ลงทุนอย่างไรให้รวย ตอนที่ 1
ปัจจุบันมีทรัพย์สินสำหรับเป็นช่องทางการลงทุนหลากหลายประเภท
การจะลงทุนทรัพย์สินประเภทไหนต้องขึ้นอยู่กับนิสัยและความถนัดของนักลงทุนแต่ละคน
นอกจากนั้นยังขึ้นอยู่กับช่วงวัยของนักลงทุน ซึ่งนักลงทุนที่มีอายุต่ำกว่า 30 ปีก็สามารถลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงที่สูง
เพราะหากเกิดอะไรขึ้น ยังสามารถเริ่มต้นใหม่ได้
ระดับความสามารถในการรับความเสี่ยงจะลดลงตามอายุที่มากขึ้น ในขณะที่นักลงทุนที่มีอายุช่วงระหว่าง
30 ถึง
40 ปีควรจะลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงโดยรวมระดับปานกลาง
ส่วนนักลงทุนที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไปควรจะลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงโดยรวมไม่สูงนัก
ช่วงอายุ
|
หุ้น
|
อสังหาริมทรัพย์
|
ตราสารหนี้
|
เริ่มทำงาน - 30 ปี
|
60
|
20
|
20
|
31 - 40 ปี
|
50
|
30
|
20
|
41 - 50 ปี
|
30
|
30
|
40
|
51 - 60 ปี
|
20
|
30
|
50
|
หลังเกษียณ 61
ปีขึ้นไป
|
15
|
25
|
60
|
หมายเหตุ : แผนผังดังกล่าวเป็นการกระจายความเสี่ยงตามช่วงอายุ อย่างไรก็ตาม ผู้ลงทุนแต่ละคนมีความสามารถในการรับความเสี่ยงในแต่ละช่วงอายุและปัจจัยต่างๆที่แตกต่างกันไป
จึงอาจปรับสัดส่วนการลงทุนให้เหมาะสมกับตนเองได้
โดยผู้ที่รับความเสี่ยงได้สูงก็อาจเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในหุ้นมากหน่อย
ส่วนผู้ที่รับความเสี่ยงได้ต่ำก็อาจเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในตราสารหนี้มากแทน
เพราะว่าหุ้นมีความผันผวนของราคาสูงมาก ในขณะที่ตราสารหนี้มีความผันผวนของราคาต่ำมาก
สัดส่วนในการลงทุนขึ้นอยู่กับ
1.
ขนาดของพอร์ตการลงทุน
2.
ไลฟ์สไตล์ของผู้ลงทุน
3.
ความรู้และและความถนัด
4.
ความสามารถในการยอมรับความเสี่ยง
5.
อายุของผู้ลงทุน
6.
ผลตอบแทนที่ต้องการ
ปัจจุบันพอร์ตการลงทุนในหุ้นและอสังหาริมทรัพย์ของผมมีสัดส่วน
70/30 คือลงทุนในหุ้น 70 เปอร์เซ็นต์ และอสังหาริมทรัพย์
30 เปอร์เซ็นต์
หุ้นเป็นสินทรัพย์ที่มีสภาพใกล้เคียงกับเงินสด
ถ้าเราขายหุ้นวันนี้ อีกสามวันทำการเราจะได้เงิน แต่หุ้นเป็นสินทรัพย์ที่มีความผันผวนสูง
คือราคาเปลี่ยนแปลงขึ้นลงค่อนข้างมากตลอดเวลา สถิติย้อนหลังที่น่าสนใจว่ามีการขึ้นลงอย่างไรกันครับ
หลังจากที่ SET INDEX ขึ้นไปสร้างจุดสูงสุดที่
1,789.16 จุด เมื่อเดือนมกราคม 2537
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ก็เปลี่ยนทิศทางเป็นขาลงหลังจากที่มีแนวโน้มเป็นขาขึ้นมาตลอดช่วงเวลา
18 ปี 9 เดือน โดยลงไปถึง 204.59 จุด ในเดือนกันยายน 2541 คือลงไปถึง 1,584.57 จุด หรือ 88.60% ภายในเวลาเพียง 4 ปี 8 เดือน ลองคิดเล่นๆดูสิครับ
ว่าถ้าท่านอยู่ในตลาดหุ้นในช่วงเวลานั้น ชีวิตของท่านจะเป็นอย่างไร
เงินลงทุนของท่าน สมมติว่า 1 ล้านบาท จะเหลือเพียง 114,000 บาท
มีนักลงทุนที่ฆ่าตัวตายทั้งที่เป็นข่าวและไม่เป็นข่าวหลายคนเลยทีเดียว
สุภาษิตบทหนึ่งที่เขียนไว้เตือนใจนักลงทุนก็คือ “อย่าเอาไข่ใส่ไว้ในตะกร้าใบเดียว” เพราะว่ามันจะแตกง่าย ถ้าช่วงนั้นท่านนำทรัพย์สินทั้งหมดมาลงทุนในตลาดหุ้น นั่นหมายถึงเงินออมที่อดออมมาจากน้ำพักน้ำแรงที่ท่านอุตสาหะ ต้องแทบจะหมดสิ้นเนื้อประดาตัวกันเลยทีเดียว ผมจึงย้ำแล้วย้ำอีกว่า ควรจะมีการจัดสรรเงินลงทุนลงในสินทรัพย์หลายประเภท ซึ่งในหนังสือ “ออมจากน้อยเป็นร้อยล้าน” ผมได้เขียนถึงสินทรัพย์ในแต่ละประเภทที่ท่านควรจะลงทุนและสัดส่วนที่เหมาะสมของสินทรัพย์ในแต่ละประเภทตามช่วงวัย ขนาดของเงินลงทุน อุปนิสัยส่วนตัว ความสามารถในการยอมรับความเสี่ยง ฯลฯ
สาเหตุที่ SET INDEX ถึงได้ลงวินาศสันตะโรขนาดนั้น เกิดจากวิกฤติต้มยำกุ้งที่เริ่มต้นจากประเทศไทยแล้วแพร่ระบาดไปในหลายๆประเทศใน ASEAN ไม่ว่าจะเป็น ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย ฯลฯ แม้กระทั่งเกาหลีเองก็โดนผลกระทบวิกฤตนี้จนแทบจะไม่สามารถที่จะรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและการเงินไว้ได้ ค่าเงินบาทที่เคยผูกไว้กับเงินดอลลาร์สหรัฐที่ 27 บาทต่อดอลลาร์ก็อ่อนปวกเปียกจนไปถึงเกือบ 60 บาทต่อดอลลาร์ ผมยังจำได้ว่าผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยในยุคนั้นได้นำทุนสำรองไปสู้กับนักเก็งกำไรค่าเงินตัวเป้งเลยก็คือ นาย George Soros ซึ่งคนไทยยุคนั้นไม่เคยลืม มีการเปิดแชมเปญฉลองกัน นึกว่าเราจะชนะและรักษาค่าเงินบาทไว้ได้ ที่ไหนได้เราแพ้และสูญเสียทุนสำรองเป็นจำนวนมากและค่าเงินบาทก็อ่อนปวกเปียก เศรษฐกิจไทยตกต่ำ คนตกงานเต็มไปหมด คล้ายๆกับวิกฤตรัสเซียและค่าเงินรูเบิลในช่วงนี้ ในสมัยนั้นมีนักท่องเที่ยวและคนไทยที่มีฐานะ ก็ใช้โอกาสนี้ในการช้อปปิ้งสินค้านำเข้าราคาแพงๆ เช่นนาฬิกาสวิส ไวน์แพงๆ รถยนต์นำเข้า ฯลฯ ที่ยังไม่ได้ปรับราคาขึ้นตามค่าเงิน หลายๆคนก็ตุนเงินดอลลาร์ไว้เพราะว่าเห็นค่าเงินบาทที่อ่อนตัวลงเรื่อยๆ
สุภาษิตบทหนึ่งที่เขียนไว้เตือนใจนักลงทุนก็คือ “อย่าเอาไข่ใส่ไว้ในตะกร้าใบเดียว” เพราะว่ามันจะแตกง่าย ถ้าช่วงนั้นท่านนำทรัพย์สินทั้งหมดมาลงทุนในตลาดหุ้น นั่นหมายถึงเงินออมที่อดออมมาจากน้ำพักน้ำแรงที่ท่านอุตสาหะ ต้องแทบจะหมดสิ้นเนื้อประดาตัวกันเลยทีเดียว ผมจึงย้ำแล้วย้ำอีกว่า ควรจะมีการจัดสรรเงินลงทุนลงในสินทรัพย์หลายประเภท ซึ่งในหนังสือ “ออมจากน้อยเป็นร้อยล้าน” ผมได้เขียนถึงสินทรัพย์ในแต่ละประเภทที่ท่านควรจะลงทุนและสัดส่วนที่เหมาะสมของสินทรัพย์ในแต่ละประเภทตามช่วงวัย ขนาดของเงินลงทุน อุปนิสัยส่วนตัว ความสามารถในการยอมรับความเสี่ยง ฯลฯ
สาเหตุที่ SET INDEX ถึงได้ลงวินาศสันตะโรขนาดนั้น เกิดจากวิกฤติต้มยำกุ้งที่เริ่มต้นจากประเทศไทยแล้วแพร่ระบาดไปในหลายๆประเทศใน ASEAN ไม่ว่าจะเป็น ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย ฯลฯ แม้กระทั่งเกาหลีเองก็โดนผลกระทบวิกฤตนี้จนแทบจะไม่สามารถที่จะรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและการเงินไว้ได้ ค่าเงินบาทที่เคยผูกไว้กับเงินดอลลาร์สหรัฐที่ 27 บาทต่อดอลลาร์ก็อ่อนปวกเปียกจนไปถึงเกือบ 60 บาทต่อดอลลาร์ ผมยังจำได้ว่าผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยในยุคนั้นได้นำทุนสำรองไปสู้กับนักเก็งกำไรค่าเงินตัวเป้งเลยก็คือ นาย George Soros ซึ่งคนไทยยุคนั้นไม่เคยลืม มีการเปิดแชมเปญฉลองกัน นึกว่าเราจะชนะและรักษาค่าเงินบาทไว้ได้ ที่ไหนได้เราแพ้และสูญเสียทุนสำรองเป็นจำนวนมากและค่าเงินบาทก็อ่อนปวกเปียก เศรษฐกิจไทยตกต่ำ คนตกงานเต็มไปหมด คล้ายๆกับวิกฤตรัสเซียและค่าเงินรูเบิลในช่วงนี้ ในสมัยนั้นมีนักท่องเที่ยวและคนไทยที่มีฐานะ ก็ใช้โอกาสนี้ในการช้อปปิ้งสินค้านำเข้าราคาแพงๆ เช่นนาฬิกาสวิส ไวน์แพงๆ รถยนต์นำเข้า ฯลฯ ที่ยังไม่ได้ปรับราคาขึ้นตามค่าเงิน หลายๆคนก็ตุนเงินดอลลาร์ไว้เพราะว่าเห็นค่าเงินบาทที่อ่อนตัวลงเรื่อยๆ
พูดถึงช่วงที่การลงทุนในตลาดหลักทรัพย์
ได้ผลตอบแทนดีกันบ้างครับ SET INDEX ที่เริ่มตันจากฐานที่ 100 จุด
เมื่อวันแรกเปิดตลาด ในปี 2518 ได้ไปสร้างจุดสูงสุดที่ 1,789.16 จุด ในเดือนมกราคม 2537 นับว่าเป็นการขึ้นที่ดีมาก คือขึ้นไปถึง 1,689.16 จุดภายในเวลา 18 ปี 9 เดือน เท่านั้น
คิดเป็นผลตอบแทนในการลงทุนแบบทบตันประมาณ 16.50 % นั่นหมายความว่าถ้าท่านลงทุนในช่วงเวลาดังกล่าวแล้ว
สามารถสร้างผลกำไรตอบแทนจากการลงทุนได้เทียบเท่าการขึ้นมาของดัชนีตลาดหลักทรัพย์ ก็จะได้รับผลตอบแทนดังกล่าว บวกกับ
อัตราเงินปันผลที่ท่านได้รับจากการถือครองหุ้นเหล่านี้อีก ซึ่งปกติ DIVIDEND YIELD เฉลี่ยจะอยู่ที่ประมาณ
3-4% ดังนั้นผลตอบแทนรวมที่ท่านได้รับจะเท่ากับ 20% (แบบทบต้น) โดยประมาณ
และถ้าท่านสามารถบริหารพอร์ทการลงทุนของท่านได้ดี โดยสร้างผลตอบแทนจาการลงทุนได้ดีกว่า SET
INDEX ที่ผมใช้เป็น BENCHMARK ผลตอบแทนยิ่งจะสูงขึ้นไปอีก
นี่จึงเป็นสาเหตุหนึ่งที่ดึงดูดผู้มีเงินออมให้นำเงินออมมาลงทุนในตลาดหุ้นทั้งทางตรง (ลงทุนซื้อหุ้นเอง) และทางอ้อม
(ลงทุนผ่านกองทุนรวมที่ลงทุนในตราสารทุน)
แม้ว่าในช่วงเวลาดังกล่าว
จะครอบคลุมไปถึงเหตุการณ์ BLACK MONDAY (ตุลาทมิฬ)
ที่สร้างความเสียหายให้แก่นักลงทุนทั่วโลกรวมทั้งไทยเอาไว้ด้วยแล้ว
ทีนี้เราลองมาดูการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์กันบ้าง
มีซึ่งมีลักษณะตรงข้ามกับหุ้นเกือบจะสิ้นเชิง
อสังหาริมทรัพย์ เป็นสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องต่ำ
บางครั้งบอกขายเป็นปีก็ยังขายไม่ได้ ยกตัวอย่างเช่นท่านซื้อคอนโดไว้ 1
ยูนิตไว้ที่ซอยสุขุมวิท 23 เป็นแบบ 1 ห้องนอน ระเบียงหันไปทางทิศตะวันออก
ถ้าคนซื้อสนใจที่จะซื้อคอนโดในย่านสุขุมวิท เค้าอาจอยากจะได้ซอยอื่นก็เป็นได้
หรือถึงแม้ว่าเขาอยากจะได้ในซอยนี้ แต่อย่าลืมนะครับ ในซอยนี้มีคอนโดมากกว่า 10 อาคาร
เชาอาจจะอยากได้โครงการอื่นที่ไม่ใช่โครงการที่ท่านซื้อไว้ หรือถึงแม้เขาอยากได้โครงการนี้
แต่เขาอาจจะอยากได้เป็นแบบ 2 ห้องนอน
เพราะว่าครอบครัวนี้มีบุตร 1 คน
หรือถ้าท่านโชคดี คนที่อยากจะซื้อห้องชุดในโครงการนี้ เขาต้องการแบบ 1 ห้องนอนแต่เขาอาจจะอยากได้ห้องที่มีระเบียงหันไปทางทิศใต้หรือทิศอื่นก็เป็นได้ หรือถึงแม้ว่าเขาอยากได้ห้องที่หันไปทางทิศตะวันออก แต่อย่าลืมนะครับว่าในตึกนี้ห้องที่หันไปทางทิศนี้ มันอาจจะมีหลายห้องก็ได้ ขออาจชอบห้องอื่น ซึ่งเป็นตำแหน่งที่เขาชอบมากกว่าก็ได้ หรือบางทีลูกค้าบางคน ยังมีความเชื่อในโชคลาง อาจจะนำตัวเลขห้องมาบวกกัน แล้วดูว่าผลลัพธ์ที่ออกมาเป็นเลขมงคลหรือไม่ ซึ่งจากประสบการณ์ตรงของผมเคยพบมาหลายคนแล้ว เห็นไหมครับว่า อสังหาริมทรัพย์มีสภาพคล่องที่ต่ำมาก
หรือถ้าท่านโชคดี คนที่อยากจะซื้อห้องชุดในโครงการนี้ เขาต้องการแบบ 1 ห้องนอนแต่เขาอาจจะอยากได้ห้องที่มีระเบียงหันไปทางทิศใต้หรือทิศอื่นก็เป็นได้ หรือถึงแม้ว่าเขาอยากได้ห้องที่หันไปทางทิศตะวันออก แต่อย่าลืมนะครับว่าในตึกนี้ห้องที่หันไปทางทิศนี้ มันอาจจะมีหลายห้องก็ได้ ขออาจชอบห้องอื่น ซึ่งเป็นตำแหน่งที่เขาชอบมากกว่าก็ได้ หรือบางทีลูกค้าบางคน ยังมีความเชื่อในโชคลาง อาจจะนำตัวเลขห้องมาบวกกัน แล้วดูว่าผลลัพธ์ที่ออกมาเป็นเลขมงคลหรือไม่ ซึ่งจากประสบการณ์ตรงของผมเคยพบมาหลายคนแล้ว เห็นไหมครับว่า อสังหาริมทรัพย์มีสภาพคล่องที่ต่ำมาก
แต่สิ่งที่ดีสำหรับการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์
นั่นคือเป็นทรัพย์สินที่มีมูลค่าสูงขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป
ยกเว้นในช่วงที่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจ เช่น ตอนเกิดวิกฤตต้มยำกุ้ง ราคาอสังหาริมทรัพย์ตกลงไปมาก แต่ไม่นานนัก
ราคาก็กลับขึ้นมาใหม่
ซึ่งเหตุการณ์แบบนี้ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยนักในช่วงชีวิตของคนเรา
การที่ผมแบ่งสัดส่วนการลงทุนแบบนี้
เพราะผมไม่ต้องการให้พอร์ตของผมหวือหวาเกินไป
เปรียบเสมือนคนเรายืนด้วยขาสองข้างจึงจะมั่นคง
การลงทุนในหุ้นเพียงอย่างเดียวเหมือนกับยืนบนขาข้างเดียว เวลาเจอพายุลมแรง เราอาจล้มได้ แต่ถ้าเรายืนบนขาสองข้าง
ย่อมจะยืนได้มั่นคงกว่า
อย่างไรก็ตาม
ถ้าพอร์ตของผมโตขึ้นกว่านี้ สัดส่วนการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ก็จะลดลง เพราะผมเป็นพวกสุขนิยม ติดสบาย
ไม่อยากจ้างพนักงาน ไม่อยากติดต่อกับคนจำนวนมาก
ผมคนเดียวดูแลอสังหาริมทรัพย์ได้เต็มที่ก็ไม่เกิน 30-40 ชิ้น มากกว่านั้นคงไม่ไหว
เพราะต้องคอยไปเปิดห้องให้ลูกค้าดู ต้องไปดูแลเวลาที่ห้องมีปัญหา คงไม่มีเวลาทำอย่างอื่น
กิติชัย เตชะงามเลิศ
5/5/60
ติดตามสาระดีๆทั้งไลฟ์สไตล์และการลงทุนได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/VI.Kitichai
Twitter : http://twitter.com/value_talk
Instagram : Gid_Kitichai
Blog : http://kitichai1.blogspot.com
You Tube : http://www.youtube.com/user/wittayu9
Google+ : https://www.google.com/+KitichaiTaechangamlert
Linkedin : https://www.linkedin.com/in/homeproperty
Pinterest : http://www.pinterest.com/kitichai/
Twitter : http://twitter.com/value_talk
Instagram : Gid_Kitichai
Blog : http://kitichai1.blogspot.com
You Tube : http://www.youtube.com/user/wittayu9
Google+ : https://www.google.com/+KitichaiTaechangamlert
Linkedin : https://www.linkedin.com/in/homeproperty
Pinterest : http://www.pinterest.com/kitichai/
หรือ 1.หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ทุกวันพุธหน้า B6 ในคอลัมน์ "เขียนอย่างที่คิด"
2.หนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจหน้า 15 เดือนละครั้ง ในคอลัมน์ “จับช่องลงทุน”
3.นิตยสาร Be Link ทุกเดือน
4.นิตยสาร Me(Market Evolution) วารสารเภตรา ของสมาคมศิษย์เก่าคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี และ จุลสารเตชะสาร ของสมาคมเตชะสัมพันธ์ ทุกไตรมาส
2.หนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจหน้า 15 เดือนละครั้ง ในคอลัมน์ “จับช่องลงทุน”
3.นิตยสาร Be Link ทุกเดือน
4.นิตยสาร Me(Market Evolution) วารสารเภตรา ของสมาคมศิษย์เก่าคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี และ จุลสารเตชะสาร ของสมาคมเตชะสัมพันธ์ ทุกไตรมาส
นอตติ้ง
ฮิลล์ ดิ เอ็กซ์คลูซีฟ เจริญกรุง 93 (Notting Hill The Exclusive CharoenKrung 93) 3
ยูนิตราคาพิเศษ ใกล้แม่น้ำเจ้าพระยา ห่างจากเอเชียทีคเพียง 140 เมตร
ห้องที่จะขายดาวน์
1.ห้อง 403 ชั้น 4 ประเภทห้อง B2 : 1 นอน 1
น้ำ ไม่ติดลิฟท์ พื้นที่ใช้สอย : 27 ตารางเมตร ระเบียงหันไปทิศตะวันออกเฉียงเหนือ วิวสระว่ายน้ำ เฟอร์นิเจอร์ครบครัน
ตกแต่งสวยมาก ราคา 2,700,000 บาท
2.ห้อง 410 ชั้น 4 ประเภทห้อง
B4 : 1 นอน 1
น้ำ ไม่ติดลิฟท์ พื้นที่ใช้สอย : 32 ตารางเมตร ระเบียงหันไปทิศตะวันออกเฉียงใต้
ไม่โดนบล็อควิว เฟอร์นิเจอร์ครบครัน ตกแต่งสวยมาก ราคา 3,200,000
บาท
3.ห้อง 810 ชั้น 8 ประเภทห้อง
B4 : 1 นอน 1
น้ำ ไม่ติดลิฟท์ พื้นที่ใช้สอย : 32 ตารางเมตร ระเบียงหันไปทิศตะวันออกเฉียงใต้
ไม่โดนบล็อควิว เฟอร์นิเจอร์ครบครัน ตกแต่งสวยมาก ราคา 3,300,000
บาท
|
ชื่อโครงการ
|
นอตติ้ง ฮิลล์ ดิ
เอ็กซ์คลูซีฟ เจริญกรุง 93 (Notting Hill The Exclusive CharoenKrung 93)
|
เจ้าของโครงการ
|
บริษัท ออริจิ้น
พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน)
|
เนื้อที่ทั้งหมด
|
1-1-79
ไร่
|
จำนวนตึก
|
1
อาคาร
|
จำนวนชั้น
|
8
ชั้น
|
จำนวนห้อง
|
132
ยูนิต
|
ลักษณะห้องและขนาดห้อง
|
–
1 Bedroom : ขนาดเริ่มต้น
27.00
ตร.ม.
– 2 Bedrooms : ขนาดเริ่มต้น 41.00 ตร.ม. |
ที่จอดรถทั้งหมด
|
รอข้อมูลจากโครงการ
|
การเดินทาง
|
รถประจำทางสาย 1, 75, 15, 547
เพื่อมายังซอยเจริญกรุง
93
ซึ่งป้ายรถเมล์จะตั้งอยู่ปากซอย หรือหากอยากนั่งเรือสัมผัสบรรยากาศแบบชิลๆ ก็สามารถทำได้โดยขึ้นเรือที่ท่าสาทร (จุดเดียวกับสถานีรถไฟฟ้าสะพานตากสิน) โดยให้ขึ้นลำที่จะเดินทางมายังเอเชียทีค จากนั้นให้เดินทะลุเอเชียทีคมาที่ถนนเจริญกรุง เมื่อข้ามถนนมาก็จะเจอกับซอย โครงการ
|
ที่ตั้ง
|
ซอยเจริญกรุง 93 แขวงวัดพระยาไกร
เขตบางคอแหลม กทม.10120 (ห่างจาก BTS สะพานตากสิน
และจุดขึ้นลงทางด่วนบริเวณถนนจันทร์
2 กม.)
|
ปีที่สร้างเสร็จ
|
คาดว่าแล้วเสร็จปลายปี
2561
|
ค่าส่วนกลางและกองทุน
|
รอข้อมูลจากโครงการ
|
สถานที่สำคัญใกล้เคียง
|
4.Chatrium
Riverside Bangkok 1.3 กม.
5. Four Seasons
Residence และ
Capella
1.5 กม.
6.โรงแรม รามาดา
ริเวอร์ไซด์ และ แม่น้ำ เรสซิเดนท์ 0.6 กม.
|
สิ่งอำนวยความสะดวก
|
|
เส้นทางที่สามารถเข้าออกได้จากตัวโครงการ
-เจริญกรุง-เยาวราช
-เจริญราษฏร์-สาทร
-เจริญราษฏร์-พระราม 3
-รัชดาภิเษก-ท่าพระ
-เจริญราษฏร์-สาทร
-เจริญราษฏร์-พระราม 3
-รัชดาภิเษก-ท่าพระ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น