จาก1ล้านเป็น500ล้านผมทำอย่างไร

จาก1ล้านเป็น500ล้านผมทำอย่างไร
เล่าประสบการณ์การลงทุนของผมที่นำไปใช้ได้ง่ายๆ

วันพุธที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

คนไทยพร้อมหรือยังกับ AEC

คนไทยพร้อมหรือยังกับ AEC

          เมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ผมได้ไปทัศนาจรที่ประเทศจีน โดยไป 2 มณฑล คือ เสฉวน และยูนนาน เป็นเวลา 22 วัน ครั้งนี้เป็นการเยือนจีนห่างจากครั้งก่อนเมื่อประมาณ 5 ปีที่แล้ว ผมยังเห็นการพัฒนาบ้านเมืองของเขาอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าไปที่เมืองไหนก็ตามใน 2 มณฑลนี้ ไม่ว่าจะเป็นเมืองใหญ่หรือเมืองเล็ก ก็ยังเห็นโครงการก่อสร้างอาคารใหญ่มากมาย แหล่งท่องเที่ยวเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยว ซึ่งมากกว่า 98% เป็นนักท่องเที่ยวจีน ทั้งๆ ที่ค่าเข้าชมสถานที่บางแห่ง อย่างเช่น จิ่วไจ้โกว ราคาค่าผ่านประตูบวกกับค่ารถท่องเที่ยวภายในสถานที่คิดเป็น 310 หยวน หรือประมาณ 1,630 บาท นับว่าแพงมากทีเดียวเมื่อเทียบกับค่าเข้าชมอุทยานแห่งชาติของไทยที่น่าแปลกใจมากเข้าไปอีก สถานที่ต่างๆ ของจีนน่าเข้าเยี่ยมชมยิ่งนักแต่ทำไมไม่ค่อยเห็นนักท่องเที่ยวต่างชาติมากนัก โดยเฉพาะพวกฝรั่งนั้นแทบนับหัวได้เลย เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอินเดียที่ผมไปเที่ยวมาเมื่อปีที่แล้ว ค่าเข้าชมถูกกว่ามาก แต่มีข้อเสียคือสถานที่หลายแห่งโดยเฉพาะวัดฮินดู หลายๆ วัดเลยที่ไม่อนุญาตให้เข้าไปชมข้างในได้ เมืองต่างๆ ในอินเดียไม่ค่อยเห็นการก่อสร้างโครงการต่างๆ มากนัก ความเป็นอยู่ของคนจีนโดยเฉลี่ยดูดีกว่าคนอินเดียพอสมควรทั้งๆ ที่ ทั้ง 2 ประเทศล้วนแล้วแต่มีประชากรเกิน 1,000 ล้านคน เป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในโลกอันดับ 1 และ 2 และมีแนวโน้มว่าอินเดียจะแซงจีนเป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในโลกในอีก 1-2 ทศวรรษข้างหน้า และระบอบการปกครองของอินเดียซึ่งเป็นประเทศประชาธิปไตยที่ใหญ่ที่สุดในโลก ในขณะที่จีนก็เป็นประเทศคอมมิวนิสต์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกเช่นกัน อินเดียเป็นประเทศเปิดเสรีมานานแล้ว ในขณะที่ประเทศจีนเพิ่งเปิดประเทศเป็นเรื่องเป็นราวเมื่อประมาณ 30 กว่าปีที่ผ่านมาเท่านั้นเอง แต่จีนมีอัตราการเจริญเติบโตที่สูงกว่าอินเดียค่อนข้างมากในช่วง 20-30 ปีที่ผ่านมา ทำให้รายได้ต่อประชากรของจีนสูงกว่าอินเดียค่อนข้างมาก และปัจจุบันก็สูงกว่าของไทยไปเรียบร้อยแล้ว ไหนใครบอกว่าระบอบประชาธิปไตยดีที่สุด ทำให้ผมมมีความเชื่อว่าไม่ว่าจะเป็นการปกครองระบอบอะไรก็ตาม ขอเพียงแต่มีรัฐบาลที่ปกครองประเทศที่เก่ง ไม่โกงกินแบบตระกระตระกราม ก็น่าจะนำพาประเทศชาติให้เจริญรุ่งเรืองได้อย่างที่ท่านเติ้งเสี่ยวผิง ผู้นำจีนเคยกล่าวไว้ว่า “ไม่ว่าจะเป็นแมวขาวหรือแมวดำขอให้เพียงจับหนูได้ก็พอ” จีนจึงเปิดเสรีค้าขายตั้งแต่นั้นมา และคนจีนเป็นชนชาติที่ขยันขันแข็ง และทำการค้าเก่ง จึงไม่แปลกใจที่การเติบโตในอดีตโตปีละ 7-10% ในขณะที่ไทยเราปัจจุบันโตอย่างเก่งก็แค่เพียง -3-4% เท่านั้น ยิ่งปีนี้ หลังจากวุ่นวายเมื่อช่วงครึ่งปีแรก น่าจะทำให้ GDP ปีนี้โตเพียง 1.4-1.70% เท่านั้น แต่ปีหน้ามีลุ้นที่ 4% บวกลบ เนื่องจากฐานที่ต่ำของปีนี้ โดยเฉพาะครึ่งปีแรกของปีหน้าเราน่าจะเห็นการโตประมาณ 5% บวกลบ ปลายปีหน้าเราก็จะเข้าสู่ AEC กันแล้ว คนไทยเราเตรียมตัวกันมากน้อยแค่ไหน ที่ผมเป็นห่วงก็คือธุรกิจที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยวที่น่าจะมีแรงงานจาก ASEAN โดยเฉพาะพิลิปปินส์ที่พูดภาษาอังกฤษได้ดีกว่าคนไทยมาก และค่าแรงก็ยังกูกกว่าคนไทยเราโดยเฉลี่ย จะมาแทนที่แรงงานไทย ในสปาหลายๆ แห่ง ผมเห็นทั้งคนลาว,เขมร,เข้ามาทำงานในสปาดีๆ ของไทยเราหลายแห่ง แต่ที่น่าดีใจก็คือท่านทูตญี่ปุ่นให้สัมภาษณ์ว่าประเทศไทยเหมาะสมที่จะเป็นที่ตั้งของสำนักงานใหญ่ของ Trading Firm ของญี่ปุ่น ถ้าเป็นจริง ก็น่าจะเป็นข่าวดีกับเรามาก ไม่ว่าธุรกิจอาคารสำนักงาน ที่อยู่อาศัย ธุรกิจร้านอาหาร ฯลฯ ก็น่าจะได้รับอานิสงค์ไปด้วย รัฐบาลไทยควรจะรีบออกมาตรการสนับสนุนให้บริษัทต่างๆ มาตั้ง Regional hub ในไทย โดยอาจจะไม่เก็บภาษีจากรายได้ที่เกิดนอกราชอาณาจักรไทย เป็นเวลา 5 ปี และเก็บภาษีเพียง 50% ของอัตราภาษีปกติจากรายได้ที่เกิดขึ้นในราชอาณาจักร เพื่อแข่งขันกับมาเลเซียและสิงคโปร์ ที่พยายามดึงบริษัทใหญ่ๆ ทั่วโลก ให้มาตั้ง Regional hub ในประเทศของตน อย่าลืมนะครับว่าพอมี AEC ปลายปีหน้า ASEAN จะกลายเป็นกลุ่มประชาคมเศรษฐกิจที่มีประชากรรวมกันใหญ่เป็นอันดับ 3 รองจากจีนและอินเดีย

          ปีหน้าการส่งออกของเราจะโต 5% ส่วนปีนี้คงโตเพียง 1% ตามการคาดการณ์ของกระทรวงพาณิชย์ที่น่าเป็นห่วงหน่อยก็คือหนี้สินครัวเรือนยังเกิน 80% แต่ใจชื้นขึ้นหน่อยเมื่อสถาบันจัดอันดับ Moody บอกว่าไทยเราน่าจะจัดการเรื่องนี้ได้ กระทรวงการคลังกำลังจะให้ใบอนุญาตทำ Nano finance โดยให้ประชาชนกู้ได้ไม่เกิน 120,000 บาท ในอัตราดอกเบี้ยที่สูงถึง 32-36% ผมแนะนำให้ท่านผู้อ่านอย่ากู้โดยเด็ดขาด ด้วยอัตราดอกเบี้ยที่สูงขนาดนี้ นอกจากจะไม่กู้แล้ว อยากให้ท่านเพิ่มการออมโดยกันเงินออมออกมาจากรายได้ทันที ไม่ต่ำกว่า 20% ยิ่งออมมาก ยิ่งจะมีความมั่งคั่งเร็วขึ้นโดยนำเงินออมไปลงทุนในกองทุน LTF และ RMF ถ้ายังมีเงินออมเหลือก็นำไปซื้อประกันชีวิต เพราะว่าทั้ง 3 อย่างนี้ ท่านสามารถนำไปลดหย่อยภาษีได้อีก นอกเหนือจากผลตอบแทนจากกองทุนและประกันชีวิตซึ่งยังได้ความคุ้มครองอีกด้วย ฉบับถัดๆ ไปผมจะมาเขียนรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับการลงทุนเพิ่มขึ้น แต่ถ้าท่านรอไม่ไหว ผมขออนุญาตแนะนำหนังสือ “ออมจากน้อยเป็นร้อยล้าน” ของผมมาอ่านกันดูนะครับ

กิติชัย เตชะงามเลิศ
                                                                                          05/11/57


ติดตามสาระดีๆทั้งไลฟ์สไตล์และการลงทุนได้ที่ 

Facebook : https://www.facebook.com/VI.Kitichai
Twitter     : http://twitter.com/value_talk
Instagram : Gid_Kitichai
Blog         : http://kitichai1.blogspot.com
You Tube : http://www.youtube.com/user/wittayu9 
Google+  : https://www.google.com/+KitichaiTaechangamlert
Linkedin   : https://www.linkedin.com/in/homeproperty
Pinterest   : http://www.pinterest.com/kitichai/


 หรือหนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ทุกวันพุธหน้า B6  และนิตยสารคนรวยหุัน, Condo Guide, Glow, L'Optimum และ Me(Market Evolution) ทุกเดือน

หาอสังหาทั้งถูกและดีเพื่ออยู่เองหรือเพื่อการลงทุน ได้ที่  http://www.pantipmarket.com/mall/homeproperty

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น