พัฒนาการของตลาดทุนไทย เริ่มต้นเมื่อเดือนกรกฏาคม 2505 โดยได้มีการจัดตั้งตลาดหุ้นกรุงเทพ (BANGKOK
STOCK EXCHANGE) ซึ่งเริ่มต้นจากจดทะเบียนในรูปห้างหุ้นส่วนจำกัด
แล้วมาจดทะเบียนเปลี่ยนเป็นรูปบริษัทจำกัดในปีต่อมา โดยในสมัยนั้นมีมูลค่าซื้อชายที่น้อยมาก เนื่องจากไม่ได้รับความสนใจ จนปี พ.ศ.2511
มีมูลค่าการซื้อขายทั้งปีเป็นจำนวนเงิน 160 ล้านบาท แล้วค่อยๆลดลงไปเรื่อยๆ จนเหลือเพียง 28
ล้านบาทในปีพ.ศ. 2513
จนในที่สุดตลาดหุ้นกรุงเทพก็ปิดตัวลงในปี พ.ศ. 2515 โดยมีมูลค่าซื้อขายในปีนั้นเพียง 26
ล้านบาทเท่านั้นเทียบกับมูลค่าซื้อขายในปัจจุบันซึ่งตกวันละประมาณ 40,000-60,000
ล้านบาทต่อวัน เหมือนดูหนังคนละม้วนเลยทีเดียว
การที่ตลาดหุ้นกรุงเทพไม่ประสบความสำเร็จ น่าจะเป็นเพราะประชาชนในสมัยนั้นยังขาดความรู้และความเข้าใจในเรื่องตลาดหุ้น อีกทั้งยังขาดการสนับสนุนจากภาครัฐ
แม้ว่าตลาดหุ้นกรุงเทพจะไม่ได้รับความนิยมก็ตาม แต่ภาครัฐก็เริ่มเล็งเห็นความสำคัญของตลาดทุน จะเห็นได้จากแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่
2 (พ.ศ. 2510-2514) ซึ่งได้เสนอแผนจัดตั้งตลาดหลักทรัพย์ โดยให้มีมาตรการในการกำกับดูแลและเครื่องมืออำนวยความสะดวกต่างๆ จนกระทั้งปี พ.ศ 2517 จึงได้มีประกาศใช้
พรบ.ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้เป็นสถานที่สำหรับซื้อขายหลักทรัพย์ เพื่อส่งเสริมการระดมทุนแก่ ธุรกิจที่ต้องการเงินทุนในการประกอบการ และเป็นช่องทางให้ประชาชนที่ต้องการนำเงินออมมาลงทุนในตลาดทุน
และตลาดหลักทรัพย์ได้เปิดทำการวันแรกเมื่อวันที่ 30 เมษายน 2518 โดยชื่อภาษาอังกฤษในขณะนั้นคือ THE
SECURITIES EXCHANGE OF THAILAND ซื่งต่อมาได้เปลี่ยนเป็น THE STOCK
EXCHANGE OF THAILAND (SET) เมื่อวันที่ 1
มกราคม 2534
เมื่อเรารู้จักที่มาที่ไปของตลาดหลักทรัพย์กันแล้ว เรามาดูสถิติย้อนหลังที่น่าสนใจว่ามีการขึ้นลงอย่างไรกันครับ
1.
SET INDEX ที่เริ่มตันจากฐานที่ 100 จุด
เมื่อวันแรกเปิดตลาด ได้ไปสร้างจุดสูงสุดที่
1,789.16 จุด ในเดือนมกราคม 2537 นับว่าเป็นการขึ้นที่ดีมาก คือขึ้นไปถึง 1,689.16 จุดภายในเวลา 18 ปี 9 เดือน เท่านั้น
คิดเป็นผลตอบแทนในการลงทุนแบบทบตันประมาณ 16.50 % นั่นหมายความว่าถ้าท่านลงทุนในช่วงเวลาดังกล่าวแล้ว สามารถสร้างผลกำไรตอบแทนจากการลงทุนได้เทียบเท่าการขึ้นมาของดัชนีตลาดหลักทรัพย์ ก็จะได้รับผลตอบแทนดังกล่าว บวกกับ
อัตราเงินปันผลที่ท่านได้รับจากการถือครองหุ้นเหล่านี้อีก ซึ่งปกติ DIVIDEND YIELD เฉลี่ยจะอยู่ที่ประมาณ
3-4% ดังนั้นผลตอบแทนรวมที่ท่านได้รับจะเท่ากับ 20%
(แบบทบต้น) โดยประมาณ
และถ้าท่านสามารถบริหารพอร์ทการลงทุนของท่านได้ดี โดยสร้างผลตอบแทนจาการลงทุนได้ดีกว่า SET
INDEX ที่ผมใช้เป็น BENCHMARK ผลตอบแทนยิ่งจะสูงขึ้นไปอีก
นี่จึงเป็นสาเหตุหนึ่งที่ดึงดูดผู้มีเงินออมให้นำเงินออมมาลงทุนในตลาดหุ้นทั้งทางตรง (ลงทุนซื้อหุ้นเอง) และทางอ้อม
(ลงทุนผ่านกองทุนรวมที่ลงทุนในตราสารทุน)
แม้ว่าในช่วงเวลาดังกล่าว
จะครอบคลุมไปถึงเหตุการณ์ BLACK MONDAY (ตุลาทมิฬ) ที่สร้างความเสียหายให้แก่นักลงทุนทั่วโลกรวมทั้งไทย
ที่มีจุดเริ่มตันจากสหรัฐอเมริกาที่มีการเทขายอย่างหนักหน่วง ทำให้ตลาดหุ้นอเมริกาตกระเนระนาดพลอยทำให้ตลาดอื่นๆ
ทั่วโลก ต้องพลอยถูกแรงขายเทกระหน่ำ ราวกับว่าตลาดหลักทรัพย์จะเจ๊ง โดยเฉพาะ SET INDEX ของเราลงจาก 472.86
จุด ไปทำจุดต่ำสุดที่ 243.97 จุด
คิดเป็น 48.41 % ภายในเวลาเพียง 2 เดือน ลองคิดดูเล่นๆครับ ถ้าท่านมีพอร์ดลงทุน 1 ล้านบาท ท่านจะขาดทุนเท่าใด ลองเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นอุทาหรณ์เตือนใจในการลงทุนครั้งต่อๆ
ไปของท่าน
เพื่อให้การลงทุนของท่านมีความระมัดระวัง
และรอบคอบมากขึ้น
และลงทุนไม่เกินตัว สำหรับนักลงทุนมาร์จิน ถ้าเจอสภาพแบบนี้เงินลงทุนของท่านจาก 1
ล้านซื้อหุ้นไป 2 ล้านบาท
(ใช้วงเงินมาร์จินจากโบรคเกอร์อีก 1 ล้าน)
หุ้นตก 48.41 %
เท่ากับขาดทุนไป 968,200
เมื่อบวกกับดอกเบี้ยเงินกู้มาร์จิน ท่านแทบจะไม่เหลือเงินเลย นั่นหมายถึงการสูญเงินลงทุนทั้งจำนวนภายในเวลา
2 เดือนเลยครับ
เห็นอย่างนี้แล้วรู้สึกอย่างไรกันครับ ฉบับหน้าผมจะนำสถิติของ SET INDEX มาเล่าให้ฟังกันต่อครับ
กิติชัย เตชะงามเลิศ
07/01/58
ถ้าท่านชอบบทความผม ท่านสามารถสมัครสมาชิกโดยเอาเม้าส์ไปทางด้านขวามือจะมีแถบแสดงออกมา แล้วเลือกคลิกไอคอนที่เขียนว่าสมัครรับข้อมูล เมื่อผมมีบทความใหม่ ท่านก็จะทราบทันที
เพียงคุณออมแบบผมทุกเดือนๆละ 8,333 บาทผ่านไป 30 ปีคุณจะกลายเป็นเศรษฐี 100 ล้านแบบง่ายๆ รายละเอียดอยู่ในหนังสือ"ออมจากน้อยเป็นร้อยล้าน"ซึ่งวางจำหน่ายแล้วตามร้านหนังสือชั้นนำทั่วไปครับ
หนังสือ "จาก 1 ล้านเป็น 500 ล้าน ผมทำอย่างไร" ยอดขายขื้นอันดับหนื่งตั้งแต่วันแรกจำหน่ายและครองอันดับ 1 ติดต่อกันมานาน
Facebook : https://www.facebook.com/VI.Kitichai
Twitter : http://twitter.com/value_talk
Instagram : Gid_Kitichai
Blog : http://kitichai1.blogspot.com
YouTube : http://www.youtube.com/user/wittayu9
Google+ : https://www.google.com/+KitichaiTaechangamlert
Linkedin : https://www.linkedin.com/in/homeproperty
Pinterest : http://www.pinterest.com/kitichai/
หรือหนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ทุกวันพุธหน้า B6 หนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ และนิตยสารคนรวยหุัน, Condo Guide, Glow, และ Me(Market Evolution) ทุกเดือน รายการ Whats's up Spring ช่อง Spring News TV ทุกวันพุธ ช่วง What's up Money เวลา 10.15-11.00 น. ถ้าท่านชอบบทความผม ท่านสามารถสมัครสมาชิกโดยเอาเม้าส์ไปทางด้านขวามือจะมีแถบแสดงออกมา แล้วเลือกคลิกไอคอนที่เขียนว่าสมัครรับข้อมูล เมื่อผมมีบทความใหม่ ท่านก็จะทราบทันที
หาอสังหาทั้งถูกและดีเพื่ออยู่เองหรือเพื่อการลงทุน ได้ที่ http://www.pantipmarket.com/mall/homeproperty
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น