ภาวะเศรษฐกิจและการส่งออก
กระทรวงพาณิชย์เพิ่งประกาศตัวเลขส่งออกเดือนมกราคม ที่ทำได้ค่อนข้างดีทีเดียวมีมูลค่า 18,629
ล้านเหรียญสหรัฐโตขึ้น 16.09% ขณะที่ตัวเลขนำเข้า
23,756 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 40.87% ส่งผลให้เดือนมกราคม ขาดดุลการค้า 5,487 ล้านเหรียญ โดยในเดือนมกราคมมีการนำเข้าเครื่องบินมูลค่า 600 ล้านเหรียญ บวกกับการนำเข้าทองคำมูลค่า
2,700 ล้านเหรียญ
ถ้าหัก 2 รายการนี้ออกไป
ยอดขาดดุลการค้าก็จะเหลือเพียง 2,150 ล้านเหรียญ
แต่ยังไม่น่าหนักใจ เพราะสินค้านำเข้าอื่นๆ ส่วนใหญ่จะเป็นสินค้าทุนเครื่องจักร
และวัตถุดิบ เพื่อนำมาใช้ในการผลิตสินค้า ส่วนหนึ่งน่าจะเป็นค่าบาท
ที่แข็งขึ้นอย่างรวดเร็ว จึงทำให้มีการเร่งนำเข้าสินค้าดังกล่าวมากขึ้น
กอรปกับราคาทองในตลาดโลกที่ต่ำลง จึงมีการนำเข้ามาค่อนข้างมาก
โดยเฉพาะเป็นช่วงเวลาใกล้เทศกาลตรุษจีน ซึ่งทั้งคนไทยและคนไทยเชื้อสายจีน
นิยมมาซื้อทองในช่วงเวลานี้
ส่วนตลาดส่งออกจะเห็นได้ว่าตลาดหลักๆ มีการขยายตัวค่อนข้างดีทีเดียว โดยสหรัฐขยายตัว 16.70% สภาพยุโรปขยายตัว
24.5% ทั้งๆ ที่เศรษฐกิจหลายประเทศในสภาพนี้
มีปัญหาเศรษฐกิจอยู่ ASEAN ขยายตัว 18% จีน 19.40% อินเดียขยายตัวน้อยมากเพียง 5.90%
ขณะที่ฮ่องกงขยายตัวถึง 74.10% และเกาหลีขยายตัว
24.70% โดยสินค้าอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น 20.90% โดยมียานยนต์และชิ้นส่วนเป็นพระเอกขยายตัวมากขึ้น 40.30% ขณะที่กลุ่มอิเล็กทรอนิคส์ขยายตัว
20.80% และกลุ่มผลิตภัณฑ์พลาสติกขยายตัว
22.80% ส่วนด้านสินค้าเกษตรกรรมขยายตัวเพียง 7.20% โดยมีข้าวเป็นพระเอกขยายตัวถึง 31.30% เพราะว่าปี 2554
เราส่งออกข้าวลดลง จากราคาข้าวของเราที่ตั้งราคาสูงมาก
ทำให้คู่แข่งของเราโดยเฉพาะเวียดนามแย่งตลาดข้าวของเราไปมาก
รองลงมาเป็นผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังขยายตัวถึง 26.50% กลุ่มอาหารทะเลเพิ่มขึ้น 17.10% ขณะที่ผู้ร้ายก็คือ น้ำตาล ส่งออกลดลงถึง 36.60%
หันมาดูสินค้านำเข้าหมวดเชื้อเพลิงเพิ่มขึ้นถึง
61%
โดยน้ำมันสำเร็จรูปเพิ่มขึ้น 135.10% น้ำมันดิบเพิ่มขึ้น
42.40% เรามาคอยดูตัวเลขนำเข้าสินค้าหมวดนี้กันทุกเดือน ดูว่าจะมีการนำเข้าเพิ่มขึ้นแค่ไหน
นโยบายรถคันแรกมีทั้งข้อดีและข้อเสียมากมาย ข้อดีคือกระตุ้นการใช้จ่าย
ทำให้กลุ่มอุตสาหกรรมรถยนต์และชิ้นส่วนมียอดขายดีขึ้น เศรษฐกิจก็ดีขึ้น
เมื่อยอดขายมากขึ้นก็กระตุ้นให้เกิดการขยายกำลังการผลิต มีเม็ดเงินลงทุนมากขึ้น
การสร้างงานมากขึ้นรายได้ของคนงานก็มากขึ้นไปด้วยคนมีงานทำมากขึ้น
แต่ข้อเสียก็คือทำให้ต้องมีการนำเข้าชิ้นส่วนบางอย่างที่ประเทศไทยผลิตไม่ได้ทำให้รถติดมากขึ้น
มีการเผาผลาญพลังงานมากขึ้น
การสูญเสียเงินตราต่างประเทศในการนำเข้าน้ำมันมากขึ้นจากตัวเลขนำเข้าน้ำมันเดือนมกราคม ก็เริ่มเห็นสัญญาณดังกล่าวได้เงินเกือบแสนล้านสำหรับโครงการถคันแรก สามารถไปทำส่วนขยายรถไฟฟ้าได้ 3-4 สาย
กระทรวงพาณิชย์คาดว่าการส่งออกของไทยปีนี้น่าจะโตประมาณ
8-9%
โดยจะมียอดส่งออกทั้งปี ประมาณ 250,410 ล้านเหรียญ
โดยคาดว่ากลุ่มนี้จะมีการเติบโตที่ดีคือ กลุ่มรถยนต์และชิ้นส่วน
กลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้า ผลิตภัณฑ์ยาง อาหารทะเล และไก่แปรรูป
โดยจะพยายามขยายตลาดในอินเดียและแอฟริกามากขึ้น ซึ่งผมเชื่อว่ามีโอกาสเป็นไปได้สูง
ถ้าค่าบาทไม่แข็งไปถึง 28 บาท/เหรียญสหรัฐ
ตามที่ BoAML (แบงค์ออฟอเมริกาเมอร์ริลรินซ์) ทำนายไว้ ซึ่ง BoAML ยังทำนายอีกว่า
ปีหน้า ค่าเงินบาทจะแข็งไปถึง 27 บาท
ผู้ส่งออกทั้งหลายควรจะทำฟอร์เวิร์ดไว้บ้างก็จะดีนะครับ
มิฉะนั้นหลังจากส่งของไปแล้วพอเรียกเก็บเงิน
แลกกลับมาเป็นเงินบาท จะได้เป็นจำนวนเงินที่น้อยกว่าที่คำนวณไว้แต่แรก ทำให้กำไรลดลงได้
ส่วนดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม ซึ่งรายงานโดยสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ)
คาดว่าปีนี้จะขยายตัว 5-6% โดยเดือนมกราคมดัชนีดังกล่าวอยู่ที่
175.97 เพิ่มขึ้น 10.10% YOY
เพราะต้นปี 2555
เรายังได้รับผลกระทบของภาวะน้ำท่วมใหญ่เมื่อปลายปี 2554 ทำให้ผลผลิตอยู่ในระดับต่ำ
โดยอุตสาหกรรมยานยนต์มีการผลิตถึง 236,025
คัน โตขึ้น 68.10% โดยคาดว่าไตรมาส 1 ปีนี้ จะผลิตได้ 711,662 คัน
โดขึ้น 42.51% ทั้งปีจะอยู่ที่ 2.80 ล้านคัน
โตขึ้น 14.80% โดยขายในประเทศ 1.60 ล้าน
ส่งออก 1.20 ล้านคัน
แต่ว่าตัวเลขที่ (สศอ) ทำนายไว้จะเป็นจริงหรือเปล่ายังน่าสงสัยนะครับ
โดยเฉพาะตัวเลขยอดขายในประเทศ
เพราะโตโยต้า เจ้าตลาดรถยนต์ในไทย คาดว่ายอดขายรถยนต์ในประเทศน่าจะอยู่ที่ 1.20
ล้านคันเท่านั้นจากยอดขายปีที่แล้วที่ 1.43 ล้านคัน
ซึ่งผมเชื่อในคาดการณ์ของโตโยต้ามากกว่า เพราะว่ายอดขายปี 2555 เป็นยอดขายซึ่งเกิดจากการรวม DEMAND ของไตรมาส 4
ปี 2554 ช่วงน้ำท่วมบวกกับ DEMAND ของปี 2555 เอง และบวกกัน DEMAND ส่วนหน้าของปี 2555 และ DEMAND จากโครงการรถคันแรก จึงเป็นยอดขายผิดปกติ
ซึ่งอาจทำให้ยอดขาย 4-5 เดือนแรกของปีนี้ยังอยู่ดีอยู่ จากการส่งมอบรถให้แก่ผู้จองเมื่อปลายปีที่แล้ว
เราจะเห็นการขยายตัวแบบติดลบในครึ่งปีหลังของปีนี้แน่นอน
กลับมาดูที่ตลาดหุ้น ยิ่งสูงก็ยิ่งหนาวนะครับ
ผมยังมั่นใจว่าจะเห็นการปรับตัวลงระดับ 100 จุดขึ้นไปในเดือนมีนาคมนี้
ท่านที่ยังไม่ได้ซื้อหุ้น เอามือกุมกระเป๋าสตางค์ของท่านไว้ก่อน
รอการปรับตัวที่จะเกิดขึ้นเร็วๆ นี้
แล้วค่อยเลือกดูว่าจะซื้อหุ้นตัวไหนลงทุนนะครับ
ขอให้ท่านผู้อ่านโชคดีในการลงทุนนะครับ
ติดตามแนวทางการลงทุนของผมได้ที่
https://www.facebook.com/VI.Kitichai , http://twitter.com/value_talk , http://www.youtube.com/user/wittayu9 และ http://kitichai1.blogspot.com
หรือหนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ทุกวันพุธหน้า B6 หรือหน้า B10 และนิตยสารคนรวยหุัน, Condo Guide, Stock Review, Me(Market Evolution), Glow และ Lisa ทุกเดือน
สนใจซื้ออสังหาเพื่ออยู่เองหรือเพื่อการลงทุน ลองเข้า http://www.pantipmarket.com/mall/homeproperty
กิติชัย เตชะงามเลิศ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น