เมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา
ผมได้ไปทัศนาจรที่ประเทศจีน โดยไป 2 มณฑล คือ เสฉวน
และยูนนาน เป็นเวลา 22 วัน
ครั้งนี้เป็นการเยือนจีนห่างจากครั้งก่อนเมื่อประมาณ 5 ปีที่แล้ว
ผมยังเห็นการพัฒนาบ้านเมืองของเขาอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าไปที่เมืองไหนก็ตามใน 2
มณฑลนี้ ไม่ว่าจะเป็นเมืองใหญ่หรือเมืองเล็ก
ก็ยังเห็นโครงการก่อสร้างอาคารใหญ่มากมาย แหล่งท่องเที่ยวเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยว
ซึ่งมากกว่า 98% เป็นนักท่องเที่ยวจีน ทั้งๆ ที่ค่าเข้าชมสถานที่บางแห่ง
อย่างเช่น จิ่วไจ้โกว ราคาค่าผ่านประตูบวกกับค่ารถท่องเที่ยวภายในสถานที่คิดเป็น 310
หยวน หรือประมาณ 1,630 บาท
นับว่าแพงมากทีเดียวเมื่อเทียบกับค่าเข้าชมอุทยานแห่งชาติของไทยที่น่าแปลกใจมากเข้าไปอีก
สถานที่ต่างๆ
ของจีนน่าเข้าเยี่ยมชมยิ่งนักแต่ทำไมไม่ค่อยเห็นนักท่องเที่ยวต่างชาติมากนัก
โดยเฉพาะพวกฝรั่งนั้นแทบนับหัวได้เลย
เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอินเดียที่ผมไปเที่ยวมาเมื่อปีที่แล้ว
ค่าเข้าชมถูกกว่ามาก แต่มีข้อเสียคือสถานที่หลายแห่งโดยเฉพาะวัดฮินดู หลายๆ
วัดเลยที่ไม่อนุญาตให้เข้าไปชมข้างในได้ เมืองต่างๆ
ในอินเดียไม่ค่อยเห็นการก่อสร้างโครงการต่างๆ มากนัก ความเป็นอยู่ของคนจีนโดยเฉลี่ยดูดีกว่าคนอินเดียพอสมควรทั้งๆ
ที่ ทั้ง 2 ประเทศล้วนแล้วแต่มีประชากรเกิน 1,000 ล้านคน เป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในโลกอันดับ 1 และ 2 และมีแนวโน้มว่าอินเดียจะแซงจีนเป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในโลกในอีก
1-2 ทศวรรษข้างหน้า และระบอบการปกครองของอินเดียซึ่งเป็นประเทศประชาธิปไตยที่ใหญ่ที่สุดในโลก
ในขณะที่จีนก็เป็นประเทศคอมมิวนิสต์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกเช่นกัน
อินเดียเป็นประเทศเปิดเสรีมานานแล้ว
ในขณะที่ประเทศจีนเพิ่งเปิดประเทศเป็นเรื่องเป็นราวเมื่อประมาณ 30 กว่าปีที่ผ่านมาเท่านั้นเอง แต่จีนมีอัตราการเจริญเติบโตที่สูงกว่าอินเดียค่อนข้างมากในช่วง
20-30 ปีที่ผ่านมา
ทำให้รายได้ต่อประชากรของจีนสูงกว่าอินเดียค่อนข้างมาก
และปัจจุบันก็สูงกว่าของไทยไปเรียบร้อยแล้ว ไหนใครบอกว่าระบอบประชาธิปไตยดีที่สุด
ทำให้ผมมมีความเชื่อว่าไม่ว่าจะเป็นการปกครองระบอบอะไรก็ตาม
ขอเพียงแต่มีรัฐบาลที่ปกครองประเทศที่เก่ง ไม่โกงกินแบบตระกระตระกราม
ก็น่าจะนำพาประเทศชาติให้เจริญรุ่งเรืองได้อย่างที่ท่านเติ้งเสี่ยวผิง
ผู้นำจีนเคยกล่าวไว้ว่า “ไม่ว่าจะเป็นแมวขาวหรือแมวดำขอให้เพียงจับหนูได้ก็พอ”
จีนจึงเปิดเสรีค้าขายตั้งแต่นั้นมา และคนจีนเป็นชนชาติที่ขยันขันแข็ง
และทำการค้าเก่ง จึงไม่แปลกใจที่การเติบโตในอดีตโตปีละ 7-10% ในขณะที่ไทยเราปัจจุบันโตอย่างเก่งก็แค่เพียง -3-4% เท่านั้น
ยิ่งปีนี้ หลังจากวุ่นวายเมื่อช่วงครึ่งปีแรก น่าจะทำให้ GDP ปีนี้โตเพียง 1.4-1.70% เท่านั้น แต่ปีหน้ามีลุ้นที่
4% บวกลบ เนื่องจากฐานที่ต่ำของปีนี้
โดยเฉพาะครึ่งปีแรกของปีหน้าเราน่าจะเห็นการโตประมาณ 5% บวกลบ
ปลายปีหน้าเราก็จะเข้าสู่ AEC กันแล้ว
คนไทยเราเตรียมตัวกันมากน้อยแค่ไหน
ที่ผมเป็นห่วงก็คือธุรกิจที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยวที่น่าจะมีแรงงานจาก ASEAN
โดยเฉพาะพิลิปปินส์ที่พูดภาษาอังกฤษได้ดีกว่าคนไทยมาก
และค่าแรงก็ยังกูกกว่าคนไทยเราโดยเฉลี่ย จะมาแทนที่แรงงานไทย ในสปาหลายๆ แห่ง
ผมเห็นทั้งคนลาว,เขมร,เข้ามาทำงานในสปาดีๆ ของไทยเราหลายแห่ง
แต่ที่น่าดีใจก็คือท่านทูตญี่ปุ่นให้สัมภาษณ์ว่าประเทศไทยเหมาะสมที่จะเป็นที่ตั้งของสำนักงานใหญ่ของ
Trading Firm ของญี่ปุ่น ถ้าเป็นจริง
ก็น่าจะเป็นข่าวดีกับเรามาก ไม่ว่าธุรกิจอาคารสำนักงาน ที่อยู่อาศัย ธุรกิจร้านอาหาร
ฯลฯ ก็น่าจะได้รับอานิสงค์ไปด้วย
รัฐบาลไทยควรจะรีบออกมาตรการสนับสนุนให้บริษัทต่างๆ มาตั้ง Regional hub ในไทย โดยอาจจะไม่เก็บภาษีจากรายได้ที่เกิดนอกราชอาณาจักรไทย เป็นเวลา 5
ปี และเก็บภาษีเพียง 50% ของอัตราภาษีปกติจากรายได้ที่เกิดขึ้นในราชอาณาจักร
เพื่อแข่งขันกับมาเลเซียและสิงคโปร์ ที่พยายามดึงบริษัทใหญ่ๆ ทั่วโลก ให้มาตั้ง Regional
hub ในประเทศของตน อย่าลืมนะครับว่าพอมี AEC ปลายปีหน้า
ASEAN จะกลายเป็นกลุ่มประชาคมเศรษฐกิจที่มีประชากรรวมกันใหญ่เป็นอันดับ
3 รองจากจีนและอินเดีย
ปีหน้าการส่งออกของเราจะโต 5%
ส่วนปีนี้คงโตเพียง 1% ตามการคาดการณ์ของกระทรวงพาณิชย์ที่น่าเป็นห่วงหน่อยก็คือหนี้สินครัวเรือนยังเกิน
80% แต่ใจชื้นขึ้นหน่อยเมื่อสถาบันจัดอันดับ Moody บอกว่าไทยเราน่าจะจัดการเรื่องนี้ได้ กระทรวงการคลังกำลังจะให้ใบอนุญาตทำ Nano
finance โดยให้ประชาชนกู้ได้ไม่เกิน 120,000 บาท
ในอัตราดอกเบี้ยที่สูงถึง 32-36% ผมแนะนำให้ท่านผู้อ่านอย่ากู้โดยเด็ดขาด
ด้วยอัตราดอกเบี้ยที่สูงขนาดนี้ นอกจากจะไม่กู้แล้ว
อยากให้ท่านเพิ่มการออมโดยกันเงินออมออกมาจากรายได้ทันที ไม่ต่ำกว่า 20% ยิ่งออมมาก ยิ่งจะมีความมั่งคั่งเร็วขึ้นโดยนำเงินออมไปลงทุนในกองทุน LTF
และ RMF ถ้ายังมีเงินออมเหลือก็นำไปซื้อประกันชีวิต
เพราะว่าทั้ง 3 อย่างนี้ ท่านสามารถนำไปลดหย่อยภาษีได้อีก
นอกเหนือจากผลตอบแทนจากกองทุนและประกันชีวิตซึ่งยังได้ความคุ้มครองอีกด้วย
ฉบับถัดๆ ไปผมจะมาเขียนรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับการลงทุนเพิ่มขึ้น
แต่ถ้าท่านรอไม่ไหว ผมขออนุญาตแนะนำหนังสือ “ออมจากน้อยเป็นร้อยล้าน”
ของผมมาอ่านกันดูนะครับ
กิติชัย เตชะงามเลิศ
05/11/57
ติดตามสาระดีๆทั้งไลฟ์สไตล์และการลงทุนได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/VI.Kitichai
Twitter : http://twitter.com/value_talk
Instagram : Gid_Kitichai
Blog : http://kitichai1.blogspot.com
You Tube : http://www.youtube.com/user/wittayu9
Google+ : https://www.google.com/+KitichaiTaechangamlert
Linkedin : https://www.linkedin.com/in/homeproperty
Pinterest : http://www.pinterest.com/kitichai/
หรือหนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ทุกวันพุธหน้า B6 และนิตยสารคนรวยหุัน, Condo Guide, Glow, L'Optimum และ Me(Market Evolution) ทุกเดือน
หาอสังหาทั้งถูกและดีเพื่ออยู่เองหรือเพื่อการลงทุน ได้ที่ http://www.pantipmarket.com/mall/homeproperty
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น