ประสบการณ์ที่ได้จากการไปเที่ยวญี่ปุ่น
ผมเพิ่งกลับมาจากการเดินทางไปท่องเที่ยวที่ประเทศญี่ปุ่น ครั้งนี้นับเป็นครั้งที่ 3
ที่ผมเดินทางมายังประเทศนี้ โดยทิ้งช่วงห่างกันประมาณ 10 ปีในแต่ละครั้ง
สิ่งที่ทำให้ครั้งล่าสุดแตกต่างจาก 2 ครั้งก่อนหน้าคือ
ปริมาณนักท่องเที่ยวไทยที่เดินทางมาท่องเที่ยวในประเทศญี่ปุ่นมีมากขึ้นจนเห็นได้ชัด
หลังจากที่ไม่ต้องขอวีซ่า ผมพบคนไทยในทุกๆเมืองที่ผมไปเที่ยว
ทั้งๆที่บางเมืองไม่ใช่เมื่องท่องเที่ยวหลักที่คนไทยจะไปเที่ยวกัน อย่างเช่นเมือง MORIOKA
AOMORI ฯลฯ ในเขต TOHOKU ผมก็ยังเห็นคนไทยอยู่ประปราย
และที่ทำให้ผมประหลาดใจแถมดีใจ คือ มีป้ายภาษาไทย
และมีคู่มือท่องเที่ยวภาษาไทยให้เห็นในบางเมือง จนผมอดสงสัยไม่ได้ว่า
ปริมาณนักท่องเที่ยวของคนไทยที่ไปเที่ยวญี่ปุ่นมีจำนวนเท่าใด ผมได้ข้อมูลจาก WIKIPIDIA
ซึ่งเป็นข้อมูลของปี 2557
ปีที่แล้วมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางไปเที่ยวญี่ปุ่นรวมแล้ว 13,413,600
คน
เรามาดูจำนวนนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาในประเทศญี่ปุ่น
6 อันดับแรก คือ
1.
ไต้หวัน 2.83 ล้านคน
2.
เกาหลีใต้ 2.76 ล้านคน
3.
จีน 2.41 ล้านคน
4.
ฮ่องกง 0.93 ล้านคน
5.
สหรัฐอเมริกา 0.89 ล้านคน
6.
ไทย 0.66 ล้านคน
ผมจึงไม่ประหลาดใจที่ภาษาจีนแทบจะเป็นภาษาที่ 3 ในญื่ปุ่น เมื่อรวมไต้หวัน จีน ฮ่องกงที่ใช้ภาษาจีนแล้วเกือบครึ่งของจำนวนนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาในประเทศญี่ปุ่นทั้งหมด
ในขณะที่นักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางมาเยือนประเทศไทยเราเมื่อปีที่แล้วมีถึง
23,809,683
คน
นี่คือสิ่งหนึ่งที่ต้องขอชื่นชมหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องไม่ว่าจะเป็น กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย และหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้อง
ที่ได้ช่วยกันคนละไม้คนละมือรวมถึงอุปนิสัยของคนไทยเจ้าของฉายา THAI SMILE จนทำให้ประเทศไทยได้รับการกล่าวขานว่าเป็น “THE LAND OF SMILE” ทำให้อุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวของไทยเราแข็งแกร่งมากใน ASEAN โดยทั้งไทย และมาเลเซีย(โดยที่ปีที่แล้วมีจำนวนนักท่องเที่ยวมาเยือนมากถึง
27.40 ล้านคน)ติดอันดับ TOP 20 ของโลก ในฐานะประเทศที่มีนักท่องเที่ยวมาเยือนมากที่สุด
แต่เมื่อปีที่แล้วถ้าเราไม่มีเหตุการณ์ไม่สงบรวมทั้งการทำรัฐประหาร ไม่แน่ว่า เราอาจจะชนะมาเลเซีย
เพราะว่าปี 2556 เรามีนักท่องเที่ยวมาเยือน 26.50 ล้านคน ในขณะที่มาเลเซียมีเพียง
25.70 บ้านคน และปีที่แล้วมาเลเซียจัดงาน VISIT MALAYSIA 2014
ทำให้นักท่องเที่ยวต่างชาติส่วนหนึ่งที่กังวลเรื่องความปลอดภัย
เลยเบนเข็มไปเที่ยวมาเลเซียแทน
นั่นคือสาเหตุที่ทำให้ปริมาณนักท่องเที่ยวที่เดินทางไปมาเลเซียเพิ่มขึ้นถึง
1.70ล้านคน คิดเป็น 6.7% ในขณะที่ไทยเรามีปริมาณนักท่องเที่ยวลดลง
1.80 ล้านคน คิดเป็น 6.7% เช่นกัน แต่ถ้าหันมาดูรายได้
เรากลับทำรายได้จากการท่องเที่ยวมากถึง 38,400 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
ในปี 2557 ในขณะที่ปี 2556 เราทำได้มากถึง 41,800 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
เป็นอันดับ 7 ของประเทศที่ทำรายได้จากการท่องเที่ยวสูงสุดของโลก
โดยที่มาเลเซียไม่ติด TOP 10 เสียด้วย ดูแล้วน่าภูมิใจจริงๆ
มาถึงตอนนี้ หลายท่านอาจจะอยากทราบว่าแล้วต่างชาติที่ใช้จ่ายในการเดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศมากที่สุดในโลกคือชนชาติฬด
ผมคาดว่าหลายๆท่านคงเดาถูกโดยท่านที่เดินทางท่องเที่ยวบ่อยๆ คำตอบคือ ชาวจีน
ติดอันดับ 1 โดยปีที่แล้วคนจีนที่เดินทางต่างประเทศใช้เงินไปทั้งหมด 164,900
ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในขณะที่อันดับ 2 คือ สหรัฐอเมริกา
คนอเมริกันใช้เงินไปกับการท่องเที่ยวในต่างประเทศในปีที่แล้ว 110,800 ล้านดอลลาร์สหรัฐ อันดับที่ 3 คือ เยอรมันใช้จ่ายรวม 92,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เห็นตัวเลขแล้วไม่แปลกใจเลย
ไม่ว่าผมจะไปท่องเที่ยวต่างประเทศครั้งไหนผมล้วนแต่พบคณะทัวร์จีนหรือนักท่องเที่ยวอิสระจีน
ทุกๆสถานที่ๆผมไป แม้กระทั่ง ทริป ตุรกี-รัสเซีย เมื่อเดือน พฤษภาคมที่ผ่านมาของผม
รวมทั้งที่ KING POWER รางน้ำ กะคร่าวๆด้วยสายตา น่าจะเป็นลูกค้าชาวจีนประมาณ 95% ที่เหลือเป็นคนไทยและชาติอื่นๆ โดยที่ไม่เห็นฝรั่งแม้แต่คนเดียว
สิ่งที่น่ากลัวที่สุดก็คือ
ถ้ารัฐบาลจีนไม่ถูกใจประเทศไหนแล้วออกคำสั่งห้ามชาวจีนเดินทางไปเที่ยวประเทศดังกล่าว
อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของประเทศนั้นๆคงจะได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง นับได้ว่าเป็นว่าที่อาวุธใหม่ของรัฐบาลจีน
ที่เมื่อนำมาใช้กับประเทศไหนประเทศนั้นก็ตายสนิท
ดูๆแล้วอิทธิพลจีนแผ่ขยายออกมาในทุกๆด้าน
ไม่ว่าจะเป็นสินค้าและบริการ กลับมาที่ประสบการณ์การเดินทางไปญี่ปุ่นครั้งล่าสุด
ผมพบว่าคนญี่ปุ่นยังเป็นคนที่มีระเบียบวินัยสูงเหมือนเดิม ไม่ว่าจะเป็นการยืนบนบันได้เลื่อนชิดด้านเดียว
เพื่อให้คนที่รีบสามารถเดินผ่านได้สะดวก การต่อแถวเข้าคิว การไม่สนทนากันบนรถไฟ
แต่ใน SUBWAY
เริ่มมีเสียงสนทนาของกลุ่มเด็กวัยรุ่น ซึ่งสำหรับสังคมญี่ปุ่นแล้ว
ถือว่าไม่มีมารยาท ผมอยากให้สังคมไทยเป็นสังคมที่คิดถึงส่วนรวมก่อนส่วนตน
ถ้าทำได้เราก็คงจะกลายเป็นชาติที่มีระเบียบวินัยอย่างญี่ปุ่นได้ เลิกค่านิยมที่ว่า
“ทำอะไรตามใจคือไทยแท้” ทิ้งเสียทีเถอะ
กิติชัย เตชะงามเลิศ
30/10/58
30/10/58
ติดตามสาระดีๆทั้งไลฟ์สไตล์และการลงทุนได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/VI.Kitichai
Twitter : http://twitter.com/value_talk
Instagram : Gid_Kitichai
Blog : http://kitichai1.blogspot.com
You Tube : http://www.youtube.com/user/wittayu9
Google+ : https://www.google.com/+KitichaiTaechangamlert
Linkedin : https://www.linkedin.com/in/homeproperty
Pinterest : http://www.pinterest.com/kitichai/
Facebook : https://www.facebook.com/VI.Kitichai
Twitter : http://twitter.com/value_talk
Instagram : Gid_Kitichai
Blog : http://kitichai1.blogspot.com
You Tube : http://www.youtube.com/user/wittayu9
Google+ : https://www.google.com/+KitichaiTaechangamlert
Linkedin : https://www.linkedin.com/in/homeproperty
Pinterest : http://www.pinterest.com/kitichai/
หรือ
หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ทุกวันพุธหน้า B8หนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ
และนิตยสารคนรวยหุัน, Condo Guide, Glow, และ Me(Market Evolution)
ทุกเดือน
ถ้าท่านชอบบทความผม
ท่านสามารถสมัครสมาชิกโดยเอาเม้าส์ไปทางด้านขวามือจะมีแถบแสดงออกมา
แล้วเลือกคลิกไอคอนที่เขียนว่าสมัครรับข้อมูล เมื่อผมมีบทความใหม่
ท่านก็จะทราบทันที
หาอสังหาทั้งถูกและดีเพื่ออยู่เองหรือเพื่อการลงทุน
ได้ที่ http://www.pantipmarket.com/mall/homeproperty
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น