งข้อดีและข้อเสียมากมาย ข้อดีคือกระตุ้นการใช้จ่าย ทำให้กลุ่มอุตสาหกรรมรถยนต์และชิ้นส่วนมียอดขายดีขึ้น เศรษฐกิจก็ดีขึ้น เมื่อยอดขายมากขึ้นก็กระตุ้นให้เกิดการขยายกำลังการผลิต มีเม็ดเงินลงทุนมากขึ้น การสร้างงานมากขึ้นรายได้ของคนงานก็มากขึ้นไปด้วยคนมีงานทำมากขึ้น แต่ข้อเสียก็คือทำให้ต้องมีการนำเข้าชิ้นส่วนบางอย่างที่ประเทศไทยผลิตไม่ได้ทำให้รถติดมากขึ้น มีการเผาผลาญพลังงานมากขึ้น  การสูญเสียเงินตราต่างประเทศในการนำเข้าน้ำมันมากขึ้นจากตัวเลขนำเข้าน้ำมันเดือนมกราคม  ก็เริ่มเห็นสัญญาณดังกล่าวได้เงินเกือบแสนล้านสำหรับโครงการถคันแรก  สามารถไปทำส่วนขยายรถไฟฟ้าได้ 3-4 สาย
          กระทรวงพาณิชย์คาดว่าการส่งออกของไทยปีนี้น่าจะโตประมาณ 8-9% โดยจะมียอดส่งออกทั้งปี ประมาณ 250,410 ล้านเหรียญ โดยคาดว่ากลุ่มนี้จะมีการเติบโตที่ดีคือ กลุ่มรถยนต์และชิ้นส่วน กลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้า ผลิตภัณฑ์ยาง อาหารทะเล และไก่แปรรูป โดยจะพยายามขยายตลาดในอินเดียและแอฟริกามากขึ้น ซึ่งผมเชื่อว่ามีโอกาสเป็นไปได้สูง ถ้าค่าบาทไม่แข็งไปถึง 28 บาท/เหรียญสหรัฐ ตามที่ BoAML (แบงค์ออฟอเมริกาเมอร์ริลรินซ์) ทำนายไว้  ซึ่ง BoAML ยังทำนายอีกว่า ปีหน้า ค่าเงินบาทจะแข็งไปถึง 27 บาท  ผู้ส่งออกทั้งหลายควรจะทำฟอร์เวิร์ดไว้บ้างก็จะดีนะครับ มิฉะนั้นหลังจากส่งของไปแล้วพอเรียกเก็บเงิน  แลกกลับมาเป็นเงินบาท จะได้เป็นจำนวนเงินที่น้อยกว่าที่คำนวณไว้แต่แรก  ทำให้กำไรลดลงได้
          ส่วนดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม  ซึ่งรายงานโดยสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ) คาดว่าปีนี้จะขยายตัว 5-6% โดยเดือนมกราคมดัชนีดังกล่าวอยู่ที่ 175.97 เพิ่มขึ้น 10.10% YOY เพราะต้นปี 2555 เรายังได้รับผลกระทบของภาวะน้ำท่วมใหญ่เมื่อปลายปี 2554 ทำให้ผลผลิตอยู่ในระดับต่ำ โดยอุตสาหกรรมยานยนต์มีการผลิตถึง  236,025 คัน โตขึ้น 68.10%  โดยคาดว่าไตรมาส 1 ปีนี้  จะผลิตได้ 711,662 คัน โดขึ้น 42.51% ทั้งปีจะอยู่ที่ 2.80 ล้านคัน โตขึ้น 14.80% โดยขายในประเทศ 1.60 ล้าน ส่งออก 1.20 ล้านคัน  
          แต่ว่าตัวเลขที่ (สศอ) ทำนายไว้จะเป็นจริงหรือเปล่ายังน่าสงสัยนะครับ โดยเฉพาะตัวเลขยอดขายในประเทศ  เพราะโตโยต้า เจ้าตลาดรถยนต์ในไทย คาดว่ายอดขายรถยนต์ในประเทศน่าจะอยู่ที่ 1.20 ล้านคันเท่านั้นจากยอดขายปีที่แล้วที่ 1.43 ล้านคัน ซึ่งผมเชื่อในคาดการณ์ของโตโยต้ามากกว่า เพราะว่ายอดขายปี 2555 เป็นยอดขายซึ่งเกิดจากการรวม DEMAND ของไตรมาส 4 ปี 2554 ช่วงน้ำท่วมบวกกับ DEMAND ของปี 2555 เอง และบวกกัน DEMAND ส่วนหน้าของปี 2555 และ DEMAND จากโครงการรถคันแรก จึงเป็นยอดขายผิดปกติ  ซึ่งอาจทำให้ยอดขาย 4-5 เดือนแรกของปีนี้ยังอยู่ดีอยู่  จากการส่งมอบรถให้แก่ผู้จองเมื่อปลายปีที่แล้ว เราจะเห็นการขยายตัวแบบติดลบในครึ่งปีหลังของปีนี้แน่นอน

          กลับมาดูที่ตลาดหุ้น  ยิ่งสูงก็ยิ่งหนาวนะครับ ผมยังมั่นใจว่าจะเห็นการปรับตัวลงระดับ 100 จุดขึ้นไปในเดือนมีนาคมนี้ ท่านที่ยังไม่ได้ซื้อหุ้น เอามือกุมกระเป๋าสตางค์ของท่านไว้ก่อน รอการปรับตัวที่จะเกิดขึ้นเร็วๆ นี้ แล้วค่อยเลือกดูว่าจะซื้อหุ้นตัวไหนลงทุนนะครับ ขอให้ท่านผู้อ่านโชคดีในการลงทุนนะครับ


ติดตามแนวทางการลงทุนของผมได้ที่ 
https://www.facebook.com/VI.Kitichai , http://twitter.com/value_talk , http://www.youtube.com/user/wittayu9 และ http://kitichai1.blogspot.com

หรือหนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ทุกวันพุธหน้า B6 หรือหน้า B10 และนิตยสารคนรวยหุัน, Condo Guide, Stock Review, Me(Market Evolution), Glow และ Lisa  ทุกเดือน
     
สนใจซื้ออสังหาเพื่ออยู่เองหรือเพื่อการลงทุน ลองเข้า http://www.pantipmarket.com/mall/homeproperty

กิติชัย เตชะงามเลิศ

วันจันทร์ที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2556

แนวโน้มของไลฟ์สไตล์


แนวโน้มของไลฟ์สไตล์

จะเห็นได้ว่า URBANIZATION (ความเป็นเมือง) เป็นแนวโน้มใหม่ของคนทั่วโลก จากการที่ไลฟ์สไตล์ของการอยู่ในเมือง ทำให้ชีวิตมีสีสันมากขึ้น ไม่ว่าคนชาติไหนๆ ก็ตาม เราจะเห็นคนอเมริกัน หลายคนอยากมาหางานทำในนิวยอร์ค คนจีนอยากจะเข้ามาอยู่ในเมืองใหญ่ๆ เช่น ปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ คนไทยก็อยากเข้ามาทำงานในกรุงเทพ ซึ่งมีรายได้สูงกว่าทำงานในท้องถิ่นของตนเอง รายได้ก็สูงกว่าแต่ก็ตามมาด้วยค่าครองชีพสูงกว่า ทำให้คุณภาพของชีวิตของคนต่างจังหวัดไร้ทักษะที่เข้ามาทำงานในกรุงเทพจึงมีคุณภาพชีวิตที่ต่ำ จากนโยบายแรงงานขั้นต่ำ 300 บาทต่อวัน และความเจริญของจังหวัดหัวเมืองใหญ่ๆ จึงทำให้แรงงานดังกล่าว แทนที่จะมุ่งหน้าเข้ามาหางานทำในกรุงเทพ ก็มุ่งไปทำงานในหัวเมืองใหญ่ดังกล่าวแทน เราจะเห็นคนอีสานไปทำงานที่พัทยา ภูเก็ต นอกจากนั้น เราก็ยังเห็นแรงงานต่างชาติเข้ามาหางานทำในประเทศไทยมากมาย บางโรงงานอุตสาหกรรม โดยเฉพาะโรงงานอาหารทะเลมีติดป้ายข้อปฎิบัติตนในโรงงาน เป็นภาษาพม่าควบคู่กับภาษาไทยอยู่หลายโรงงานทีเดียวที่ผมไปเยี่ยมชม อัตราการว่างงานของไทยถือว่าต่ำมาก คือ น้อยกว่า 1% เป็นอัตราต่ำที่สุดใน ASEAN และจัดเป็นประเทศที่มีอัตราการว่างงานต่ำมากเมื่อเทียบกับทั่วโลก ปลายปี .. 2558 เราจะเริ่มใช้ AEC แล้ว หลังจากเลื่อนจากที่จะเปิดต้นปี 2558 ช้าลงเกือบปี เมื่อถึงเวลานั้น เราจะเห็นประชาชน ASEAN ใน 8 กลุ่มวิชาชีพ ซิ่งประกอบไปด้วย แพทย์ พยาบาล วิศวกร สถาปนิก นักบัญชี ช่างสำรวจ ทันตแพทย์ งานท่องเที่ยวสามารถย้ายเข้ามาทำงานในกลุ่ม ASEAN ด้วยกันอย่างเสรี แต่คาดว่า ในแต่ละประเทศในกลุ่ม ASEAN คงมีมาตรการสกัดกั้นเองทางอ้อม อย่างเช่น ต้องสอบข้อเขียน เพื่อขอใบอนุญาตทำงานวิชาชีพดังกล่าว ยิ่งถ้าใช้ข้อสอบเป็นภาษาของชาติตนเอง ก็จะทำให้คน ASEAN ชาติอื่นๆ จะเข้ามาทำงานได้ยากขึ้น

เราลองมาดูประเทศไทยของเรา ความเจริญได้แผ่กระจายไปตามหัวเมืองใหญ่ เช่น เชียงใหม่  อุดร ขอนแก่น โคราช  ชลบุรี  ระยอง  ภูเก็ต หาดใหญ่ หัวหิน เป็นต้น  ยิ่งมีโครงการรถไฟความเร็วสูงจากจีน ซึ่งจะผ่านลงมาผ่านไทยไปจบที่สิงคโปร์ จะทำให้จังหวัดเชียงราย หนองคาย เป็นจังหวัดที่น่าสนใจ  รวมทั้งกาญจนบุรี จะเป็นเมืองสำคัญ หลังจากพม่าเปิดประเทศ มีการซื้อขายเก็งกำไรในที่ดินในจังหวัดดังกล่าวมากมายราคาเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว โดยเฉพาะเชียงใหม่ดูเหมือนจะมีฟองสบู่นิดๆ แล้ว ที่ดินโดยเฉพาะในเมืองเริ่มแพงขึ้นอย่างมาก  จากการที่บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ใหญ่ๆ ในกรุงเทพ  ได้เข้าไปกว้านซื้อที่ดินในเมือง มาทำคอนโด เพื่อสนองตอบ URBAN LIFESTYLE ของคนปัจจุบัน รถไฟฟ้ามีให้บริการแค่ในกรุงเทพ อนาคตเราจะเห็นรถไฟฟ้าเปิดบริการในภูเก็ต พัทยา เชียงใหม่และหัวเมืองใหญ่อื่นๆ เราเห็น CONVENIENCE STORE, DEPARTMENT STORE, CATEGORY KILLER STORE,  MODERN STORE หลายๆ ประเภทขยายสาขาทั่วไทย คนมีรายได้มากขึ้นก็ต้องการความสะดวกสบาย  ต้องการสินค้าที่มีคุณภาพมากขึ้น  ยอดผู้ใช้ SMART  PHONE  มากขึ้นเรื่อยๆ  ในอนาคตคงจะมีผู้ใช้มากกว่า FEATURE PHONE  คนจะใช้บริการต่างๆ ผ่านทาง  SMART PHONE  เช่นใช้บริการทางการเงินกับสถาบันการเงิน  การสั่งซื้อสินค้าและบริการต่างๆ ผ่าน APPLICATION ต่างๆ บน SMART PHONE  และหรือ TABLET  เรากำลังจะมี 3G, 4G  และ DIGITAL TV อีก 48 ช่อง  รายได้ NON VOICE  จะโตมากกว่า VOICE  ในธุรกิจสื่อสารไร้สาย  การใช้ SMS และ MMS ก็จะน้อยลง  เพราะว่าปัจจุบันมี WHATSAPP, LINE  มาทดแทนการส่งข้อความ  หรือรูปภาพในวิธีเดิมๆ  กรุงเทพก็ติดอันดับผู้ใช้ FACEBOOK  หนึ่งในสิบของโลก แต่น่าเสียดาย  ที่คนไทยติดอันดับชาติที่อ่านหนังสือน้อยที่สุดในโลก  ทั้งๆ ที่คนไทยส่วนใหญ่อ่านออกเขียนได้ และปีนี้กรุงเทพก็ได้รับเกียรติเป็นเมืองหนังสือโลก  หวังว่าคนไทยเราจะรักการอ่านมากขึ้น  จากปีละๆ บรรทัดต่อคน กลายเป็น 1 หน้ากระดาษต่อคน  ก็น่าชื่นใจแล้ว ท่านผู้อ่านทราบไหมครับว่า คนเวียดนามอ่านหนังสือมากกว่าคนไทยเราเสียอีก  จำนวนคนใช้อินเตอร์เน็ตต่อจำนวนประชากรของเวียดนาม ก็มีมากกว่าเราเสียอีก

       ในฐานะนักลงทุน คงต้องวิเคราะห์ดูว่ามีธุรกิจไหนบ้างที่จะสอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ของคนในปัจจุบัน เช่น ธุรกิจ MODERN  STORE, DEPARTMENT STORE, CONVENIENCE  STORE  บริษัทที่ทำธุรกิจสื่อสารแบบไร้สาย ธุรกิจเจ้าของ CONTENT ทั้งข่าวและบันเทิง ธุรกิจ TV ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจรถไฟฟ้าทั้งบนดินและใต้ดิน ธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง  เป็นต้น แต่หุ้นกลุ่มเหล่านี้ ก็ขึ้นมาระดับหนึ่งแล้ว มีโอกาสจะปรับตัวลงตามตลาดหลักทรัพย์  ที่ผมคาดว่าจะปรับตัวลงในเดือนมีนาคมนี้  หลังจากบริษัทต่างๆ ประกาศผลประกอบการหมดแล้ว ถึงเวลานั้น ก็ค่อยๆ เลือกดูหุ้นที่มีผลประกอบการดี แต่ P/E ยังต่ำ มีการเติบโตของธุรกิจสูง โดยเลือกหุ้นที่มี PEG ต่ำ ยิ่งต่ำกว่า 1 เท่าใดยิ่งดี  พวกหุ้นเก็งกำไรตัวเล็กๆ ที่ขึ้นมาเป็นร้อยๆ เปอร์เซ็นต์ โดยไม่มีปัจจัยพื้นฐานรองรับ พอเขาเลิกเล่นกัน ท่านอาจจะติดดอยก็ได้ อย่าลืมนะครับว่า ลำปาง หนาวมาก นะครับ






ติดตามแนวทางการลงทุนของผมได้ที่ 
https://www.facebook.com/VI.Kitichai , http://twitter.com/value_talk , http://www.youtube.com/user/wittayu9 และ http://kitichai1.blogspot.com

หรือหนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ทุกวันพุธหน้า B6 หรือหน้า B10 และนิตยสารคนรวยหุัน, Condo Guide, Stock Review, Me(Market Evolution), Glow และ Lisa  ทุกเดือน
     
สนใจซื้ออสังหาเพื่ออยู่เองหรือเพื่อการลงทุน ลองเข้า http://www.pantipmarket.com/mall/homeproperty

กิติชัย เตชะงามเลิศ