ผลตอบแทนของหุ้น (ตอนที่ 2)
บทความที่แล้ว
ผมได้พูดถึงผลตอบแทนจากตลาดหลักทรัพย์ไทยตั้งแต่สิ้นปี 2557 จนถึงต้นปี 2559
แล้วได้ลงไปถึงกลุ่มพลังงานที่สร้างความเจ็บช้ำน้ำใจให้กับนักลงทุนในกลุ่มนี้เป็นอย่างมาก
ล่าสุดมีข่าวการฆ่าตัวตายของนักลงทุนในตลาดหุ้น
จากความเครียดที่ประสบผลขาดทุนอย่างมาก นับเป็นอุทาหรณ์เตือนใจนักลงทุนท่านอื่นๆ
ให้ลงทุนอย่างระมัดระวัง ต้องศึกษาวิเคราะห์หุ้นแต่ละตัวที่จะลงทุนเป็นอย่างดี
และควรจะกระจายการลงทุนในหลายๆอุตสาหกรรม ดังโบราณเขาว่า
ไม่ควรเอาไข่ใส่ในตระกร้าใบเดียว ยิ่งไปกว่านั้น ควรจะมีการทำ ASSET ALLOCATION ให้ดี
โดยจัดแบ่งสรรปันส่วนเงินลงทุนในสินทรัพย์หลากหลายประเภท
นอกจากหุ้นแล้วยังมีอสังหาริมทรัพย์ ทองคำ ตราสารหนี้ ถ้ามีเงินลงทุนมาก
ก็อาจจะกระจายการลงทุนในหุ้น อสังหาริมทรัพย์ และตราสารหนี้ต่างประเทศด้วยยิ่งดี
เพราะว่าบางช่วงเศรษฐกิจไทยมีการเติบโตต่ำ โดยเฉพาะช่วงหลังๆนี้ NEW NORMAL
ของการเติบโต GDP บ้านเรา โอกาสที่จะเห็น 4%
นี้ยากมาก โดย GDP ของไทยเราอยู่อันดับโหล่ๆของ
ASEAN เลยทีเดียว
ดูเหมือนเราจะกลายเป็นคนป่วยของ ASEAN จริงๆ
ดังนั้นการกระจายความเสี่ยงไปลงทุนต่างประเทศ โดยเลือกตลาดหุ้นที่มีโอกาสเติบโตสูง
แต่สิ่งหนึ่งที่พึงระวังก็คือ มีโอกาสขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนเวลาแลกกลับมาเป็นเงินบาท
อาจจะเหลือกำไรไม่มากก็ได้ ถ้าเงินบาทแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินที่เราไปลงทุนในสินทรัพย์ของประเทศนั้นๆ
เรากลับมาดู SECTOR อื่นๆที่ทำให้
SET INDEX ตกลงมาถึง 14% กันดูว่า
นอกจากกลุ่มพลังงานที่พูดไปเมื่อบทความที่แล้ว ยังมีกลุ่มธนาคารเมื่อสิ้นปี 2557
ปิดที่ 595.17 แล้วลงไปทำจุดต่ำสุดที่ 400.37 เท่ากับดิ่งลงไป 194.80 คิดเป็น 32.73%
ลงหนักกว่ากลุ่มพลังงานเสียอีก เพราะว่ากลุ่มพลังงานลงไปแค่ 29.05%
ทั้งๆที่ราคาน้ำมันลดกระหน่ำซะขนาดนั้นก็ตาม
ที่เป็นเช่นนั้นเพราะว่าปีที่ผ่านมา NPL ของกลุ่มธนาคารสูงขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด
โดยเฉพาะธนาคารที่ปล่อยสินเชื่อให้กับบริษัท สหวิริยาสตีล จำกัด (SSI) ซึ่งถูกจัดชั้นเป็นหนี้ประเภท NPL
ไปเรียบร้อยทำให้เจ้าหนี้อย่าง SCB ,KTB และ TISCO
มีหนี้ NPL สูงขึ้นมากอย่างเห็นได้ชัด
แม้ว่ากระทั่ง KBANK ที่ไม่ได้ปล่อยกู้ให้กับ SSI ก็ยังมีหนี้ NPL สูงขึ้นมาติดอันดับ TOP 3 เสียด้วย
น่าจะเป็นเพราะว่าภาวะเศรษฐกิจที่ไม่ดี
ทำให้ลูกหนี้มีรายได้ไม่พอที่จะส่งหนี้ให้กับสถาบันการเงิน ก็อย่างที่เรารู้กันว่า
ปัญหาหนี้ครัวเรือนของไทยปัจจุบันย่ำเข้าไปกว่า 80% สูงเป็นอันดับ
2 ของ ASEAN เป็นรองก็เพียง มาเลเซีย เท่านั้น
ยิ่งปีที่ผ่านมา ราคาพืชผลทางการเกษตรมีราคาตกต่ำ ภาคส่งออกติดลบ
การบริโภคภายในประเทศไม่ค่อยดี ภาคที่ยังพอเติบโตได้ดีก็คือ ภาคการท่องเที่ยว
ไม่ว่าจะเป็นโรงแรม สายการบิน สนามบิน ล้วนแต่ได้รับอานิสงค์จากราคาน้ำมันที่ลดลงมาอย่างมาก
และปริมาณนักท่องเที่ยวที่เติบโตอย่างมาก โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวชาวจีนซึ่งมีสัดส่วนมากที่สุด
วันก่อนผมได้ไปเดินที่ DUTY FREE SHOP ปรากฎว่า ประมาณ 90
กว่า% เป็นนักท่องเที่ยวชาวจีน ที่เหลือเป็นคนไทย และ
ชาวเอเชียชาติอื่นๆ ไม่เห็นชาวตะวันตกแม้แต่คนเดียวเลย นี่ถ้าเมื่อไหร่
นักท่องเที่ยวจีนไม่เข้ามาเที่ยวเมืองไทย DUTY FREE เหล่านี้คงต้องเลิกกิจการเป็นแน่
ภาคบริการที่ยังดีอยู่ก็คือโรงพยาบาล จากงบการเงินที่ประกาศออกมา รวมทั้งประมาณการของ
ANALYSIS CONSENSUS ยังแสดงให้เห็นการเติบโตของธุรกิจนี้
เนื้อที่หมดแล้วไว้บทความหน้า
ผมจะมาพูดถึง SECTOR
ต่อไปที่มีผลทำให้ SET INDEX ตกถล่มทลาย
อย่าลืมติดตามอ่านกันครับ
กิติชัย เตชะงามเลิศ
28/1/59
28/1/59
ติดตามสาระดีๆทั้งไลฟ์สไตล์และการลงทุนได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/VI.Kitichai
Twitter : http://twitter.com/value_talk
Instagram : Gid_Kitichai
Blog : http://kitichai1.blogspot.com
You Tube : http://www.youtube.com/user/wittayu9
Google+ : https://www.google.com/+KitichaiTaechangamlert
Linkedin : https://www.linkedin.com/in/homeproperty
Pinterest : http://www.pinterest.com/kitichai/
Facebook : https://www.facebook.com/VI.Kitichai
Twitter : http://twitter.com/value_talk
Instagram : Gid_Kitichai
Blog : http://kitichai1.blogspot.com
You Tube : http://www.youtube.com/user/wittayu9
Google+ : https://www.google.com/+KitichaiTaechangamlert
Linkedin : https://www.linkedin.com/in/homeproperty
Pinterest : http://www.pinterest.com/kitichai/
หรือ
หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ทุกวันพุธหน้า B8หนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ
และนิตยสารคนรวยหุัน, Condo Guide, Glow, และ Me(Market Evolution)
ทุกเดือน
ถ้าท่านชอบบทความผม
ท่านสามารถสมัครสมาชิกโดยเอาเม้าส์ไปทางด้านขวามือจะมีแถบแสดงออกมา
แล้วเลือกคลิกไอคอนที่เขียนว่าสมัครรับข้อมูล เมื่อผมมีบทความใหม่
ท่านก็จะทราบทันที
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น