ผมเตือนให้ขายทองทิ้งตั้งแต่ปีที่แล้ว
บทความ 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ผมเขียนไว้ล่วงหน้าก่อนผมจะเดินทางไปเที่ยวประเทศอินเดียระหว่างวันที่ 4-18 เมษายนที่ผ่านมา จริงๆ แล้วสัปดาห์ที่ผ่านมา ผมอยากจะเขียนเรื่องทองที่ราคาตกวินาศสันตะโร จนทำให้นักลงทุนและผู้ที่มีทองครอบครองไว้ ขาดทุนกันระเนระนาด ถ้าท่านผู้อ่านได้อ่านหนังสือ “จาก 1 ล้าน เป็น 500 ล้าน ผมทำอย่างไร” ที่ผมเขียนและออกจำหน่ายเมื่อกลางปีที่ผ่านมา และปฏิบัติตามคำแนะนำในหนังสือ ก็คงไม่ต้องทุกข์กับภาวะขาดทุนจากภารกิจถือครองทองไม่ว่าจะเป็นทองคำแท่ง ทองรูปพรรณ Gold Future หรือกองทุนที่ลงทุนในทองคำ ผมจำได้ว่านายจอร์จโซรอส และนักวิเคราะห์หลายๆ รายเชียร์ให้ซื้อทองคำ โดยคาดการณ์ว่าทองจะวิ่งไปที่ 2,000 $ /OUNCE แต่ผมเขียนในหนังสือไว้ว่า ตั้งแต่ปีที่แล้วว่าควรหลีกเลี่ยงการลงทุนในทองคำเพราะว่าเสน่ห์ของมันจะน้อยลงเรื่อยๆ QE ของ FED ทำให้เศรษฐกิจของญี่ปุ่นมีแนวโน้มดีขึ้น เมื่อเศรษฐกิจของประเทศอันดับหนึ่งกับอันดับ 3 ดีขึ้น ความต้องการที่จะลงทุนในทองน่าจะน้อยลง และโอกาสที่ FED ติดต่อกัน 2-3 เดือน การยุติ QE ก็น่าจะได้เห็นกัน ค่าเงินดอลลาร์คงจะเริ่มแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับเงินสกุลอื่นๆ และจะส่งผลกระทบให้กับราคาทองคำในตลาดโลกให้หล่นลงไปได้อีก การถึอครองทองนั้นจริงๆ แล้วมีค่าใช้จ่ายโดยเฉพาะท่านที่ถือทองคำแท่ง ผมเชื่อว่าท่านคงต้องเก็บรักษาไว้โดยการฝากในตู้นิรภัยของธนาคารซึ่งต้องเสียค่าเช่าตู้เป็นรายปี และท่านคงต้องมีเงินฝากเป็นหลักล้านบาทขึ้นไป ทางธนาคารจึงจะให้ท่านเช่าตู้ดังกล่าวได้ การซื้อหุ้นท่านยังได้รับเงินปันผล การซื้อหุ้นกู้หรือพันธบัตร ท่านจะได้ดอกเบี้ย การซื้อคอนโดให้เช่า ท่านก็ได้ค่าเช่า แต่การซื้อทองท่านจะไม่มีรายได้อะไรเลยถ้าราคาทองไม่ขึ้น อย่างดีก็ได้แค่ลูบๆ คลำๆ ทองแท่งของท่านเท่านั้น เรามาดูราคาทองในอดีต ช่วงปี 2513 ถึง 2523 ทองขึ้นจาก 35$ ไปทำจุดสูงสุดที่ 835 $ เพิ่มขึ้น 2,286 % หลังจากนั้นราคาทองก็ดิ่งลงไปเรื่อยๆ จนเหลือราคาเพียง 300$ ลดลงไปถึง 64% ภายใน 3 ปี หลังจากนั้นก็ Sideway ในช่วงราคาหนึ่ง แล้วลงไปทำจุดต่ำสุดที่ 250$ ในปี 2542 ลองจินตนาการดูสิครับ ถ้าท่านซื้อทองไว้ตอน 800$ ในปี 2523 ท่านจะตกอยู่ในสถานใดในช่วงระหว่างปี 2523-2526 ไม่รู้คราวนี้ท่านที่ถือทองไว้ในช่วงนี้ จะเจอประสบการณ์เดียวกับนักลงทุนทองยุคนั้นหรือไม่ ผมคิดว่ามีโอกาสครับ แต่ความรุนแรงอาจจะน้อยกว่าอย่าลืมนะครับ คนไทยที่ซื้อทองโดน 2 เด้งนะครับ จากราคาทองโลกที่ลดลง และค่าเงินบาทที่แข็งเอาแข็งเอาทุกวัน จนเราเห็นเงินบาทที่ 28.58 บาท เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาและทาง UBS ก็คาดการณ์ว่าปีนี้จะเห็นเงินบาทที่ 28 บาทและปีหน้าที่ 27 บาท ยิ่งทำให้ราคาทองในประเทศที่โค้ดราคาเป็นบาท ยิ่งต่ำลง การที่นักวิเคราะห์คาดการณ์กันว่าเป็นเพราะไซปรัสจะหอบทองออกมาขายในตลาดประมาณ 10 ตัน จากที่ถืออยู่ 15 ตัน ซึ่งผมคิดว่าเป็นปริมาณที่น้อยเมื่อเปรียบเทียบมูลค่าซื้อทองคำของทั้งโลก ช่วงนี้น่าจะเป็นผลทางจิตวิทยาเล็กๆ เท่านั้น ช่วงนี้เราจะเห็นนักวิเคราะห์เปลี่ยนคำแนะนำเป็นขาย หรือลดการถือครองทองคำ โกลด์แมน แซคส์ ที่เคยเชียร์ซื้อทองคำปีที่แล้ว ตอนนี้ก็เชียร์ขายแล้ว จอร์จโซรอสที่เชียร์ซึ่งเหมือนกันเมื่อปีที่แล้ว ตอนนี้ก็มีข่าวว่าแกลดการถือครองลงไปมากกว่าครึ่งแล้ว ตอนนี้นักลงทุนเริ่มมองเห็นว่าทองค่ำ ไม่ใช่ SAFE HAVEN อีกต่อไปแล้ว ยิ่งอัตราเงินเฟ้อของโลกยังอยู่ในอัตราที่ค่อนข้างต่ำ ทั้งๆ ที่รัฐบาลกลางของประเทศเศรษฐกิจหลักๆ ของโลกไม่ว่าจะเป็นสหรัฐ EU UK ญี่ปุ่น ปั๊มเงินออกมาในท้องตลาดมากมายมหาศาลขนาดนี้ ราคาของ COMMODITY ก็ไม่ได้พุ่งไปสักเท่าใด ราคาน้ำมันก็มีแต่ทรงกับทรุด ดูๆ แล้วก็น่าหนักใจแทนคนรวยที่ถือทองไว้ ไม่ว่าในรูปแบบใดก็ตาม กลายเป็นทุกข์ของคนรวยจริงๆ ทองคำรอบนี้วิ่งติดต่อมาราธอนมายาวนานถึง 12 ปี จากราคาต่ำสุดแถว 258$ ในเดือนมีนาคม ปี 2544 จนขึ้นมาสูงสุดที่ 1,924$ เมื่อเดือนกันยายนปี 2554 รวมแล้วขาขึ้นรอบนี้ ทองวิ่งมาราธอนขึ้นมา 646% น้อยกว่ารอบก่อน (ปี 2513-2523) ซึ่งขึ้นมา 2,286% ดังนั้น รอบนี้การปรับตัวลงไม่ลงแรงเหมือนรอบนั้นที่ปรับตัวลงถึง 64% ผมคาดว่าช่วงนี้อาจจะมีการเด้งขึ้นจากการขายมากเกินไป แล้วคงจะมีการปรับตัวลงอีกรอบ แนวรับในระยะยาว ผมคิดว่า น่าจะอยู่แถวๆ 1,100$ แต่คงจะไม่เห็นราคานี้ในเร็วๆ นี้หรอกครับ แต่เขียนแปะข้างฝาไว้ก่อนได้นะครับ ในระยะปานกลางถึงยาวเราน่าจะเห็นทองที่ราคานี้แน่ครับ คนที่ยังไม่มีก็ไม่ต้องรีบร้อนเข้าไปซื้อ หรอกครับ จริงๆ แล้วถ้าเรามองว่าทองเป็นขาลงแล้ว ก็ไม่อยากแนะนำให้ลงทุนนะครับ โอกาสเสียมากกว่าได้ โดยเฉพาะพวกที่เล่น Gold Future ป่านนี้รักษาบาดแผลหายดีหรือยังครับ คนที่จะเอาทองคำไปจำนำช่วงปลายเดือนก่อน คงปล่อยให้ทองหลุดจำนำไปหมดแล้ว เพราะเอาเงินไปซื้อทองใหม่ยังคุ้มกว่า ได้เงินไปใช้ก่อนฟรีๆ ไม่มีดอกเบี้ย แถมยังได้กำไรอีกด้วย ร้อยวันพันปีจึงจะเจอเหตุการณ์แบบนี้นะครับ
ดูนักลงทุนดูชาวบ้านแล้ว
เรามาดูธนาคารกลางของชาติต่างๆ นะครับว่าชาติไหนถึงครองทองคำมากสุด 5
อันดับแรก
1)
สหรัฐ 8,133.50
ตัน คิดเป็นสัดส่วนของทุนสำรอง
76%
2)
เยอรมัน 3,391.30
ตัน คิดเป็นสัดส่วนของทุนสำรอง 73%
3)
IMF 2,814 ตัน คิดเป็นสัดส่วนของทุนสำรอง N/A
4)
อิตาลี 2,451.80
ตัน คิดเป็นสัดส่วนของทุนสำรอง 72%
5)
ฝรั่งเศส 2,435.40
ตัน คิดเป็นสัดส่วนของทุนสำรอง 71%
25) ไทย 152.40 ตัน คิดเป็นสัดส่วนของทุนสำรอง 4%
59) ไซปรัส 13.90 ตัน คิดเป็นสัดส่วนของทุนสำรอง 58.30%
ดูแล้วทุนสำรองของไทยเราได้รับผลกระทบน้อยมากเมื่อเทียบกับชาติอื่นๆ
ครับ สบายใจได้ ผมหวังว่าการตกลงของราคาทองรอบนี้ จะทำให้การลงทุนของทุกๆ
ท่านมีความระมัดระวังมากขึ้น และผมเคยย้ำเสมอว่า การถือครองทองคำ ไม่ควรจะเกิน 5.10%
ของพอร์ตการลงทุนทั้งหมดของท่านนะครับ “ข้อควรคำนึงอย่างหนึ่งนะครับในปี
2543 ราคาทองอยู่แถว 270-300 ขณะที่ดัชนี
S&P ของสหรัฐอยู่ที่แถว 1,500 จุด
ปัจจุบันราคาทองถึงแม้ระยะสั้นจะลงมามาก แต่ยังอยู่แถว 1,400 จุด ขณะที่ S&P ของสหรัฐอยู่ที่ 1,555 จุด ท่านคงจะเห็นอนาคตของราคาทองเมื่อเทียบกับ S&P ได้นะครับ”
ท่านที่ยังไม่เคยอ่านหนังสือของผม
ซึ่งเนื้อหาเกี่ยวกับการลงทุนในหุ้นและอสังหา
ก็ลองซื้อหาอ่านดูนะครับตามร้านหนังสือทั่วไปครับ
ติดตามแนวทางการลงทุนของผมได้ที่
TWITTER : http://twitter.com/value_talk
YOUTUBE : http://www.youtube.com/user/wittayu9
หรือหนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ทุกวันพุธหน้า B6 หรือหน้า B10
และนิตยสารคนรวยหุัน, Condo Guide, Stock Review, Me(Market Evolution), Glow และ Lisa ทุกเดือน
กิติชัย เตชะงามเลิศ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น