ช่วงนี้ตลาดหุ้นไทยเราขึ้นมาร้อนแรงมาก จริงๆ แล้วไม่เพียงแต่ปีนี้นับตั้งแต่พฤศจิกายน
2551
เมื่อ SET INDEX ลงไปถึงจุดต่ำสุด แถวๆ 380
จุด หลังจากนั้นตลาดหุ้นไทยก็เปลี่ยนเป็นขาขึ้น
ไต่ระดับสูงขึ้นเรื่อยๆ จนมาสร้างจุดสูงสุดใหม่ในรอบ 13
ปีกับ 1 เดือน หลังจาก SET INDEX สร้างจุดสูงสุดในประวัติการณ์ที่
1,789 จุด เมื่อเดือนมกราคม 2537 นักวิเคราะห์บางค่ายทำนายว่าจุดสูงสุดของปีนี้จะอยู่ที่
1,800 จุด ถ้าเป็นเช่นนั้นเราก็จะมีจุดสูงสุดใหม่
แต่ส่วนใหญ่จะทำนายจุดสูงสุดไว้ที่ 1,600-1,700 จุด เท่านั้น
นี่เพิ่งผ่านปีใหม่มาแค่ 2 เดือนกว่าๆ เท่านั้นเอง
หลังประกาศงบไตรมาส 1 หรือไตรมาส 2
อาจจะมีการปรับเป้าหมายของราคาหุ้นและ SET INDEX โดยอิงกับผลประกอบการที่ประกาศเหล่านั้น ถ้างบออกมาดีก็มีความเป็นไปได้ว่าจะปรับคำทำนาย
SET INDEX ให้สูงขึ้นไปอีก
น่าดีใจแทนนักลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ทุกๆ ท่าน
เรามาดูสาเหตุว่าทำไมตลาดหุ้นไทยถึงสร้างผลตอบแทนโดดเด่นเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นทั่วโลก
ในช่วงกี่ปีนี้ ปีที่แล้วตลาดหุ้นไทยพุ่งขึ้น 35.80% เป็นอันดับที่
7 ของโลกและเป็นอันดับที่ 2
ของเอเซียรองจากตลาดหุ้นปากีสถานที่พุ่งขึ้น 48.98% แต่เป็นอันดับหนึ่งของ
ASEAN โดยนำฟิลิปปินส์ที่พุ่งขึ้นมา 32.95% ไหนๆ ก็ดูตลาดที่พุ่งแรง เราลองมาดูตลาดที่แย่ๆ เมื่อปีที่แล้ว
โดยตลาดหุ้นไซปรัสมีผลตอบแทนติดลบถึง 61.19% ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจมากนัก
เพราะว่าประเทศนี้เป็น 1 ในประเทศที่ประสบปัญหาทางเศรษฐกิจในช่วงหลายปีที่แล้วมา
ส่วนปีนี้นับแต่ต้นปีมา SET INDEX ขึ้นจากจุดปิดเมื่อปลายปีที่แล้วที่
1,391.93 มาทำจุดสูงสุดเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา (11/3/56) ที่ 1,580.67 จุด ขึ้นมาแล้ว 188.74 จุด คิดเป็น 13.56% ภายในระยะเวลาเพียงแค่ 2 เดือนกว่าๆ นับว่าเป็นการลงทุนที่สร้างผลตอบแทนได้ดีมาก
ยิ่งเมื่อเทียบกับอัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่ประมาณ 3% ต่อปี
แล้วยังต้องเสียภาษีดอกเบี้ยเงินฝากอีก
ในขณะที่กำไรจากการซื้อขายหุ้นของบุคคลธรรมดาไม่ต้องเสียภาษี
นี่ผมยังไม่ได้เอาปันผลที่บางบริษัทประเทศจ่ายและ XD ไปแล้ว
มาคำนวณด้วย
ถ้าคำนวณรวมไปผลตอบแทนจากการลงทุนหุ้นไทย ก็จะมากกว่าตัวเลขข้างต้น
แต่เงินปันผลผู้ถือหุ้นต้องเสียภาษีหัก ณ ที่จ่าย 10% แต่ท่านสามารถนำไปเครดิตภาษีได้ ตอนยื่นเสียภาษีซึ่งบุคคลธรรมดาจะต้องยื่นภายใน
31 มีนาคมนี้แล้วนะครับ การที่ตลาดหุ้นไทยสร้างผลตอบแทนดีขนาดนี้
จึงทำให้หลายๆ คนที่ไม่เคยเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้น
เริ่มสนใจมาเปิดบัญชีซื้อขายหุ้นมากขึ้น ผมเห็นนิสิต นักศึกษา
คุยกันเรื่องหุ้นมากขึ้น น่าเป็นที่ดีใจนะครับที่มีนักลงทุนหน้าใหม่เข้ามาในตลาด
นอกจากนี้เงินทุนต่างชาติที่เข้ามาในตลาดหุ้นไทยตั้งแต่ปี 2552 จำนวน 1,137 ล้านเหรียญสหรัฐ ปี 2553 2,687 ล้านเหรียญ ปี 2554 ไหลออกไป 167 ล้านเหรียญแล้วกลับเข้ามาใหม่ในปี 2555
ถึง 2,504 ล้านเหรียญ
ทำให้มูลค่าซื้อขายต่อวันของตลาดหุ้นไทยสูงที่สุดใน ASEAN แซงสิงคโปร์ที่ครองความเป็นเจ้าอยู่นาน
โดยปีนี้ตลาดหุ้นไทย มีมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยอยู่ที่ 1,770 ล้านเหรียญ/วัน ในขณะที่สิงคโปร์แชมป์เก่าอยู่ที่ 1,250 ล้านเหรียญ/วัน
โดยไทยเพิ่งจะแซงสิงคโปร์ปีนี้
เพราะว่าปีที่แล้วมูลค่าการซื้อขายของตลาดหุ้นไทยเฉลี่ยอยู่ที่ 1,004
ล้านเหรียญ/วัน เท่านั้น
มูลค่าการซื้อขายที่ร้อนแรงโตขึ้น 76.29% YOY ทำให้หุ้นตัวเล็กๆ
หลายตัวได้รับความสนใจจากนักลงทุนทั้งหน้าใหม่และหน้าเก่า
มูลค่าการซื้อขายหุ้นขนาดเล็กและขนาดกลางหลายตัวติดอันดับ TOP 10 รายวัน ด้วยความร้อนแรงขนาดนี้
ทำให้ตลาดหลักทรัพย์และกลต. ได้เปลี่ยนแปลงระยะเวลาสำหรับหุ้นที่ติด TURNOVER
LIST จาก 3 สัปดาห์เป็น 6 สัปดาห์ เพื่อกำหราบและป้องกันการเก็งกำไรกระจุกตัวอยู่ในหุ้นเหล่านี้
ซึ่งหลายๆ ตัวมีผลประกอบการขาดทุนหรือมีกำไรน้อย P/E สูงกว่า
40 เท่า หรือมีการซื้อขายเปลี่ยนมือสูงเมื่อเทียบกับ MARKET
CAP ซึ่งผมเห็นว่าเป็นมาตรการที่ดี
เพราะทุกวันนี้มีนักลงทุนหน้าใหม่เข้ามาในตลาดหุ้นทุกวัน
อาจจะลงทุนด้วยความไม่ระมัดระวัง
หรือเล่นหุ้นผีบอก ผมกำลังหมายถึงหุ้นที่มีคนโน้นคนนี้บอกให้ซื้อ
โดยที่ตัวเองวิเคราะห์หุ้นยังไม่เป็น อย่างไรก็ตามถึงแม้มีมาตรการเหล่านี้ ดูเหมือนว่าก็ยังมีการเก็งกำไรในตลาดค่อนข้างสูง
จะเห็นได้ว่าปีนี้เพียงแค่ 2 เดือนกว่าๆ มีหุ้นติด TURNOVER
LIST หลายสิบตัวแล้ว มากที่สุดนับตั้งแต่มีมาตรการนี้เกิดขึ้นมา
ส่วน MARKET CAP ของตลาดหุ้นไทยขยับขี้นมาเป็นอันดับ 2 ของ ASEAN
แซงมาเลเซียที่ครองตำแหน่งนี้มานาน โดยเป็นรองเพียงสิงคโปร์ที่มี MARKET
CAP ที่ 8 แสนล้านเหรียญ
ขณะที่ไทยและมาเลเซียอยู่ที่ 4.54 และ 4.50 แสนล้านเหรียญสหรัฐตามลำดับ ดูท่าไทยน่าจะรักษาเก้าอี้เบอร์ 2 ได้ อีกหลายปี
เพราะว่าผลกำไรของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทยในปีนี้ที่คาดว่าจะโตขึ้นประมาณ 20%
เมื่อเทียบกับมาเลเซียที่ประมาณ 10 กว่า%
ดูยังไงๆ ตลาดหุ้นไทยก็ยังมีเสน่ห์มากกว่า
จึงไม่แปลกใจที่เงินทุนต่างชาติที่ไหลเข้ามาในตลาดหุ้นไทยน่าจะยังมีประเภทที่มากกว่ายิ่ง
FITCH เพิ่ง UPGRADE RATING ประเทศไทย จาก BBB
เป็น BBB+ และไทยเรามีโอกาสที่จะหลุดจากรายชื่อประเทศที่เป็นแหล่งฟอกเงินในปีนี้ก็จะทำให้กองทุนอีกมากมายที่เคยไม่เข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทย เพราะว่าติดข้อปัญหานี้
ต่อไปก็จะเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทย นอกจากนี้เงิน RE ของสหรัฐ
LTRO ของ EU เงินที่จะปั้มออกมาในอนาคตอื่นใกล้จากญี่ปุ่น
ซึ่งรวมแล้วเป็นเม็ดเงินมหาศาลที่จะเข้ามา และธรรมชาติของเงินจะตรงกันข้ามกับน้ำ
คือ เงินจะไหลจากที่ที่มีผลตอบแทนต่ำไปสู่ที่ที่มีผลตอบแทนสูง การที่การเติบโตของ GDP
ไทยและผลประกอบการของไทยที่โดดเด่น และ AEC ที่จะเริ่มมีผลบังคับใช้ในปลายปี
2558 ย่อมเป็นแม่เหล็กอย่างดีที่จะดึงดูดเม็ดเงินเหล่านี้เข้ามาลงทุนในไทย
ทั้ง FDI (เงินลงทุนทางตรง) และเงินลงทุนทางอ้อม
(เงินลงทุนในตลาดหุ้น)
อย่างไรก็ตามแม้จะมีปัจจัยดีมากมายแต่ระยะสั้นตลาดหุ้นไทยก็ขึ้นมาพอสมควรแล้ว
ถึงแม้ตลาดหุ้นไทยยังเป็นขาขึ้นอยู่แต่น่าจะมีการปรับตัวเพื่อลดความร้อนแรง
และทำให้การปรับตัวขึ้นในรอบต่อไป มีฐานที่แข็งแรงขึ้น
ผมคาดว่าเราน่าจะเห็นการปรับตัวลงของตลาดหุ้นภายในอาทิตย์ 2 อาทิตย์แน่ๆ และผมมั่นใจว่าน่าจะลงมากกว่า 100 จุดครับ
อย่าลืมนะครับการลงทุนมีความเสี่ยง คิดพิจารณาให้ดีก่อนตัดสินใจลงทุน เงินทองหายากนะครับ
ติดตามแนวทางการลงทุนของผมได้ที่
https://www.facebook.com/VI.Kitichai , http://twitter.com/value_talk , http://www.youtube.com/user/wittayu9 และ http://kitichai1.blogspot.com
หรือหนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ทุกวันพุธหน้า B6 หรือหน้า B10 และนิตยสารคนรวยหุัน, Condo Guide, Stock Review, Me(Market Evolution), Glow และ Lisa ทุกเดือน
สนใจซื้ออสังหาเพื่ออยู่เองหรือเพื่อการลงทุน ลองเข้า http://www.pantipmarket.com/mall/homeproperty
กิติชัย เตชะงามเลิศ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น