MEGA
PROJECT 2.20 ล้าน จะใช้อย่างไร
บทความฉบับนี้ ผมเขียนเมื่อ 20
เมษายนที่ผ่านมา หลังจากอ่านการโต้คารมกันระหว่างคุณกิตติรัตน์ ณ
ระนอง รมต.คลังคนปัจจุบันกับคุณกรณ์ จาติกวณิช อดีตรมต.คลัง ในเรื่องของ MEGA
PROJECT 2.20 ล้านล้านบาท ทำให้คันมือคันไม้อยากเขียนถึงครับ
ก่อนอื่นเรามาดูว่าประเทศไทยเราต้องการโครงการเหล่านี้หรือไม่ ในความเห็นของผม
ผมเห็นด้วยอย่างยิ่งว่าประเทศเราต้องการครับ เราขาดการลงทุนสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน
โดยเฉพาะด้านการคมนาคม LOGISTICS มาหลายปีแล้ว ต้นทุน LOGISTICS
เราสูงมากเมื่อเทียบกับประเทศที่เจริญแล้ว
หรือแม้เทียบกับประเทศเพื่อนบ้านเราอย่างมาเลเซีย โดยของไทยอยู่ที่ 18-20% ของ GDP ในขณะที่มาเลเซียอยู่ที่ 13% ยิ่งถ้าไปเทียบกับสิงคโปร์ซึ่งอยู่ที่ 8% ด้วยแล้วจะเห็นได้ชัดว่า
นี่เป็นความจำเป็นเร่งด่วนสำหรับไทยที่เป็นประเทศที่พึ่งพาการส่งออกมากกว่า 70%
ต้องรีบแก้ไขปรับปรุง ก่อนที่จะกลายเป็นประเทศที่ล้าหลัง
พลอยจะทำให้ความสามารถในการแข่งขันของเราตกอันดับไปเรื่อยๆ ไม่อยากเห็นชาติอื่นๆ
ที่เคยล้าหลังกว่าเรา อย่างเช่น อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์
จะเร่งแซงเราไปเหมือนกันมาเลเซียที่ทิ้งเราจนไม่เห็นฝุ่นไปแล้ว ถึงแม้โครงการต่างๆ
เหล่านี้จะต้องใช้เงินจำนวนมากมหาศาล พร้อมกับภาระการชำระหนี้ 50 ปี แต่ผมว่ามีความจำเป็นนะครับ
ยิ่งอัตราดอกเบี้ยในช่วงนี้อยู่ในระดับที่ค่อนข้างต่ำ เมื่อเทียบกับในอดีต
โดยคาดว่าภาระดอกเบี้ยของพันธบัตรเงินกู้ครั้งนี้น่าจะอยู่ที่ 4.40-5%
เท่านั้น สำหรับพันธบัตรอายุ 50 ปี
ผมว่าค่อนข้างต่ำใช้ได้เลยทีเดียว ซึ่งการออกพันธบัตรชุดนี้ออกมา
เป็นการยิงปืนนัดเดียวได้นกหลายตัวเลยทีเดียวครับ
เพราะว่าช่วงนี้ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นมากและเร็ว
ทำให้เป็นภาระของธนาคารแห่งประเทศไทยที่ต้องเข้ามาดูแลค่าเงินมีสภาพคล่องส่วนเกินมหาศาล
ที่ธปท.ต้องดูแลในการดูดซับออกโดยการออกพันธบัตรของธปท.
ทำให้ธปท.มีภาระต้องจ่ายดอกเบี้ยพันธบัตรดังกล่าว
ส่วนเงินที่ได้เข้ามาธปท.ก็ไปลงทุนในพันธบัตรของสหรัฐหรืออื่นๆ
ที่ได้ผลตอบแทนต่ำกว่า ส่งผลให้ธปท.ต้องประสบปัญหาขาดทุนมากกว่า 1 หมื่นล้านบาทต่อเดือน เป็นภาระที่หนักอึ้งทีเดียว
การที่รัฐบาลออกพันธบัตรเงินกู้ ก็จะเป็นการช่วยดูดซับสภาพคล่องในตลาดไปเสียเอง
เป็นการลดภาระของธปท.ทางอ้อม โดยเป็นการนำเงินเพื่อไปพัฒนาประเทศ แก้จุดบอดต่างๆ
ของเศรษฐกิจไทย เงินส่วนที่ทางรัฐบาลจะนำไปใช้ในด้าน LOGISTICS ของประเทศ เป็นสิ่งที่น่าสนับสนุน โดยคุณกรณ์เห็นว่า
รัฐบาลควรจะนำเงินไปใช้ในด้านการศึกษาและสาธารณสุขมากกว่า จริงอยู่ ทั้ง 2 ด้านนั้นก็เป็นสิ่งสำคัญ แต่ผมเห็นด้วยกับคุณกิตติรัตน์ ว่า
ถ้านำเงินนั้นไปใช้ใน 2 ด้านนั้น จะไม่มีผลต่อการเติบโต GDP
ของประเทศ เมื่อเทียบกับทางด้าน LOGISTICS เพราะเมื่อ
GDP โต ก็จะทำให้คนในชาติและประเทศมีรายได้มากขึ้น
รัฐบาลเก็บภาษีได้มากขึ้น
รัฐก็มีความสามารถในนำงบประมาณรัฐไปใส่ในการศึกษาและด้านสาธารณสุขได้มากขึ้น
ประชาชนเองมีรายได้มากขึ้นก็สามารถจะเข้าถึงหน่วยงานด้านสาธารณสุขได้มากและดีขึ้น
รวมถึงสามารถจะเข้ารับการศึกษาที่มีคุณภาพมากขึ้น
อย่าลืมนะครับว่าพันธบัตรที่ธปท.ออกมาเพื่อดูดสภาพคล่องนั้น เป็นเงินที่ดูดไป
ไม่ได้ไปใช้ทำประโยชน์อะไรนอกจากเพื่อจะดูดสภาพคล่องออกจากตลาดไปเท่านั้น
และตามมาด้วยภาระขาดทุนจากการออกดังที่ผมกล่าวมาข้างต้น ขณะที่พันธบัตรเงินกู้ของรัฐชุดนี้สามารถเอาไปใช้พัฒนาประเทศ
ผมเห็นด้วยอย่างยิ่งกับ รมต.คลัง เรื่อง ธปท.ควรจะลดดอกเบี้ยในประเทศลงอีก ในสภาวะที่มีเงินร้อนไหลเข้ามาในประเทศไทยมากมายในขณะนี้
ยิ่งขณะนี้มีเงินจากญี่ปุ่นจากมาตรการ QE ของญี่ปุ่นที่จะปั๊มเงินออกมาอีกมากมายทุกเดือน
ถ้าผมเป็นผู้ออมเงินชาวญี่ปุ่น
ผมคงจะหาทางแลกเงินเยนเป็นเงินสกุลอื่นที่มีแนวโน้มแข็งค่าแบบเงินบาทและซื้อพันธบัตรไทยระยะ
1-3 ปี เพราะว่าอัตราดอกเบี้ยก็สูงกว่า
ซื้อพันธบัตรญี่ปุ่นและค่าเงินเยนยังมีแนวโน้มอ่อนค่าต่อเนื่องไปได้อีกแบบนี้
ถ้าผมเป็นผู้ว่า ธปท. ในเมื่อเห็น DEMAND มากขนาดนี้
เรื่องอะไรผมจะให้อัตราดอกเบี้ยสูงๆ ไปทำไม เป็นภาระค่าใช้จ่ายของผมเอง
ซ้ำร้ายเงินที่ได้จากการขายพันธบัตร ผมกลับต้องไปซื้อพันธบัตรของหลักๆ กลับมา
ซึ่งล้วนแล้วแต่อัตราดอกเบี้ยยังต่ำกว่าของผมอีก ทั้งๆ ที่แนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจประเทศเหล่านั้นยังแย่กว่าของเราเสียอีก
จริงอยู่หน้าที่ของธปท. คือดูแลเรื่องค่าเงินสภาพคล่อง อัตราเงินเฟ้อ
ของประเทศให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม การที่จะลดอัตราดอกเบี้ย
อาจจะทำให้เกิดภาวะเงินเฟ้อในประเทศไทยได้ แต่ในสภาวะที่อัตราเงินเฟ้อในประเทศค่อนข้างต่ำในขณะนี้
และค่าเงินบาทที่แข็งค่า ก็มีส่วนกดให้อัตราเงินเฟ้อยังอยู่ในอัตราต่ำแบบนี้ได้อีก
ยังไม่พูดถึงเครื่องมือที่ธปท.หลายเครื่องมือ อาทิ เช่น การกำหนดค่า LTV ซึ่งถือว่าผ่อนปรับอย่างมากเมื่อเทียบกับเพื่อนบ้าน เรามาดูของเพื่อนบ้านเรานะครับ
LTV (LOAN TO VALUE) คืออัตราส่วนการปล่อยกู้ที่ธนาคารให้แก่ผู้กู้ตามอัตราส่วนเมื่อเทียบกับมูลค่าของอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นหลักประกัน
LTV บ้านหลังแรก บ้านหลังที่ 2 บ้านหลังที่ 3
ขี้นไป
จีน 70 40 0-40%
ฮ่องกง 50-70 50-70 50-70% (1)
สิงคโปร์ 60-80 40-80 40-80% (2)
ไทย 90-95 90-95 90-95% (3)
หมายเหตุ
:
1. ถ้ารายได้ส่วนใหญ่มาจากนอกฮ่องกง
LTV
= 40-60% และ LTV จะผันแปรผกผันกับมูลค่าของหลักประกัน
2. ถ้าระยะการกู้นานกว่า
30
ปี หรือผ่อนจนถึงอายุ 65 ปี LTV = 60% สำหรับบ้านหลังแรกและ 40% สำหรับบ้านหลังที่ 2
3. คอนโด
=
90% อสังหาริมทรัพย์แนวราบ = 95%
ถ้าธปท. เริ่มมองเห็นการเก็งกำไรมากเกินไป
อัตรา LTV ยังมีช่องกว้างที่ ธปท. จะดำเนินการได้
และการดำรงเงินทุนสำรองของธนาคารพาณิชย์ต่อเงินกู้ประเภทต่างๆ
ธปท.สามารถเพิ่มอัตราเงินทุนสำรองในประเภทของหนี้ที่ธปท.
เห็นว่ามีการขยายตัวมากเกินไป หรือมีอัตราหนี้เสียสูง การที่อัตราดอกเบี้ยในประเทศต่ำ
ก็จะทำให้ธุรกิจไทยมีความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลกสูงขึ้น อย่าลืมนะครับดอกเบี้ยจ่ายเป็นต้นทุนอย่างหนึ่งของธุรกิจ และพวก SME จะมีโอกาสเข้าถึงเงินกู้และมีภาระดอกเบี้ยลดลง
ความอยู่รอดของธุรกิจก็จะมากขึ้นนะครับ
ส่วนที่คุณกรณ์สนับสนุนการสร้างรถไฟรางคู่แทนที่จะเป็นรถไฟความเร็วสูง ข้อนี้
ผมเห็นด้วยกับคุณกรณ์เป็นอย่างยิ่งครับ
เพราะว่าต้นทุนในการก่อสร้างจะถูกกว่ามากและยังจะใช้ทั้งขนคนและขนของได้ในราคาที่ถูกกว่ามาก
รัฐไม่จำเป็นต้องมาอุดหนุนโดยการลดราคาค่าโดยสารรถไฟความเร็วสูงให้ต่ำ เพื่อดึงดูดให้คนมาใช้บริการ
ซึ่งส่วนใหญ่น่าจะเป็นคนมีฐานะปานกลางขึ้นไป
ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่รัฐไม่ควรจะนำงบประมาณมาอุดหนุนคนกลุ่มนี้เราก็เห็นการขาดทุนของ
AIRPORT RAIL LINK แล้วนะครับ
จำนวนผู้โดยสารก็น้อยราคารัฐก็ต้องอุดหนุน ยอมขาดทุน เป็นการลงทุนที่ไม่คุ้มค่า
บทเรียนมีแล้ว อย่าให้มันซ้ำซากนะครับ นี่เป็นภาษีของประชาชนทั้งประเทศนะครับ
ใช้กันให้คุ้มค่าหน่อยครับแต่ถ้าดื้อรั้นจะทำให้รถไฟความเร็วสูงจริงๆ
ผมดูรายงานของ TDRI แล้วระบบของประเทศสเปน
น่าจะคุ้มค่าที่สุด นอกจากความเร็วจะสูงสุดคือ 350 กม./ชม. แล้วต้นทุนการก่อสร้างเพียง 10 ล้าน$/กม. โดยสามารถใช้รางร่วมกับรถไฟปกติได้ด้วย
ติดตามแนวทางการลงทุนของผมได้ที่
TWITTER : http://twitter.com/value_talk
YOUTUBE : http://www.youtube.com/user/wittayu9
หรือหนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ทุกวันพุธหน้า B6 หรือหน้า B10
และนิตยสารคนรวยหุัน, Condo Guide, Stock Review, Me(Market Evolution), Glow และ Lisa ทุกเดือน
กิติชัย เตชะงามเลิศ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น