จาก1ล้านเป็น500ล้านผมทำอย่างไร

จาก1ล้านเป็น500ล้านผมทำอย่างไร
เล่าประสบการณ์การลงทุนของผมที่นำไปใช้ได้ง่ายๆ

วันอังคารที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

อภิมหาดีล CPALL-MAKRO


อภิมหาดีล CPALL-MAKRO



          
       ดีลการเทคโอเวอร์ MAKRO ซึ่งเป็นห้างค้าส่งที่ใหญ่ที่สุดของไทย โดย CPALL ซึ่งเป็นร้านค้าสะดวกซื้อที่มีสาขามากที่สุดในประเทศที่ราคา 787 บาท/หุ้น มูลค่าการเทคโอเวอร์ครั้งนี้ถึงล้านบาท ซึ่งเป็นดีลที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์การเทคโอเวอร์ในประเทศไทย โดยก่อนหน้านี้ดีลใหญ่ที่สุดคือการควบรวมของบริษัทลูกของ STT คือ PTTAR กับ PTTCH ซึ่งมีมูลค่า 165,000 ล้านบาท  โดย CPALL จะซื้อหุ้น MAKRO จากบริษัท SHV NETHERLAND B.V. เป็นจำนวน 154,429,500 หุ้น คิดเป็น 64.35% ของทุนจดทะเบียนทั้งหมดของ MAKRO แล้วจะทำ TENDER OFFER หุ้น MAKRO จากผู้ถือหุ้นรายย่อยในราคาเดียวกัน  ถ้ารายย่อยพร้อมใจกันมาขายหุ้น CPALL ต้องเตรียมเงินสดเป็นจำนวน 188,800,000,000 บาท ซึ่งผมเชื่อว่ารายย่อยน่าจะขายเกือบทั้งหมดเพราะว่าก่อนที่จะมีข่าวนี้  ราคาหุ้น MAKRO อื่นอยู่แถว 500 กว่าบาท (ที่ราคา 550 บาท/หุ้น  MAKRO จะมี TRAILING P/E = 37 เท่า โดยปี 2555 MAKRO มีกำไร 3,556 ล้านบาท ทุนจดทะเบียนเรียกชำระแล้ว 2,400 ล้านบาท  PAR = 10 บาท คิดเป็นกำไร/หุ้น = 14.82 บาท เพิ่ม BOOK VALUE/SHARE = 44.40 บาท) ที่ราคา TENDER ORDER ที่ 787 บาท คิดเป็น TRAILING P/E = 53 เท่า  ทำให้ผมค่อนข้างมั่นใจว่าพวกกองทุนทั้งหลายที่ถือหุ้น MAKRO คงจะนำหุ้น MAKRO ใส่พานถวายให้ CPALL รับไว้เต็มๆ เป็นแน่
       ในฐานะคนวงนอก ผมมีความเห็นว่าราคาที่ CPALL จ่ายเพื่อเทคโอเวอร์หุ้น MAKRO แพงเกินไป ถึงแม้เจ้าสัวธนินท์และเซียนหุ้นหลายคนจะมาออกความเห็นว่าไม่แพงก็ตาม ผมเปรียบเทียบดีลนี้กับดีล BIGC เทคโอเวอร์ CARREFOUR ซึ่งมีมูลค่าเพียง 35,500 ล้านบาท โดย BIGC ได้ 42 สาขาของ CARREFOUR ขณะที่ CPALL จะได้ 57 สาขาของ MAKRO และ 5 สาขาของ SIAM FROZEN ถึงแม้ว่าที่ตั้งสาขาของ MAKRO จะเป็นที่ดินที่ซื้อขาดมากกว่าของ CARREFOUR ก็ตาม  และ SYNERGY ที่ได้ของดีล BIGC น่าจะได้ประโยชน์โดยตรงมากกว่า  เพราะลดคู่แข่งไปได้ 1 ราย และเพิ่มสาขาขึ้นมาอีกมากจนสามารถจะต่อกรกับ TESCO LOTUS ซึ่งเป็นเจ้าตลาดได้ดีขึ้น อำนาจการต่อรองกับ SUPPLIER ก็มีมากขึ้น เพราะว่าสินค้าที่ขายในคาร์ฟูร์ กับ BIGC คล้ายๆ กัน VOLUME ของการสั่งซื้อที่มากขึ้น ก็น่าจะทำให้มาร์จินได้ดีขึ้น ขณะที่สินค้าที่ขายใน ร้าน 7-11 กับที่ขายใน MAKRO น่าจะมีสินค้ารายการเดียวกันจำนวนไม่มาก SYNERGY ที่เกิดขึ้นน่าจะน้อยกว่าดีลของ BIGC ยิ่งไปกว่านั้นลูกค้าที่ซื้อของที่ร้าน 7-11 กับลูกค้าที่ซื้อสินค้าที่ MAKRO แทบจะเป็นคนละกลุ่มกัน  อาจจะมีซ้ำกันบ้างก็ไม่มาก เพราะลูกค้า 7-11 เป็นลูกค้าซื้อปลีกที่ซื้อสินค้าไปอุปโภคบริโภคเอง  ขณะที่ลูกค้า MAKRO จะเป็นพวกซาปั๊วคือซื้อไปขายต่อ  และพวกกลุ่ม HORECA คือกลุ่ม HOTEL RESTAURANT และกลุ่ม CATERING คือกลุ่มที่ซื้อแล้วไปปรุงเป็นอาหารเพื่อขาย  ส่วนการที่เจ้าสัวธนินท์กล่าวว่า จะเริ่มขยายสาขาห้าง MAKRO แบบ AGGRESSIVE กว่าเดิม และจะขยายสาขาไปในประเทศเพื่อนบ้าน  โดยเฉพาะกลุ่มประเทศ CLMV (กัมพูชา ลาว เมียนมาร์ เวียดนาม) ผมว่าคงไม่ได้เห็นในปีนี้  เพราะว่าการจะขยายสาขาทางผู้บริหารคงต้องมีการวางแผนล่วงหน้าดูทำเลหาซื้อที่ดินก่อสร้างสาขาสำหรับในประเทศอย่างเร็วสุดก็ปีหน้า  ส่วนประเทศเพื่อนบ้านอย่างเร็วก็น่าจะเป็นภายใน 2 ปีข้างหน้าถึงแม้ว่าหลังควบรวมกันแล้ว จะทำให้กลุ่ม CPALL-MAKRO กลายเป็นกลุ่ม MODERN TRADE ที่ใหญ่เป็นอันดับ 3 ของเอเชียก็ตาม ข้อดีที่ผมคิดว่าจะได้เห็นก็คือต้นทุน LOGISTICS ของทั้งกลุ่มที่จะแชร์กัน ไม่ว่าจะเป็นการขนส่ง คลังสินค้า ฯลฯ
       ทาง CPALL บอกว่าจะไม่มีการเพิ่มทุน แต่จะใช้กระแสเงินสดภายในกิจการกับเงินกู้สถาบันการเงินในอัตราส่วน 10:90 โดยเงินสถาบันหลักที่ปล่อยกู้ คือ SCB, HSBC, STANDARD CHARTERED , SUMITOMO MITSUI และ UBS โดยคาดว่าอัตราดอกเบี้ยจะอยู่ที่ 3% กว่าๆ เป็นเงินกู้ระยะสั้น 1 ปี ผมลองคำนวณเล่นๆ ว่าอัตราดอกเบี้ย = 3.25% เงินกู้ 180,000 ล้านบาท (ตามข่าวที่เปิดเผย) ดอกเบี้ยจ่ายสำหรับ 1 ปี = 5,850 ล้านบาท MAKRO กำไรปีที่แล้วทั้งปี = 3,556 ล้านบาท สมมุติว่าปี 2556 กำไรโตขึ้น 20% ดังนั้นกำไร = 4,267 ล้านบาท จะเห็นได้ว่ากำไร MAKRO ไม่พอจ่ายดอกเบี้ยให้กับ CPALL ยังขาดไปถึง 1,583 ล้านบาท ซึ่งจะเป็นภาระบั่นทอนกำไร CPALL นี่ยังไม่รวมค่าใช้จ่ายต่างๆ ในการ TAKEOVER ครั้งนี้ รวมทั้งค่าที่ปรึกษาทางการเงินคิดแค่ 1% ก็ปาเข้าไป 1,880 ล้านบาทรวมแล้ว 2 รายการที่พูดถึงก็จะทำให้ CPALL ปี 56 มีผลประกอบการลดลงไปมากทีเดียว  ผมลืมบอกไปว่า เงินกู้ครั้งนี้ 15% อยู่ในสกุลบาท 75% เป็นสกุล US$ และ 10% เป็น CASHFLOW ของ CPALL เอง
       ผมคาดว่าหลัง TAKEOVER MAKRO แล้ว ทางผู้บริหารคงจะนำสาขาต่างๆ ของ MAKRO มารวมกันจัดตั้งเป็นกองทุนอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งก็จะได้เงินก้อนหนึ่งเข้ามาช่วยลดหนี้ แต่เมื่อเทียบกับยอดเงินกู้ 180,000 ล้านบาท ก็คงจะลดลงมาได้ไม่มากนัก ทางผู้บริโภคจะทำอย่างไรเมื่อหนี้เงินกู้ระยะสั้น 1 ปีครบกำหนด จะมีการ ROLLOVER LOAN หรือออกเป็นหุ้นกู้หรือเพิ่มทุนก็ยังไม่แน่ชัด แต่ถ้าเป็น LOAN หรือหุ้นกู้ระยะยาวขึ้น ดอกเบี้ยน่าจะไม่ใช่แค่ 3.25% เป็นแน่ ยิ่งดอกเบี้ยปีหน้าเป็นขาขึ้นแล้ว ยิ่งจะทำให้ภาระดอกเบี้ยคงจะสูงขึ้น แต่เมื่อคำนึงถึงการตั้งกองทุนอสังหา อัตราดอกเบี้ยจ่ายที่สูงขึ้นคงจะ OFFSET กับภาระหนี้ที่จะลดลง ถ้าปี 2557-2558 MAKRO ทำกำไรได้โตปีละ 25% ปี 2557 กำไร MAKRO ที่ทำได้ก็ยังไม่พอจ่ายดอกเบี้ย ต้องรอปี 2558 กำไรที่ทำได้จึงจะมากกว่า ภาระดอกเบี้ยจ่าย ผมขอย้ำนะครับว่าถ้า MAKRO ทำกำไรปี 56,67,58 โต 20,25,25% ตามลำดับ แต่ถ้าทำไม่ถึง ภาระดอกเบี้ยก็จะถูกแบกโดยผู้ถือหุ้น CPALL ซึ่งกำลังจะมี DEBT/EQUITY RATIO = 6 เท่า หลังจากกู้เงินเพื่อดีลนี้ นี่ผมยังไม่ได้พูดถึงการชำระหนี้เริ่มต้นเลยนะครับ ถ้าไม่เพิ่มทุน  เงินต้นคงจะเริ่มผ่อนจ่ายได้ในปี 2558 นั่นหมายความว่า D/E จะอยู่ที่ประมาณ 6 เท่า จนถึงสิ้นปี 2557 เสน่ห์ของหุ้นที่มีการเติบโตของกำไรสูงและหนี้ต่ำคงหมดไปในปี 2556 และ 2557
       เรามาดูกันนะครับว่าราคา CPALL จะมีแนวโน้มเป็นอย่างไร แต่ที่แน่ๆ หลังประกาศดีลนี้ 2 วันแรก ถูกขายเทกระจาดลงมาทำ LOW ที่ 38.50 บาท โดย 2 วันนั้น ฝรั่ง NET SELL วันละ 2-3 พันล้านบาท ไม่รู้ว่าเป็นการขาย CPALL หรือเปล่า จะลงทุน CPALL ลองขวนขวายหาข้อมูลประกอบการตัดสินใจมากๆ หน่อยนะครับ

      CPALL will use its resources to MAKRO, so now on, the expansion of the new branches will be mostly via franchising.In the meaning time,Central group'TOP daily(Familymart) will be more aggressive,and 108 shop will turn to be Lawson shop(The second largest chain in Japan).It seems to be the very tough time for CPALL.After takeover MAKRO, CPALL's stockholders have to wait till 2015 to see the better performance. Are u ready to wait till that time?Let IT,SE-ED & BIGC be your lessons that the retail sector can be negative growth in earning.U can expect the intensive competition among the players in the sector.With the VERY HIGH P/E OF THIS SECTOR,u should seriously selective buy or invest in the other sectors which the same or better growth but lower P/E.

ติดตามแนวทางการลงทุนของผมได้ที่
และ BLOG : http://kitichai1.blogspot.com
หรือหนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ทุกวันพุธหน้า B6 หรือหน้า B10
 และนิตยสารคนรวยหุันCondo Guide, Stock Review, Me(Market Evolution), Glow และ Lisa  ทุกเดือน

                            กิติชัย เตชะงามเลิศ
ขาย คอนโด วิช สามย่าน เดิน 2 นาที จาก รถไฟใต้ดิน สถานี สามย่าน ราคาต่ำกว่าโครงการสุด ๆ 2 ห้อง(ชั้น19) ราคา 4.2 ล้าน
                
   โครงการนี้มี 25 ชั้น มีจำนวนห้องทั้งหมด ประมาณ 500 ยูนิต, ถนนสี่พระยา บางรัก ห่างจาก สถานี รถไฟใต้ดิน  สามย่าน ประมาณ 100 เมตร ใกล้ อาคารจามจุรีสแควร์ ตลาดสามย่าน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เตรียมอุดมศึกษา สาธิตจุฬา อาคารชาญอิสระ โรงพยาบาลจุฬาฯ สวนลุมพินี ฯลฯ  มีสวนลอยฟ้า สระว่ายน้ำพร้อมสระเด็ก และห้องออกกำลังกาย ที่ชั้น 19    
การเดินทางโดยทางด่วน
ขึ้นลง ทางด่วนสามย่าน หัวลำโพง
ขึ้นลง ทางด่วนเชื้อเพลิง พระรามสี่
ขึ้นลง ทางด่วนสุรวงศ์ สีลม
      การเดินทางโดยรถประจำทาง สายที่ผ่าน คือ 1 , 16 ,36 , 45 , 75, 93 และ 187

   ห้องที่จะขายอยู่ชั้น 19
1.ห้อง  18/112  ชั้น 19   พื้นที่ 36.51 ตรม. ราคา 4,200,000 บาท ชั้นนี้ มีสวนลอยฟ้า     ให้เช่าห้อง 22,000 บาท/เดือน
2.ห้อง  18/113  ชั้น 19   พื้นที่ 36.51 ตรม. ราคา 4,200,000 บาท ชั้นนี้ มีสวนลอยฟ้า     ให้เช่าห้อง 22,000 บาท/เดือน

  โปรโมชั่นพิเศษ  เข้าอยู่ได้เลย ฟรีค่าใช้จ่ายทุกรายการ พร้อมของแถมเพียบ
- ฟรีเงินกองทุนคอนโด มูลค่าเกือบ 20,000 บาท
- ฟรีเงินค่ามิเตอร์น้ำ/ไฟ มูลค่า 3,250 บาท


หมายเหตุ ทุกห้องของผมวิวดี ไม่มีตึกบัง

ดู VDO ที่ผมถ่ายภายในห้อง ที่ http://youtu.be/Y9j1a7pm-xk

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น