จาก1ล้านเป็น500ล้านผมทำอย่างไร

จาก1ล้านเป็น500ล้านผมทำอย่างไร
เล่าประสบการณ์การลงทุนของผมที่นำไปใช้ได้ง่ายๆ

วันพุธที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

ทิศทาง SET INDEX หลังรัฐประหาร

ทิศทาง SET INDEX หลังรัฐประหาร
          ในที่สุดการขัดแข้งของสังคมไทยก็หยุดลง (ชั่วคราว?) หลังจากมีการทำรัฐประหารโดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช) ซึ่งมีพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชาเป็นหัวหน้าคณะถึงแม้จะมีการประท้วงเป็นหย่อมๆ อยู่บ้าง แต่ดูเหมือนว่าบ้านเราเริ่มมีความสงบมากขึ้น ไหนๆ ก็ทำรัฐประหารแล้ว ผมอยากให้ คสช.ตราไว้ในกฎหมายรัฐธรรมนูญที่จะร่างขึ้นใหม่ว่าห้ามพรรคการเมืองหาเสียงโดยใช้นโยบายประชานิยม และบริหารบ้านเมืองต่อแต่ไปนี้ห้ามนำนโยบายประชานิยมมาใช้อีกต่อไป เราได้เห็นบทเรียนไม่ว่าจะเป็นนโยบายจำนำข้าว นอกจากจะสร้างความเสียหายแก่งบประมาณรัฐเป็นเม็ดเงินมหาศาลข้าวที่เก็บไว้ในโกดังเสียหายและสูญหาย ราคาข้าวก็ตกต่ำลงทุกครั้งเมื่อมีข่าวว่ารัฐบาลจะเอาข้าวในโกดังออกมาโละขาย มีการทุจริตเกือบทุกขั้นตอน จนปปช.ชี้มูลความผิด ชาวนาจำนำข้าวไปนานแล้ว ก็ยังไม่ได้เงินพออกมาทางเงินจำนำข้าว ก็ยังถูกแดกดันว่าให้กินใบประทวนไปก่อน จนชาวนาหลายคนต้องผูกคอตาย หรือโครงการรถคันแรก ที่ทำให้รัฐต้องนำงบประมาณที่ควรจะไว้พัฒนาประเทศไม่ว่าจะเป็นการสร้างสาธารณูปโภคต่างๆ กลับนำมาสนับสนุนโครงการนี้นอกจากจะทำให้ถนนที่มีไม่เพียงพอกับปริมาณรถอยู่แล้ว ยิ่งสร้างปัญหาการจราจรมากขึ้น การที่รถยนต์ต้องมาจอดแช่กลางถนนเพราะว่ารถติดทำให้ประเทศเราต้องสูญเสียเงินตราต่างประเทศมากขึ้นจากการนำเข้าน้ำมันมากขึ้น นอกจากนั้นอุบัติเหตุบนท้องถนนก็มีมากขึ้น จากกลุ่มมือใหม่หัดขับ พวกที่ซื้อรถในโครงการนี้ที่ใช้เงินผ่อนบางรายก็ต้องถูกยึดรถไป เพราะว่าผ่อนไม่ไหว จากการที่ไม่วางแผนทางการเงินให้ดีและบางส่วนก็ได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจบ้านเราที่มีการเติบโตแย่ลงมาตลอดในช่วง 2 ปีนี้ กลุ่มที่จองแล้วทิ้งใบจองไปก็มีมากมายสร้างปัญหาต่อกลุ่มผู้ผลิตรถยนต์ เพราะว่าได้รับเร่งผลิตรถยนต์เพื่อมาตอบสนองความต้องการของลูกค้า อุตส่าห์ให้พนักงานทำงานกันวันละ 3 คาบเวลา แล้วยังเร่งไม่ทัน แต่พอผลิตรถยนต์ออกมาได้ กลับมีการคืนใบจองกันมากมาย จนบริษัทรถยนต์ต่างๆ ต้องจัดโปรโมชั่นลดแลกแจกแถม เพื่อดึงดูดให้คนมาซื้อรถยนต์ โดยบางแคมเปญคำนวณแล้วยังถูกกว่าโครงการรถคันแรกเสียอีกถึงขนาดทำให้บางคนทิ้งใบจองที่ได้สิทธิโครงการรถคันแรกที่ต้องมีเงื่อนไขผูกมัด ในขณะที่แคมเปญใหม่ๆ ในช่วงนั้นของบริษัทรถยนต์ดีกว่าและไม่มีเงื่อนไขผูกมัด ที่น่าสงสารอีกกลุ่มคือพวก Supplier ต่างๆ ที่ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ให้กับบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ต่างขยายกำลังการผลิต บางรายมีการสั่งซื้อเครื่องจักรใหม่และรับพนักงานใหม่เข้ามาหมากเพื่อมารองรับคำสั่งซื้อที่เพิ่มขึ้นมามาก แล้วถูกลดคำสั่งซื้อลงจะกลับตัวก็ไม่ท้นแล้ว โดยเฉพาะกลุ่ม Second tier supplier นี้จะน่าสงสารมาก เพราะว่าบางรายในกลุ่มนี้ เป็นโรงงานเล็กๆ ใช้สินเชื่อธนาคารเพื่อขยายกำลังการผลิตแล้วถูก Stop order สภาพกล่องหมุนไม่ทัน บางรายก็ต้องกลายเป็น NPL ไป สิ่งเหล่านี้เป็นอุทาหรณ์สอนใจให้คอยเตือนใจเราถึงความชั่วร้านของนโยบายประชานิยมที่ฉาบหน่าด้วยความสวยงาม

          กลับมาที่ตลาดหุ้นบ้านเรา หลังจากที่มีการทำรัฐประหารแล้วปรากฏว่าตลาดหุ้นเรามีความแข็งแกร่งมาก มีการปรับตัวลดลงของดัชนี SET INDEX น้อยลงกว่าทุกๆ รอบที่มีการทำรัฐประหารครั้งก่อนๆ นักลงทุนรายย่อยไทยส่วนใหญ่เริ่มกลายเป็นกลุ่ม“สีทนได้”ยืนหยัดต่อกรกับแรงขายของต่างขาติที่เป็นกลุ่ม “สีทนได้” ที่มีการขายสุทธิวันละ 3,000-6,000 กว่าล้าน เท่าที่ผมติดตามการเคลื่อนไหวของดัชนีตลาดหุ้นไทย ผมรู้สึกว่าตลาดหุ้นไทยช่วงที่ผ่านมาค่อนข้างแข็งแกร่ง แม้มีข่าวร้ายเข้ามาอยู่เรื่อยๆ ก็ตาม คงสร้างความแปลกใจให้ใครหลายๆ คนรวมทั้งผมด้วย ทั้งๆ ที่ยังมีข่าวร้ายๆ รออยู่ ไม่ว่าจะเป็นการลดลงของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่จะเดินทางเข้ามาในประเทศไทย FDI และการขยับขยายกิจการคงต้องหยุดชะงักลงการปรับลดคาดการณ์ของผลประกอบการหลังจากที่ตัวเลข GDP ไตรมาส 1 และผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนที่แย่กว่า Analyst Consensus โดยคาดการณ์ว่า GDP ปี 57 จะโตเพียง 1.10-3% และผลกำไรของบริษัทจดทะเบียนทั้งหมดของปี 57 จะอยู่ที่ 98-103 บาท เมื่อคำนวณ P/E ของสิ้นปี 57 จะอยู่ที่ประมาณ 14 เท่า ซึ่งก็ใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ย P/E ของบ้านเราที่จะอยู่ประมาณ 13-14 เท่า แต่อย่าลืมนะครับว่าอดีตการเติบโตของผลกำไรบริษัทจดทะเบียนเป็นเลข 2 หลักซึ่งสูงกว่าการเติบโตของปีที่แล้วและปีนี้ GDP เราก็ไม่ได้โตต่ำแบบนี้ในอดีต ผมจึงเห็นว่า SET INDEX ณ ขณะนี้ยังแพงเกินไปสำหรับการลงทุนครับ

กิติชัย เตชะงามเลิศ
                                                                                          28/05/57


ติดตามแนวทางการลงทุนของผมได้ที่ 
Facebook : https://www.facebook.com/VI.Kitichai
Twitter : http://twitter.com/value_talk 
Youtube : http://www.youtube.com/user/wittayu9
Blog :  http://kitichai1.blogspot.com
Instagram : Gid_Kitichai

หรือหนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ทุกวันพุธหน้า B6 หรือหน้า B10 และนิตยสารคนรวยหุัน, Condo Guide,  Me(Market Evolution), และ Glow ทุกเดือน
     

สนใจซื้ออสังหาเพื่ออยู่เองหรือเพื่อการลงทุน ลองเข้า http://www.pantipmarket.com/mall/homeproperty

วันอังคารที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

ธุรกิจเด่น-ดับ ในปี 2557(สรุป)

                                    ธุรกิจเด่น-ดับ ในปี 2557
ธุรกิจเด่น
          1). Content Provider คือธุรกิจที่ผลิตรายการต่างๆ สำหรับป้อน TV ที่เรากำลังจะมี Digital TV ที่เป็นช่องธุรกิจเพิ่มขึ้นอีก 24 ช่อง ทำให้ต้องการ  Content ใหม่ๆ เพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก ลองคิดดูสิครับว่าถ้า TV ออกอากาศตั้งแต่ตี 5 จนถึงตี 1 เท่ากับว่า 1 ช่องต้องการ Content 20 ชม./วัน เราจะมีช่องใหม่ 24 ช่อง เท่ากับเราต้องการ Content มากถึง 480 ชม./วัน จะเห็นได้เลยว่าช่วงนี้ บริษัทต่างๆ ที่ประมูล Digital TV ได้ เริ่มรับสมัครงานหลายตำแหน่ง จริงๆ แล้วต้องโทษทบวงมหาวิทยาลัย และกระทรวงศึกษาธิการ ที่ไม่ได้เตรียมความพร้อมในการเพิ่มขีดความสามารถในการรับนักเรียน นักศึกษาเข้ามาศึกษาหาความรู้ ทางด้านนี้ โดยเฉพาะคณะนิเทศศาสตร์และคณะวารสารศาสตร์ ทั้งๆ ที่ รู้ล่วงหน้ามาตั้งนาน เพราะว่า กสทช. กว่าจะเกิดขึ้นมาได้ ก็มีระยะเวลาตั้งไข่อยู่นาน ทำให้ช่วงนี้ บุคลากรที่มีประสบการณ์ทางด้านนี้ กลายเป็นตัวเงินตัวทองขึ้นมาเลย เราคงจะได้เห็นการย้ายค่าย  การซื้อตัวคนเก่งๆ กันมาก นอกจาก Local Content Provider แล้วพวก Content Provider ต่างชาติไม่ว่า จะเป็นรายการบันเทิง กีฬา สารคดี และการ์ตูนทั้งเอเชีย ยุโรป และสหรัฐ คงจะขึ้นราคาค่า Content  หรือกรณีที่ประมูลก็จะมีราคาสูงขึ้น
          2). App และ Game Developer จาการที่เรามี 3G บวกกับคนไทยโดยเฉพาะคนในเมืองเป็นคนคลั่ง Social Media อย่างมากจนกรุงเทพเป็นเมืองที่มีผู้ใช้ Facebook ติดอับดับ Top5 ของโลก และคนไทยใช้ Line มากเป็นอันดับต้นๆ ของโลกเช่นกัน ทำให้คนไทยเปลี่ยนจากการใช้ Feature Phone มาเป็น Smart Phone ยิ่งปัจจุบันนี้ราคา Smart Phone ระดับกลางๆ ประมาณ 4,000-6,000 บาทมีให้เลือกหลายยี่ห้อ และแบรนด์อินเตอร์หลายแบรนด์ก็ลงมาเล่นที่กลุ่มนี้มากขึ้น ทำให้ความต้องการ App และ Game บนมือถือมากขึ้น เราจะเห็นได้จาก App ที่ฮิตๆ ถึงแม้ว่าจะเป็น Local App ก็มียอดดาวน์โหลดเป็นแสน อย่างไรก็ตาม อยู่ที่ Developer จะสามารถพัฒนา App ออกมาให้ถูกใจผู้ใช้ได้มากน้อยแค่ไหน ลองดู Line สิครับ เข้ามาไม่นานแต่มียอดดาวน์โหลดไปแล้วหลายร้อยล้านครั้ง ถ้า APP. Developer ของไทย พัฒนา APP ดีๆ จะสามารถขาย APP ผ่านช่องทาง APP Store ของใน IPhone, Android และ Window นั่นหมายถึงผู้ใช้ Smart Phone ของทั้งโลก อาจจะเป็นว่าที่ลูกค้าของคุณครับ
                   Content Provider กับ App และ Game Developer ซึ่งถ้าทำดีๆ นอกจากจะขายในประเทศแล้วยังสามารถขายในต่างประเทศผ่านช่องทางต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นงาน FAIR หรือ พวก App Store, Play Store, Window Store หรือขายโดยตรงให้กับผู้ซื้อ
           3. ธุรกิจที่สร้างและติดตั้งโครงสร้างโครงข่ายส่งสัญญาณ Digital TV (Multiplex Mux) ซึ่งใช้งบลงทุนโครงข่ายละ 3,000 ล้านบาท หลังจากประมูลช่อง Digital TV เสร็จแล้ว ผู้ที่ประมูลช่องดังกล่าวได้ ทุกรายต้องพึ่งพาบริการของผู้ให้บริการโครงข่ายดังกล่าวซึ่งมีอยู่ 4 ราย 5 โครงข่าย (ไทย PBS, อสมท, กรมประชาสัมพันธ์, ช่อง5 (มี 2 โครงข่าย) ซึ่งราคาค่าบริการไม่เท่ากัน ขึ้นกับคุณภาพและ Penetration ของแต่ละราย แต่ภายใน 3 ปี คนไทยเกือบทั่วประเทศก็จะสามารถรับชมช่อง Digital TV ทั้งหลายได้  
          4. ธุรกิจผลิตและขายกล่องรับสัญญาณ Digital TV รวมทั้งธุรกิจที่ขาย TV ผู้บริโภคที่มีงบ และกำลังจะเปลี่ยน TV อยู่พอดี ก็คงจะเลือกซื้อ Digital TV ที่เป็นระบบเดียวกับระบบการส่งสัญญาณที่ กสทช.กำหนดไว้ซึ่งก็คือระบบ DVB-T2 ของยุโรป ซึ่งอีกไม่นานเราก็จะเห็นคูปองส่วนลดในการแลกซื้อ กล่องรับสัญญาณและ Digital TV ที่สามารถรับชมช่อง Digital TV ได้ ในเร็วๆ นี้ทำให้การตัดสินใจซื้อ TV    หรือกล่องรับสัญญาณช่องผู้บริโภคทำใด้ง่ายขึ้น ซึ่งคาดว่าจะมียอดขายกล่องรับสัญญาณดาวเทียม+  Digital 10 ล้านกล่อง
          5. ธุรกิจให้บริการด้าน Non Voice ของค่ายมือถือต่างๆ จากการที่สังคมไทยกลายเป็นสังคมที่ คลั่ง Social Media ไม่ว่าจะเป็น Facebook ซึ่งคนไทยใช้ Facebook 18 ล้านคนมากเป็นอันดับ 4 ของ เอเชียรองจากอินเดีย อินโดนีเซีย Philippines ในขณะที่ญี่ปุ่นตามมาเป็นอันดับที่ 5 ทั้งๆ ที่ประเทศญี่ปุ่นไฮเทคกว่าเรา จำนวนประชากรก็มากกว่าเราเสียอีก และเป็นอันดับ 2 ของชาติที่ใช้ Line Application 15 ล้านคน รองจากญี่ปุ่นที่มีผู้ใช้ Line ถึง 45 ล้านคน ในขณะที่รายได้ Non voice เพิ่มขึ้นส่วนรายได้จาก Voice จะคงที่หรือถดถอยเล็กน้อย แต่ค่าใช้จ่ายในการสร้างโครงข่าย 3G ไว้รองรับภายใน 3 ปีแรก หลังจากได้สัมประทานจะต้องลงทุนมากหน่อย ยังดีที่ประหยัดเม็ดเงินที่จะต้องส่งให้รัฐเมื่อเทียบกับสมัยก่อน และช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้ กสทช. ก็จะมีการประมูลระบบ 4.5G ซึ่งก็คงต้องติดตามดูว่าใครจะประมูลได้ และอย่างไร
          6. ธุรกิจส่งออก เนื่องจากค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลงอย่างมากเมื่อเทียบกับต้นปี 2556 ที่แข็งไปถึง 29 บาท/ดอลลาร์ ในขณะที่ปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 33 บาท/ดอลลาร์ อ่อนค่าลงเกือบ 14% เลยทีเดียว ทำให้สินค้าไทยโดยเฉพาะประเภทที่ใช้ Local Content สูงๆ จะได้ประโยชน์มาก ความสามารถในการแข่งขันก็จะสูงขึ้น แต่ก็ต้องลองดูค่าเงินของประเทศคู่แข่ง ที่ผลิตสินค้าคล้ายๆ กับเรา ว่าค่าเงินเขาอ่อนลงมามากน้อยกว่าเราแค่ไหน ซึ่งอันที่จริงผู้ส่งออกของเราควรจะหันมาปรับปรุงประสิทธิภาพในการผลิต และพยายามเพิ่มมูลค่าให้แก่สินค้า โดยพัฒนาสินค้าให้มีคุณภาพสูงขึ้นและตรงตามความต้องการของลูกค้าให้มากที่สุด หรือถ้าสามารถกระโดดข้ามไปอีกขั้น คือ คิดแบบ Steve Jobs ที่พัฒนาสินค้าโดยที่ลูกค้าไม่เคยทราบมาก่อนว่าตนต้องการสินค้าประเภทนี้อย่างเช่น IPAD เป็นต้น สินค้าส่งออกที่ใช้ Local Content ต่ำอย่างอุตสาหกรรมชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิคส์ก็ได้อานิสงค์จากภาวะฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของประเทศหลักๆ อย่างสหรัฐ ยุโรป ญี่ปุ่น ซึ่งจะส่งผลให้ จีน ซึ่งเป็นประเทศที่มีการส่งออกสูง ได้อานิสงค์ไปด้วย ก็จะทำให้กลุ่มประเทศ ASEAN ซึ่งเป็นคู่ค้าหลักกับประเทศหลักๆ รวมทั้งจีนก็จะได้ผลดีไปด้วย
          7. ธุรกิจเดินเรือ เมื่อเศรษฐกิจโลกเริ่มฟื้นตัวด การค้าขายก็จะดีขึ้นนั่นหมายถึง ธุรกิจเดินเรือโดยเฉพาะเทกอง ซึ่งไว้ขนส่งสินค้าที่เป็นพืชผลหรือวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิต มีข้อสังเกตการณ์อยู่ 2-3 ข้อ คือ ตัวเลขดัชนี BDI สูงขึ้นเรื่อยๆ และราคาซื้อขายเรือเก่าสูงขึ้น รวมทั้งค่าต่อเรื่อใหม่ก็มีราคาสูงขึ้น และการที่บริษัทเดินเรือ เริ่มสั่งต่อเรือใหม่มากขึ้น เหล่านี้ล้วนเป็นดัชนีชี้วัดว่าธุรกิจนี้น่าจะรุ่งเรืองในอีกไม่น่านเกินรอ นอกจากนั้นการเข้ามาถือหุ้นใหญ่ในบริษัทเดินเรือ ของนักธุรกิจรายใหญ่เมื่อปีก่อน ก็เป็นตัวชี้นำให้มองเห็นอนาคตของกลุ่มนี้ได้
           8. ปิโตรเคมี จากเศรษฐกิจที่ประเทศพัฒนาแล้ว รวมทั้งจีนที่เริ่มฟื้นตัวทำให้กลุ่มอุตสาหกรรมนี้น่าจะฟื้นตัวขึ้น และหุ้นในกลุ่มนี้หลายตัวที่ลงมาจากจุดสูงสุดค่อนข้างมาก ก็เป็นตัวเลือกที่ดีอีกกลุ่มหนึ่ง
          9. ประกันและประกันชีวิต ซึ่งเติบโตประมาณ 3-5 เท่าของ GDP ไทยมาตลอด ผมยังคาดว่าปีนี้ก็ยังคงโต 3-5 เท่าของ GDP ปี 57 ซึ่งคาดว่าน่าจะโตประมาณ 3% เท่านั้น แต่บริษัทประกันภัยที่เน้นขายประกันภัยรถยนต์น่าจะโตต่ำกว่าบริษัทประกันที่ไม่เน้นประกันภัยรถยนต์ เนื่องจากยอดขายรถยนต์ในประเทศยังน่าจะไม่ดี เนื่องจากเป็นสินค้าคงทน ที่มีราคาสูง ในภาวะของประเทศที่เป็นแบบนี้ ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคก็ต่ำลงเรื่อยๆ นอกจากนั้นอัตราผลตอบแทนจากการลงทุนของพอร์ตของบริษัทประกันที่ลงทุนในตลาดหุ้นด้วยสัดส่วนที่สูงจะมีความผันผวนของผลตอบแทนจากการลงทุนค่อนข้างสูง ดังนั้นการลงทุนในหุ้นกลุ่มนี้ คงต้องเลือกให้ถูกตัว โดยคำนึงถึงปัจจัยที่ผมได้กล่าวมาข้างต้น
          10. รถไฟฟ้าทั้ง 2 ระบบ Ridership ที่เพิ่มขึ้นมาตลอดโดยเฉพาะช่วงที่มีการประท้วง และการขึ้นราคาค่าโดยสารเมื่อต้นปี
ธุรกิจจะดีถ้าการเมืองกลับมามีเสถียรภาพ
          1. ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว จากอดีตหลังจากการเมืองมีเสถียรภาพยุติการประท้วงภายใน 2-3 เดือน ภาวการณ์ท่องเที่ยวก็จะกลับสู่ภาวะปกติ คราวนี้ก็น่าจะเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นสนามบิน โรงแรม สปา ร้านค้าที่เน้นขายสินค้าและบริการแก่นักท่องเที่ยว เช่น ร้านดิวตี้ฟรี รวมทั้งร้านอาหารต่างๆ
          2. ธุรกิจโรงพยาบาล ช่วงนี้คนไข้ต่างชาติชะลอการเข้ามารักษาตัวที่เมืองไทย ซึ่งจะเห็นได้ชัดเมื่อผลประกอบการของกลุ่มโรงพยาบาลใหญ่ 2 กลุ่ม ทั้งไตรมาส 4 ปีที่แล้ว และไตรมาส 1 ปีนี้ ที่จะประกาศภายในเดือนกุมภาพันธ์และภายใน 15 พฤษภาคมตามลำดับ
          3. ธุรกิจสายการบิน ผลกระทบจากการประท้วงเป็นเรื่องชั่วคราว หลังจากการประท้วงยุติ ธุรกิจก็จะกลับมาดีเหมือนเดิม แต่การแข่งขันก็จะสูงขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากมีผู้เล่นมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นไทยไลอ้อนแอร์ หรือบริษัทใหม่ที่เกิดจากการร่วมทุนระหว่างนกแอร์กับ Scoot ของสิงคโปร์


ธุรกิจดับในปี 2557
          1.กลุ่มผู้ประมูล Digital TV กลุ่ม Free TV เดิม และกลุ่มสื่ออื่นๆ เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา รายที่ประมูล Digital TV ได้ ก็ต้องควักเงินก้อนโตจ่ายให้กับทาง กสทช. รวมแล้วเป็นเงินเกือบ 12,000 ล้านบาท บางบริษัทโดยเฉพาะบริษัทเล็กๆ ก็เหนื่อยหน่อย ในการหาเงินมาชำระ แล้วยังต้องเตรียมเงินไว้จ่ายสำหรับค่า Content ไม่ว่าจะผลิตเองหรือซื้อเข้ามา รวมทั้งค่าเช่าโครงข่าย โดยระบบ HD ก็ต้องจ่ายค่าเช่าในอัตราที่สูงกว่าระบบ SD ในปีแรกการเข้าถึง Eyeball ก็ทำได้ประมาณ 50% เท่านั้น กอรปกับผู้ชมเองก็ยังไม่คุ้นเคยกับ TV ช่องใหม่ 24 ช่องธุรกิจ ดังนั้นอัตราค่าโฆษณา ก็ยังไม่สามารถเรียกเก็บได้ในอัตราที่สูง เมื่อเทียบกับกลุ่ม Free TV เดิม ถึงแม้ทุกค่ายจะพยายามสร้างหรือซื้อ Content ดีๆ เพื่อดึงดูดผู้ชมให้หมุนช่อง TV มาที่ช่องของตน การแข่งขันคงจะรุนแรงน่าดู นอกจากนั้นกลุ่ม Free TV เดิมยังได้เปรียบ โดยอาจจะใช้วิธีขายพ่วง คือใครต้องการซื้อเวลาโฆษณาในช่วง Prime Time ของ Free TV จะต้องซื้อเวลาในช่อง Digital TV ด้วย ก็ยิ่งจะทำให้รายใหม่ๆ เกิดยาก หรือมิฉะนั้นก็ต้องกดราคาค่าโฆษณาลงเพื่อดึงดูดเจ้าของสินค้าและบริการให้มาลงโฆษณาในช่วงของงาน รวมทั้งกลุ่ม Content Provider ที่มีความสามารถในการผลิตรายการดีๆ ย่อมต้องถูกเกี้ยวจากหลายๆ ค่าย แต่เชื่อเถอะครับ ถ้าเงื่อนไขสูสีกัน เป็นผมก็คงเลือกที่จะไปร่วงงานกับกลุ่ม Free TV เดิมที่มีฐานผู้ชมที่สูง เผลอๆ อาจจะได้ทำรายการป้อนให้ในช่อง Free TV ด้วย ดังนั้นค่ายเล็กๆ ที่ประมูล Digital TV คงจะได้ ผู้ผลิต Content ที่มีความสามารถรองลงมา นอกจากนั้นตั้งแต่ช่วงปลายปีที่แล้วจนถึงปัจจุบัน มีรายได้ติดลบกันถ้วนหน้า ไม่ว่าจะเป็นโฆษณาฟรีทีวีที่ลดลงเกือบ 6% แม้กระทั่งโฆษณาทางอินเตอร์เน็ตเองยังร่วงลงถึงเกือบ 30% ผมมั่นใจว่าในส่วนของธุรกิจที่ประมูล Digital TV ได้ น่าจะมีผลลัพธ์เป็นขาดทุน จากรายได้ที่ยังเข้ามาน้อยแต่ค่าใช้จ่ายตั้งต้นที่สูง (ที่ผมบอกว่าขาดทุน ผมนับเฉพาะส่วนของรายได้และค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวกับ Digital TV นะครับ) และผมเชื่อว่าแม้กระทั่งปีหน้า ก็คงจะยังมีหลายธุรกิจที่ยังจะขาดทุนอยู่ ครับ ธุรกิจ Free TV เดิมคงไม่มีโอกาสที่จะขึ้นอัตราค่าโฆษณา เพราะว่าตั้งแต่เมษายนปีนี้ที่จะมีการออกอากาศ Digital TV อีก 24 ช่องธุรกิจ คงจะแย่งเม็ดเงินค่าโฆษณาไปได้บ้าง เจ้าของธุรกิจและบริการที่ต้องการโฆษณาสินค้าหรือบริการของตน จะมีตัวเลือกมากขึ้นพฤติกรรมของผู้บริโภคในยุค IT รุ่งเรือง ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีทำให้เรามี Smart Phone Tablet YouTube  และ Application ต่างๆ ที่ทำให้เราสามารถชมรายการต่างๆ ได้ทุกที่ทุกเวลา เราสามารถดูรายการ TV Series Variety ย้อนหลัง ผ่านช่องทางดังกล่าวโดยไม่ต้องทนดูโฆษณาด้วย ในอนาคตผมคาดว่าคนจะไม่ยืดติดกับสถานี TV ช่องใดช่องหนึ่ง แต่จะเลือกเป็นรายการๆ ไป และปริมาณผู้ชมที่ชมรายการย้อนหลังจะมีปริมาณมากขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่ผู้ชมที่เฝ้ารอดูรายการ TV จาก TV จะลดลงไปเรื่อยๆ ที่สหรัฐอเมริกาในปัจจุบันจำนวนผู้ชมที่ดู TV มีปริมาณลดลงไปเรื่อยๆ ในขณะที่ผู้ชมที่ชมผ่าน Smart Device กลับมีปริมาณที่เพิ่มขึ้น ซึ่งแนวโน้มนี้คงจะเกิดขึ้นกับเมืองไทยเช่นกันในอนาคต พวก Media Planner คงต้องทำการบ้านกันมากขึ้นในอนาคต เพื่อให้การใช้เม็ดเงินโฆษณา มีประสิทธิภาพสูงสุด
          2.ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ จากดัชนีความเชื่อมั่นไม่ว่าจะเป็นภาคธุรกิจและภาคประชาชนแย่ลงเรื่อยๆ ยังไม่เห็นสัญญานฟื้นตัว สินค้าคงทนที่มีราคาสูงอย่างอสังหาต้องถูกชะลอในการซื้อแน่นอน เพราะว่าลูกค้าไม่มั่นใจในรายได้ของตนและความมั่นคงของหน้าที่การงาน ผู้บริหารบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์หลายรายได้ออกมาให้สัมภาษณ์ว่า จะลดจำนวนโครงการที่จะออกขายในปีนี้ลงประมาณ 10-20% โดยเฉพาะโครงการอสังหาริมทรัพย์ แนวสูงอย่างเช่น คอนโดมีเนียม จำนวนผู้เยี่ยมชมโครงการลดลงอย่างน่าใจหาย พลอยทำให้ยอด Presale ลดลงเมื่อเทียบกับปีที่แล้วยอดขายคอนโดที่ขายไม่หมดที่ยกมาจากปีที่แล้วอีก 42,000 ยูนิตบวกกับโครงการที่จะออกขายในปีนี้อีกประมาณ 40,000 ยูนิต (ซึ่งลดลงจากปีที่แล้วที่มีโครงการออกใหม่ขายในปีที่แล้วถึง 85,000 ยูนิต) โดยปีนี้บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์จะเน้นออกโครงการแนวราบเสียมากกว่า ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ถึงแม้ว่าหลายๆ บริษัทจะมียอด Backlog ตุนไว้ค่อนข้างมากจากปี 2555-2556 แต่ที่ผมเป็นห่วง คือ เมื่อโครงการอสังหาริมทรัพย์ของบริษัทเหล่านี้สร้างเสร็จ แต่ลูกค้าไม่สามารถจะโอนได้ เพราะว่าถูกปฏิเสธการให้สินเชื่อจากสถาบันการเงิน โดยเห็นได้จากข่าวตามหน้าหนังสือพิมพ์เมื่อเร็วๆ นี้ ถึงแม้ว่าราคาอสังหาริมทรัพย์โดยเฉพาะคอนโดมิเนียมที่มีราคาสูงขึ้นกว่าช่วงสมัยที่เปิดโครงการแรกๆ เจ้าของโครงการคงจะนำยูนิตที่มีปัญหาเรื่องการโอนอันเนื่องมาจากการปฏิเสธสินเชื่อมาลดราคา เพียงแค่ขายในราคาเดียวกับระดับราคาตอนที่เริ่มขายโครงการใหม่ๆ หรือนำเงินดาวน์ที่ยึดจากลูกค้าที่ไม่สามารถจะโอนได้มาเป็นส่วนลดเพิ่มให้กับว่าที่ลูกค้ารายใหม่ ก็อาจจะทำให้ปิดการขายได้ง่ายขึ้น แต่คงต้องใช้เวลาพอสมควร ยิ่งถ้ามีจำนวนยูนิตที่มีปัญหาเป็นจำนวนมาก ยิ่งต้องใช้เวลามากขึ้น ความไม่มีเสถียรภาพทางการเมือง กลายเป็นตัวยับยั้งภาวะฟองสบู่อสังหาริมทรัพย์โดยเฉพาะคอนโดไปในตัว ช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา ราคาคอนโดมิเนียมถ้าเราดูจากราคาต่อตารางเมตรจะเห็นได้ชัดว่า ขึ้นมาค่อนข้างมากจากเดิมราคาคอนโดย่านสุขุมวิทตอนต้นถึงทองหล่อราคาต่อตารางเมตรแค่ 70,000-100,000 ในขณะที่ปัจจุบันถูกสุดก็เริ่มต้นที่ 120,000 บาทต่อตารางเมตรแล้ว บางโครงการราคาต่อตารางเมตรปาเข้าไปถึง 200,000 บาท ซึ่งสาเหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะว่าต้นทุนไม่ว่าจะเป็นที่ดินที่มีราคาแพงขึ้น ปัจจุบันที่ดินริมถนนสุขุมวิทตั้งแต่ซอย 1 จนถึงทองหล่อราคาไม่ต่ำกว่า 1.20 ล้านบาท/ตารางวา บางทำเลเรียกราคาได้ถึง 1.50 ล้านบาทเสียด้วยซ้ำ เพราะว่าที่ดินย่านนี้มีจำกัด และได้ถูกนำไปพัฒนาเป็นโรงแรม ห้างสรรพสินค้า Office Building และคอนโดมิเนียมเป็นจำนวนมาก จึงมีพื้นที่เหลือน้อย รวมทั้งต้นทุนในการก่อสร้างสูงขึ้น เนื่องจากนโยบายค่าแรง 300 บาทและเงินเดือนคนจบปริญญาตรี 15,000 บาท พลอยทำให้ราคาวัสดุก่อสร้างสูงขึ้นไปด้วย ทำให้คอนโดซึ่งเป็นอสังหาริมทรัพย์ที่ต้องใช้ปริมาณแรงงานและวัสดุก่อสร้างต่อยูนิตมากกว่าอสังหาริมทรัพย์แนวราบ ก็มาเล่นโดยใช้ Sizing ทำห้องให้เล็กลง จากเดิม 1 ห้องนอนสมัยก่อนห้องขนาดประมาณ 40 ตารางเมตร ปัจจุบัน 1 ห้องนอนมีขนาดเหลือประมาณ 30 ตารางเมตร ส่วนห้องสตูดิโอ ปัจจุบันหดเหลือขนาดประมาณ 20 ตารางเมตรเท่านั้น ถ้าท่านผู้อ่านสังเกตจะพบข่าวที่ผู้บริหารธุรกิจอสังหาริมทรัพย์หลายรายที่ให้สัมภาษณ์ถึงยอดขาย 2 เดือนแรกของปีนี้ ต่างพูดกันเป๊นเสียงเดียวกันว่ายอดขายตกต่ำลงประมาณ 10% ไม่ว่าจะเป็นรายใหญ่ รายกลาง โดนกระทบหมด โดยเฉพาะรายเล็กนี่ยิ่งแย่ใหญ่ มีหลายโครงการที่เพิ่งเริ่มเปิดขายไม่นาน หรือสร้างไปกลางครัน เริ่มมีปัญหาสภาพคล่องต้องนำโครงการดังกล่าวไปเสนอขายให้กับบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ด้วยกัน ปัจจุบันบริษัทอสังหาทั้งหลาย ก็ได้แต่ภาวนาให้ความวุ่นวายทางการเมืองได้จบสิ้นลงโดยเร็ว จะได้รีบออกโครงการใหม่ๆ มาเรียกผู้ซื้อให้เข้าไปเยี่ยมชมและตัดสินใจซื้อ เพื่อให้ยอดขายโดยรวมทั้งปีไม่ต่ำกว่าปีที่แล้ว เมื่อสินค้าปลายน้ำอย่างอสังหาซบเซา สินค้าต้นน้ำอย่างเช่น วัสดุก่อสร้าง ก็ย่อมต้องได้รับผลกระทบไปด้วยเช่นกัน
          3. กลุ่มวัสดุก่อสร้าง ไม่ว่าจะเป็นปูนซีเมนต์เหล็ก กระเบื้องมุงหลังคา กระเบื้องปูพื้น-ผนัง สีทาบ้าน ฯลฯ ล้วนแล้วแต่ได้รับผลกระทบจากความซบเซาของธุรกิจอสังหา ยังดีที่มีโครงการสร้างสาธารณูปโภคที่ยังสร้างไม่เสร็จ และกำลังสร้างกันอยู่ ไม่ว่าจะเป็นส่วนขยายของรถไฟฟ้าสายต่างๆ ที่ยังช่วยให้ยอดขายของปูนซีเมนต์พอไปได้ แต่บทสัมภาษณ์ที่ผู้บริหารของ SCC ได้สะท้อนถึงภาพรวมของกลุ่มนี้ได้ค่อนข้างดี ว่ายังทำได้ต่ำกว่าประมาณการณ์ ยิ่งพรบ.2 ล้านล้านบาทถูกตีตกไปแล้วยิ่งทำให้ อนาคตของกลุ่มนี้ดูไม่สดใส ถึงแม้พรบ. 2 ล้านล้านบาทถ้าไม่ถูตีตกไป รายได้จากกลุ่มนี้ที่จะเกิดจากพรบ.นี้ก็คงมีไม่มากในปีนี้อยู่ดี เราเริ่มเห็นการปรับราคาลงในวัสดุก่อสร้างบางประเภทลงแล้ว ซึ่งแน่นอนว่าจะส่งผลต่อยอดขายและกำไรสุทธิของบริษัทในปีนี้อย่างแน่นอน
          4. กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง จากพรบ. 2 ล้านล้านบาทที่ตกไป รายได้ที่นักวิเคราะห์บางค่ายได้นำไปคำนวณรวมเป็นรายได้ของผู้รับเหมาไว้ ก็จะต้องถูกตัดออกไป ยิ่งภาวะเศรษฐกิจที่ไม่ดี ยอดขายอสังหาริมทรัพย์ที่ตกต่ำ ผู้รับเหมาที่สูญเสียงานที่จะได้จากภาครัฐในพรบ. 2 ล้านล้านบาท คงหันมาแข่งกันรับงานเอกชน ซึ่งโชคไม่ดีที่กำลังประสบปัญหาในด้านยอดขายเช่นกัน เหมือนผีซ้ำด้ามพลอยจริงๆ แต่ราคาหุ้นของบริษัทในกลุ่มรับเหมาก็ได้ตกลงมาค่อนข้างมากแล้ว ถ้าราคายังตกลงไปกว่านี้อีกสัก 5-10% ก็น่าจะเลือกบริษัทที่มีงบการเงินดี และผลประกอบการใช้ได้ เก็บไว้ลงทุนก็ไม่เลวครับ
          5. กลุ่มรถยนต์ ถึงแม้โครงการรถคันแรกจะจบลงไปแล้วตั้งแต่ปีก่อน แต่พิษร้ายของโครงการนี้ยังมีผลกระทบต่อยอดขายรถยนต์ในประเทศปีนี้อยู่บ้าง ถึงแม้จะไม่เท่ากับปีที่แล้ว แต่ช่วงนี้เศรษฐกิจไทยไม่ค่อยดีทำให้ผู้คนที่คิดจะเปลี่ยนรถคันใหม่หรือผู้ที่จะซื้อรถคันใหม่ชะลอการตัดสินใจไปก่อน เพราะรถยนต์เป็นสินค้าคงทนที่มีราคาสูง และเป็นภาระโดยเฉพาะผู้ซื้อที่ใช้สินเชื่อ Finance นอกจากภาระค่าดูแลรักษา ค่าประกันภัย ค่าน้ำมันรถ ค่าทางด่วน ค่าที่จอดรถ ฯลฯ แล้วยังมีดอกเบี้ยจ่ายอีก เรายังเห็นผู้บริหารในอุตสาหกรรมนี้ ให้สัมภาษณ์ว่ามีการปรับเป้าหมายยอดขายลง หลังจากที่ยอดขายช่วงที่ผ่านมาไม่ดี กลุ่ม TOYOTA จะมีการทบทวนแผนลงทุนในไทย สถาบัน IHS ได้ประเมินว่ายอดขายรถยนต์ในไทยน่าจะร่วงลงประมาณ 19% มาอยู่ที่ 1.08 ล้านคันขณะที่ยอดการผลิตรถยนต์น่าจะลดลง ประมาณ 8% มาอยู่ที่ 2.20 ล้านคัน โดยยอดขายในประเทศกับการส่งออกสูสีกัน ยังดีที่ท่างค่าย HONDA และ MAZDA ยังยืนยันที่จะขยายกำลังการผลิตตามเดิม ช่วยให้ไทยยังเป็นฐานการผลิตรถยนต์ที่ใหญ่ที่สุดใน ASEAN และเป็นอันดับที่ 9 ของโลกเหมือนเดิม แต่ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า เราคงจะถูกอินโดนีเซียแซงหน้าไป จากฐานประชากรที่มากกว่าเรากว่า 3 เท่า และเศรษฐกิจที่กำลังโตวันโตคืน แต่โชคดีที่ยอดส่งออกของกลุ่มนี้ใน 2 เดือนแรกของปีนี้ มียอดการเติบโตขึ้นพอสมควร คงช่วยชดเชยยอดขายในประเทศที่ไม่ดีได้บ้าง ผมคาดว่าไตรมาส 4 ของปีนี้เป็นต้นไป เราคงจะได้เห็นการกลับมาของกลุ่มอุตสาหกรรมนี้ โดยปีหน้า กลุ่มนี้น่าจะกลับมาเป็นที่สนใจอีกครั้งหนึ่ง ดังนั้นถ้าช่วงครึ่งปีหลัง ราคาหุ้นในกลุ่มนี้ลงมา ก็น่าจะทยอยซื้อสะสมไว้ครับ
6. เฟอร์นิเจอร์ จากการที่ปีนี้ยอดขายอสังหาริมทรัพย์แย่ลง จากภาวะไร้เสถียรภาพทางการเมือง โดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงการแนวสูงหรือคอนโดนั่นเอง นอกจากยอดขายPresaleจะลดลงแล้ว ผู้บริโภคบางส่วนเลื่อนการ Renovate ออกไป ทางด้านส่งออกจากค่าแรงที่สูงขึ้นทำให้ความสามารถในการแข่งขันของผู้ผลิตเฟอร์นิเจอร์ไทยลดลง
          7. เครื่องหนัง นอกจากจะทำเป็นเครื่องนุ่งห่มแล้ว ก็ยังเป็นส่วนหนึ่งของรถยนต์จากยอดขายรถยนต์ในประเทศที่ลดลง เนื่องจากผลกระทบของโครงการรถคันแรกของรัฐบาลเพื่อไทยยังไม่หมดลง ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ถดถอยลงมาตลอด ทำให้กลุ่มอุตสาหกรรมเครื่องหนังไทยได้รับผลกระทบ ถึงแม้ยอดส่งออกรถยนต์ยังพอไปได้อยู่ก็ตาม โดยสัดส่วนยอดขายรถยนต์ในประเทศและส่งออกมีสัดส่วนที่ใกล้เคียงกัน
          8. สิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม อุตสาหกรรมนี้จัดเป็นอุตสาหกรรมตะวันตกดินมานานแล้วจากการที่เพื่อนบ้านไม่ว่ากัมพูชา เวียดนาม ฯลฯ ซึ่งมีค่าแรงถูกกว่าเรามาก ทำให้การส่งออกของกลุ่มนี้ต้องเจาะไปใน Segment ที่มีมูลค่าสูงหน่อย เพื่อหลีกเลี่ยงการแข่งขันกับผู้ส่งออกของประเทศเพื่อนบ้านเหล่านั้น ส่วนความต้องการภายในประเทศเองก็กระทบจากผู้บริโภคยังไม่มีMoodที่จะช็อปปิ้ง รวมทั้งหนี้ครัวเรือนต่อ GDP ของไทยเราค่อนข้างสูง และการเข้ามาของแบรนด์นอกทั้งของยุโรปอเมริกาและเอเชียต่างๆ อย่างเช่น H&M ZARA GAP UNIQLO ฯลฯ ซึ่งผมเองก็เป็นลูกค้าของแบรนด์เหล่านี้เช่นกัน เนื่องจากเสื้อผ้าแบรนด์เหล่านี้ มีดีไซน์ที่ทันสมัย และมีสีสันให้เลือกหลากหลายกว่าแบรนด์ในประเทศ แล้วราคายังถูกกว่า Local designer brand เสียอีก อย่างเช่น กางเกงยีนส์ของ H&M ตัวละประมาณ 1,000 บาทเท่านั้นในขณะที่แบรนด์ในประเทศบางแบรนด์ตั้งราคา กว่า2,000 บาท โดยที่คุณภาพและดีไซน์ไม่แตกต่างกันเท่าใดนัก ถ้าอุตสาหกรรมผลิตเครื่องนุ่งห่มในไทยไม่ปรับตัวหา Segment ที่เป็น Niche ที่พอจะแข่งขันได้ อนาคตของอุตสาหกรรมนี้ก็ดูจะมืดมนเลยทีเดียว นอกจากนั้นแบรนด์นอกเหล่านี้ วางตัวเองอยู่ในระดับ MASSTIGE (Massive + Prestige)  คือเป็นสินค้าที่มีรูปลักษณ์แบรนด์ที่ดี แต่ราคาสามารถจับต้องได้ อย่างเช่น Zara ซึ่งเป็นสินค้าแฟชั่นจากสเปนที่สามารถครองใจนักซ็อปหนุ่มสาวทั่วโลกได้ จนทำให้เจ้าของ Zara ติดอันดับมหาเศรษฐีโลก จากการที่ผลิตครั้งละจำนวนมากๆ ต่อดีไซน์หนึ่งๆ ทำให้ต้นทุนค่าใช้จ่ายต่อชิ้นต่ำลง ทำให้แบรนด์เหล่านี้เมื่อเจาะเข้าไปในประเทศใดๆ  ล้วนแล้วแต่ประสบความสำเร็จ แล้วแบรนด์เหล่านี้ก็พยายามจับเอา Designer  ชื่อดังมาช่วยออกแบบในบาง Collection เช่น ล่าสุด H&M ได้เชิญ Alexander Wang มาช่วยออกแบบให้ 1 Collection ซึ่งอดีต H&M ก็เคยเชิญให้ Karl Lagerfeld,  มาช่วยออกแบบให้บาง  Collection ในอดีต    ซึ่งวิธีนี้ทำให้ภาพพจน์ของแบรนด์ดูดี สามารถที่จะ Upscale H&M ได้เป็นอย่างดี นอกจากเสื้อผ้าแล้ว แบรนด์เหล่านี้ก็เริ่มแตกไลน์ไปยัง Home Accessories ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นผ้าปูโต๊ะ ชุดจานชามช้อนซ้อม ฯลฯ ซึ่ง Zara เองก็ทำได้ดีจนประสบความสำเร็จในระดับหนึ่ง ยังดีที่บางแบรนด์ยังมีสาขาอยู่ในกรุงเทพเท่านั้น ผมเชื่อว่าอีกไม่นาน กลุ่มแบรนด์นอกเหล่านี้ คงจะขยายสาขาไปยังจังหวัดใหญ่ๆ อย่างเช่น เชียงใหม่ โคราช อุดรธานี ขอนแก่น ซึ่งบางจังหวัดไว้รองรับ AEC ที่จะเริ่มมีผลบังคับใช้ปลายปีหน้า
          9. เครื่องใช้ไฟฟ้า (ยกเว้น TV) ก็จะเป็นสินค้ากึ่งคงทนอีกประเภทหนึ่งที่ผู้บริโภคจะเลื่อนการซื้อเครื่องใหม่เพื่อทดแทนเครื่องเก่า เนื่องจากเศรษฐกิจที่ฝืดเคือง ราคาพืชผลทางเกษตรที่ตกต่ำโดยเฉพาะข้าว จากนโยบายจำนำข้าวในราคาที่สูงกว่าราคาตลาดมากเกินไป เพื่อหวังจะได้คะแนนเสียงจากฐานเสียงเหล่านี้ มีข้าวอยู่ในโกดัง ซึ่งปัจจุบันเน่าเสียไปเท่าไรแล้ว ไม่มีใครรู้ ข้าวเก่ายังไม่ได้ขาย ข้าวใหม่ก็เตรียมจะเข้ามาในตลาดอีก แล้วราคาข้าวจะร่วงลงไปอีกเท่าไหร่ ไม่มีใครคาดได้ หนี้สินชาวนาและรากหญ้ายังรกรุงรังแบบนี้ พวกขายสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าเงินผ่อน นอกจากยอดขายจะตก หนี้เสียหนี้สูญคงจะต้องมากขึ้นไปอีก ยกเว้น TV ที่ปีนี้มี 2 เหตุผลใหญ่ที่จะทำให้คนเปลี่ยนหรือซื้อ TV มากขึ้น จากปีนี้ที่จะมีการแข่งขันฟุตบอลโลก ซึ่งคนไทยถือว่าเป็นชาติที่มีคอบอลหนาแน่นมากที่สุดประเทศหนึ่งในโลกใบนี้ และเดือนเมษายนนี้เป็นเดือนที่เริ่มมีการออกอากาศสัญญาณ Digital TV ซึ่งจนถึงวันนี้ทาง กสทช. ยังตกลงเงื่อนไขของคูปองลดราคาว่าจะมีค่ากี่บาทและมีเงื่อนไขอย่างไรบ้าง จริงๆ แล้วมีเวลาตั้งนานในช่วงที่ผ่านมา ผมไม่เข้าใจว่าทำไมถึงไม่คุยกันถึงเรื่องนี้ ถ้านับจากวันประมูล Digital TV มาถึงปัจจุบันก็เป็นเวลา 4 เดือนเข้าไปแล้ว และเรื่องนี้ไม่นับว่าเป็นเรื่องใหญ่โตอะไรมาก เมื่อเทียบกับเรื่องอื่นๆ ราคาและเงื่อนไขของคูปองควรจะสรุปได้ภายในกลางเดือนมีนาคมและเริ่มแจกคูปองให้ประชาชนได้ตั้งแต่ต้นเมษายนที่ผ่านมา ให้ทันกับการออกอากาศ
          10. เครื่องประดับ โดยเฉพาะธุรกิจรายที่ขายภายในประเทศเป็นหลักน่าจะได้รับผลกระทบกระเทือนจากภาวะที่ผู้บริโภคไม่มีMoodในการซ็อปปิ้งกอรปกับภาวะเก็งกำไรในอสังหาริมทรัพย์ที่สะดุดลงตามเหตุผลในบทความฉบับก่อน ยังโขคดีที่ตลาดหุ้นไทยมีการฟื้นตัวค่อนข้างดีเมื่อเทียบกับเศรษฐกิจที่ทรุดต่ำลง อย่างไรก็ตามถ้าเรายังไม่สามารถมีรัฐบาลที่แท้จริงภายในไตรมาส 3 ปีนี้ ธุรกิจเครื่องประดับต้องโดนผลกระทบตามไปด้วยอย่างแน่นอน

กิติชัย เตชะงามเลิศ
                                                                                          27/05/57


ติดตามแนวทางการลงทุนของผมได้ที่ 
Facebook : https://www.facebook.com/VI.Kitichai
Twitter : http://twitter.com/value_talk 
Youtube : http://www.youtube.com/user/wittayu9
Blog :  http://kitichai1.blogspot.com
Instagram : Gid_Kitichai

หรือหนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ทุกวันพุธหน้า B6 หรือหน้า B10 และนิตยสารคนรวยหุัน, Condo Guide,  Me(Market Evolution), และ Glow ทุกเดือน
     

สนใจซื้ออสังหาเพื่ออยู่เองหรือเพื่อการลงทุน ลองเข้า http://www.pantipmarket.com/mall/homeproperty





วันจันทร์ที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

อำลาอาลัย SCBLIF หุ้น18เด้ง

อำลาอาลัย SCBLIF หุ้น18เด้ง

          SCBLIF หรือ บริษัทไทยพาณิชย์ประกันชีวิตเป็นหนึ่งใน Top 5 ของบริษัทประกันชีวิตในประเทศที่ใหญ่ที่สุด และเป็นบริษัทประกันชีวิตบริษัทแรกที่ทำ Banc assurance โดยเริ่มก่อตั้งเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ.2519 มีทุนจดทะเบียน 800 ล้านบาทต่อมาเมื่อประมาณสิบกว่าปีที่แล้ว ทางนิวยอร์คไลฟ์ประกันชีวิตซี่งเป็นบริษัทประกันชีวิตที่ใหญ่ติดอันดับ Top 5 ของสหรัฐ มาเข้าร่วมทุนโดยธนาคารไทยพาณิชย์และบริษัทนิวยอร์คไลฟ์ถือหุ้นเท่ากันคือฝ่ายละ 47.33% ส่วนที่เหลือ 5.34% ถือโดยนักลงทุนรายย่อย ทางนิวยอร์คไลฟ์ได้นำ Knowhow ของธุรกิจประกันชีวิตในรูปแบบใหม่ๆ เข้ามา โดยเฉพาะเรื่อง Banc assurance ทำให้บริษัทไทยพาณิชย์นิวยอร์คไลฟ์ประกันชีวิต (ชื่อในสมัยนั้น) มียอดเบี้ยประกันรับโตขึ้นมาก จนกลายเป็นผู้นำในด้านยอดขายเบี้ยรับปีแรกในสมัยนั้นรองจาก AIA และไทยประกันชีวิต ทำให้บริษัทประกันชีวิตของไทยที่มีธนาคารเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ หันมาให้ความสนใจในการทำ Banc assurance กันยกใหญ่ โดยเฉพาะบริษัทเมืองไทยประกันชีวิตที่ 2-3 ปีนี้มาแรงมาก และไตรมาส1 ปีนี้บริษัทกรุงเทพประกันชีวิตสามารถทำเบี้ยประกันภัยทั้งเบี้ยรับปีแรกและเบี้ยรับรวมขึ้นเป็นอันดับหนึ่งแซงหน้า AIA ไทยประกันชีวิต และเมืองไทยประกันชีวิตอย่างเหลือเชื่อ แต่พอไปดูรายละเอียดพบว่า เป็นเบี้ยรับของกรมธรรม์ประกันชีวิตแบบจ่ายครั้งเดียว (Single premium) โดยขายผ่านธนาคารกรุงเทพเสียเป็นส่วนใหญ่ ผมจึงไม่รู้สึกตื่นเต้นไปด้วย เพราะว่าเบี้ยรับประเภทนี้ไม่ได้เน้นคุ้มครองแต่เป็นกรมธรรม์ที่บริษัทประกันชีวิตออกมาเพื่อหวังดึงกลุ่มกลูกค้าที่มีเงินออมเสียมากกว่า และกรมธรรม์ประเภทนี้ บริษัทประกันชีวิตต้องตั้งสำรองค่อนข้างสูง และ Margin ต่ำมาก
          กลับมาที่ไทยพาณิชย์นิวยอร์คไลฟ์ประกันชีวิต หลังจากที่นิวยอร์คไลฟ์จากอเมริกาเข้ามาถือหุ้นใหญ่ร่วมกับธนาคารไทยพาณิชย์ก็เปรียบเสมือนเสือ(ธนาคารไทยพาณิชย์)ติดปีก(นิวยอร์คไลฟ์) เนื่องจากธนาคารไทยพาณิชย์เป็นธนาคารที่มีสาขามากติดอันดับ Top 3 ในสมัยนั้น ถ้าท่านสังเกตดูว่าเวลาท่านไปธนาคารท่านจะถูกชี้ชวนและแนะนำจากพนักงานธนาคารให้ทำประกันภัยประกันชีวิต หรือซื้อกองทุนรวมเหมือนเวลาที่ท่านเข้าร้านสะดวกซื้อเวลารับเงินทอน ท่านจะได้ยินเด็กในร้านถามว่าจะรับขนมจีบ ซาลาเปาเพิ่มหรือไม่ ทำนองนั้น พนักงานธนาคารจะมีเป้าที่ต้องพิชิตให้ได้ในแต่ละเดือน ไตรมาส และปีในด้านขายธุรกรรมทางการเงินเหล่านี้ เพราะว่าเป็นหนึ่งใน KPI ของพนักงานทุกคนทุกระดับ ทำเอาพนักงานธนาคารเครียดไปตามๆ กัน แต่ส่งผลดีต่อผลประกอบการทั้งบริษัทแม่คือธนาคารไทยพาณิชย์ และบริษัทลูกคือไทยพาณิชย์นิวยอร์คไลฟ์ (SCNYL) โดยเฉพาะ SCNYL มีเบี้ยรับและผลกำไรดีขึ้นทุกๆ ปี เท่าที่ผมได้รวบรวมผลประกอบการย้อนหลังตั้งแต่ปี 2548 ที่ SCNYL ทำกำไรได้ 289.65 ล้านบาท จนมาถึงปี 2556 SCBLIF (ชื่อปัจจุบันของ SCNYL) ทำกำไรได้ถึง 4,734.17 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไรเติบโตแบบ CAGR (8 ปี) = 41.80% ซึ่งเป็นการเติบโตแบบทบต้นที่สูงที่สุดเมื่อเทียบกับบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์และ MAI จนผมสามารถกล่าวได้เต็มคำว่าเป็นบริษัทที่มีพื้นฐานดีและโดดเด่นที่สุดในตลาด ตัวผมเองก็ซื้อหุ้นบริษัทนี้ไว้เมื่อ 7-8 ปีที่แล้วในราคาหุ้นละ 70 บาท เป็นหุ้นตัวเดียวที่ผมถือลงทุนยาวนานขนาดนี้ และเป็นหุ้นที่สร้างผลกำไรให้ผมอย่างมหาศาล ช่วง 7 ปีกว่าๆ ผมได้รับเงินปันผลไป 123.90 บาท แค่เงินปันผลก็เกินเลยจำนวนเงินที่ผมซื้อหุ้นตัวนี้ไปแล้ว มิหนำซ้ำราคาหุ้นปัจจุบันก็อยู่ที่ราคาประมาณ 1,100 บาท โดยเคยขึ้นไปทำจุดสูงสุดที่ราคา 1,210 บาท คิดเป็นผลตอบแทนจากการลงทุน 1,805.57% นี่คือมหัศจรรย์ของผลตอบแทนจากการลงทุนถ้าท่านเลือกหุ้นที่จะลงทุนให้ถูกต้อง
          เมื่อปี 2551 นิวยอร์คไลฟ์ได้มีนโยบายจะถอนการลงทุนในบางประเทศ โดยไทยเป็นประเทศหนึ่งที่จะถูกถอนการลงทุน ทางนิวยอร์คไลฟ์อเมริกาจึงตัดสินใจขายหุ้นในส่วนที่ตนถืออยู่ใน SCNYL 47.33% ให้ SCB ในราคา 266.89 บาท ซึ่งขณะนั้น ราคา SCNYL ในตลาดอยู่ที่ 500 กว่าบาท ทำให้ราคาหุ้นไหลลงอย่างรวดเร็วไปทำจุดต่ำสุดที่ 302 บาท หลังจากนักลงทุนหายตกใจและเข้าใจแล้วว่าการขายหุ้นดังกล่าว ไม่มีผลกระทบกับนักลงทุนรายย่อย ราคาก็ดีดกลับไปสู่ระดับ 500 กว่าอย่างรวดเร็ว และขึ้นมาเรื่อยๆ จนมาอยู่แถว 1,000 กว่าบาทในปัจจุบันซึ่งการที่นิวยอร์คไลฟ์ขายหุ้นให้ SCB ในราคาต่ำคงเป็นเพราะว่า
1)    การที่ได้มาเป็นหนึ่งในผู้ถือหุ้นใหญ่ของ SCNYL ก็เพราะ SCB
2)    ตามมารยาทจะขายหุ้นส่วนของตนก็ควรจะขายให้ Partner ก่อน
3)    นิวยอร์คไลฟ์เองก็ได้ผลตอบแทนถึง 2,557% ภายในเวลาประมาณ 11 ปีที่เข้ามาถือหุ้นใน SCNYL (นิวยอร์คไลฟ์เข้ามาปี พ.ศ. 2543) นับว่าเป็นผลตอบแทนที่มากโขอยู่
4)    นิวยอร์คไลฟ์เป็นคน Approach SCB ก่อน ตอนที่จะขาย
        ล่าสุด SCB ประกาศที่จะเอา SCBLIF ออกจากตลาหหลักทรัพย์โดยจะทำเทนเดอร์ออฟเฟอร์หุ้นทั้งหมดที่ราคา 1,117.25 บาท เนื่องจากติดปัญหาเรื่องการกระจายการถือรายย่อยไม่ครบถ้วนมาหลายปีแล้ว ดังนั้นท่านที่มีเงินเย็นๆ ไม่ได้ทำอะไรภายใน 4-6 เดือน ถ้าหุ้นตัวนี้ลงมาต่ำกว่าราคารับซื้อคืนมากๆ ก็น่าสนใจซื้อลงทุนเหมือนฝากเงินประจำแบบ 4-6 เดือน โดยคำนวณส่วนต่างให้คุ้มค่ากว่าฝากธนาคารสัก 3% ขึ้นไปก็ไม่เลวนะครับ
     อนึ่งถ้าท่านอยากจะเรียนรู้วิธีการลงทุนในหุ้นและอสังหาให้ได้ผลตอบแทนมากๆ อย่างผมลองมาลงเรียนคอร์สการลงทุนที่ผมจะจัดขึ้นในวันที่ 25 พฤษภาคมนี้ ติดต่อที่ 081-8359274 หรือ 088-2740434 นะครับ

กิติชัย เตชะงามเลิศ
                                                                                          21/05/57


ติดตามแนวทางการลงทุนของผมได้ที่ 
Facebook : https://www.facebook.com/VI.Kitichai , 
Twitter     : http://twitter.com/value_talk , 
Instagram : Gid_Kitichai
Google+  : https://www.google.com/+KitichaiTaechangamlert
Youtube   : http://www.youtube.com/user/wittayu9  และ 
Blog         : http://kitichai1.blogspot.com


หรือหนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ทุกวันพุธหน้า B6  และนิตยสารคนรวยหุัน, Condo Guide, Glow, L'Optimum และ Me(Market Evolution) ทุกเดือน
     
    

สนใจซื้ออสังหาเพื่ออยู่เองหรือเพื่อการลงทุน ลองเข้า http://www.pantipmarket.com/mall/homeproperty



วันพุธที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

ปัญหา “ข้าว” แก้ไม่ยาก”

ปัญหา ข้าว แก้ไม่ยาก”
          ผมดูนโยบายข้าว ไม่ว่ารัฐบาลมาจากพรรคไหนก็ตามล้วนแล้วแต่เป็นนโยบายฉาบฉวย แก้ปัญหาระยะสั้นเสียเป็นส่วนใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นนโยบายประกันราคาข้าว หรือจำนำข้าว ซึ่งนโยบายเหล่านี้เป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ เพื่อพยุงราคาข้าวให้มีราคาสูง โดยเอาเงินภาษีที่เก็บจากผู้เสียภาษีทั้งประเทศมาขุดหนูชาวนา ซ้ำร้ายราคาข้าวถุงที่ขายในประเทศยังมีราคาแพงกว่าบางประเทศเสียอีก ทั้งๆ ที่ประเทศไทยเป็นประเทศส่งออกข้าวรายใหญ่ของโลก เปรียบเสมือนเป็นกระดูกสันหลังของโลก ในปีหนึ่งๆ เราใช้เงินหลายแสนล้านเพื่อพยุงราคาข้าว ซึ่งคงจะต้องทำไปชั่วกัลปาวสาน ถ้าไม่แก้ที่ต้นเหตุ ผมว่าเม็ดเงินมหาศาลที่ทุ่มเทไปถ้ารู้จักใช้หัวคิดสักหน่อย น่าจะใช้ประโยชน์ได้เต็มที่มากกว่าปัจจุบันและคิดว่าไม่กี่ปี เม็ดเงินที่จำเป็นต้องใช้ไปกับข้าวน่าจะน้อยลงไปเรื่อยๆ ถ้าเราเริ่มต้นแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ เรามาดูปัญหาเกี่ยวกับข้าวมีอะไรบ้าง
1)    ระบบขลประทาน ที่ยังไม่ทั่วถึงและไม่ดีพอ
2)    ราคาปุ๋ย และย่าฆ่าศัตรูพืชที่มีราคาสูง
3)    ผลิตผลต่อไร่ค่อนข้างต่ำ
4)    ชาวนาขายข้าวได้ราคาต่ำ เพราะว่าถูกกดราคารับซื้อจากพ่อค้าคนกลาง
5)    ข่าวสาร การประเมินราคาข้าวในอนาคต และจำนวนผลผลิตข้าวของโลก ไม่เคยไปถึงชาวนา
6)    ความขยันหมั่นเพียรของชาวนาไทย
7)    ชาวนาขาดเมล็ดพันธุ์ข้าวดีๆ
8)    ทำอย่างไรให้ประชากรโลก รู้จักและทานข้าวไทยมากขึ้น
เมื่อเรารวบรวมปัญหาเกี่ยวกับข้าวทั้งหมดแล้ว เราก็มาลองวิเคราะห์แต่ละปัญหาว่าเกิดจากสาเหตุอะไร แล้วหาทางแก้กันดู ผมมีความคิดว่ารัฐบาลควรจะดำเนินการในเรื่องต่อไปนื้คือ
1)    สร้างระบบชลประทานให้ทั่วถึงและมากพอ ในแต่ละปีรัฐบาลได้ จัดสรรงบเพื่อระบบชลประทานเป็นเม็ดเงินที่มหาศาล ถ้าแบ่งงบที่จะใช้ในการพยุงราคาข้าวมารวมด้วย น่าจะทำให้ภายใน 5-10 ปี ชาวนาไทยควรจะเข้าถึงระบบชลประทานได้ทั่วถึง ถ้าเจ้าหน้าที่รัฐไม่มีกินนอกกินใน
2)    ให้ความรู้แก่ชาวนาในการทำนาแบบ Organic ลดการพึ่งพาปุ๋ยเคมีและยาฆ่าศัตรูพืช ทำให้ต้นทุนการทำนาต่อไร่ของชาวนาลดลง ตอนเริ่มต้นอาจจะทำให้ผลผลิตข้าวต่อไร่ต่ำลง แต่เมื่อดินคุ้นเคยกับวิถีการเกษตรแบบนี้ ก็จะกลับมาให้ผลผลิตข้าวต่อไร่มากขึ้นเสียด้วยซ้ำ และข้าว Organic จะขายได้ราคาดีกว่าข้าวที่ปลูกแบบใช้สารเคมีถึงมากกว่า 20% ทำให้ชาวนามีรายได้สูงขึ้น รัฐควรจะส่งเสริมการตั้งสหกรณ์ชาวนาโดยผ่านทาง อบจ. และอบต. แล้วให้ความรู้ และทำให้ชาวนามีอำนาจต่อรองกับพ่อค้าคนกลาง โดยผ่านสหกรณ์ได้มากขึ้น รวมทั้งรัฐเองควรเพิ่มงบวิจัยและพัฒนาพันธุ์ข้าวไทยให้มีความแข็งแรงสามารถต้านทานศัตรูพืชและมีผลผลิตต่อไร่สูงขึ้นรวมทั้งพัฒนาพันธุ์ข้าวให้มีความหลากหลายมากขึ้น เป็นเรื่องที่น่ายินดีที่คนยุคนี้ได้มีข้าวหลากหลายชนิดไม่ว่าจะเป็นข้าวลืมผัว ข้าวสังข์หยด ข้าวกล้องหอมนิล ข้าวมันปู Rice burry ฯลฯ ในขณะที่ตอนที่ผมเป็นเด็กมีเพียงข้าวสารธรรมดากับข้าวหอมมะลิเท่านั้น เมื่อระบบขลประทานดี ชาวนาไทยก็จะสามารถทำนาได้ปีละ 2-3 ครั้ง ทำให้ผลผลิตข้าวต่อไร่ต่อปีสูงขึ้น (ชาวนาเวียดนามทำนาปีละ 3 ครั้ง) ผมอยากให้รัฐส่งเสิรมให้ชาวนาปลูกพืชชนิดอื่นหรือผักสดระหว่างที่รอทำนาครั้งต่อไป นอกจากจะทำให้ดินมีคุณภาพมากขึ้นแล้ว ยังเป็นรายได้เสริมให้ชาวนาอีกทางแทนที่จะทำนาครั้งเดียวแล้วแทบจะไม่ทำอย่างอื่นเลยในระหว่างปี และถ้าท้องถิ่นไหน สามารถผลิตข้าวที่มีรสชาติและกลิ่นพิเศษกว่าท้องถิ่นอื่น รัฐ อบจ.และอบต.ควรจะส่งเสริมสร้างแบรนด์ทำให้ชาวนาในสหกรณ์นั้นๆ มีรายได้ต่อไร่สูงขึ้น อย่างเช่น ข้าวสังข์หยดที่มีซื่อต้องมาจากพัทลุง เป็นต้น
3)    เรามีตลาดเกษตรล่วงหน้าซึ่งข้าวก็เป็นหนึ่งในสินค้าที่อยู่ในตลาดนี้ ซึ่งทำให้ทราบราคาข้าวในอนาคตได้ และจากข้อมูลผลผลิตข้าวทั่วโลก ซึ่งรัฐมีอยู่แล้วในมือ ควรจะกระจายข่าวสารข้อมูงเหล่านี้ ผ่านทาง อบต.และสหกรณ์ เพื่อที่จะเข้าถึงชาวนาที่จะได้ทราบราคาข้าวในอนาคตได้พอเลาๆ
4)    รัฐควรคัดข้าวไทยที่มีคุณสมบัติพิเศษ ทางรสชาติและกลิ่นที่ดีกว่าข้าวของชาติอื่นๆ นำไปออกงานใหญ่เกี่ยวกับอาหารของโลกทุกงาน รวมทั้งพ่วงไปกับงานของ ททท. เวลาจัดส่งเสริมการท่องเที่ยวทำให้ชาวโลกรู้จักข้าวไทยมากขึ้น รวมทั้งให้ทุนวิจัยกับสถาบันชื่อดังของโลก มาทำการวิจัยผลดีของข้าวไทย ในด้านสารอาหารต่างๆ ที่มีเฉพาะในข้าวไทย ในยุคนี้คนส่วนใหญ่ห่วงใยสุขภาพ ล้วนแล้วแต่หาซื้ออาหารหรืออาหารเสริมที่มีคุณภาพกันอยู่แล้ว
5)    เนื่องจากชาวนาแต่ละคนมีที่คนละไม่กี่ไร่ ดังนั้น ถ้ารวมเป็นสหกรณ์แล้วเอาที่ดินทำนามารวมกัน แล้วช่วยกันทำนา  โดยแบ่งหน้าที่กันจะทำให้ต้นทุนในการทำนาลดลง เนื่องจากมีประสิทธิภาพมากขึ้นแล้วนำรายได้มาแบ่งกันตามสัดส่วนที่ดินของชาวนาแต่ละคน
6)    ควรจะมีการสั่ง MR.RICE ขึ้นตรงต่อนายกรัฐมนตรี มีอำนาจหน้าที่ดูแลเรื่องข้าวทั้งระบบ สามารถสั่งการทุกหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องได้
ผมมั่นใจว่าถ้ารัฐบาลไทย สามารถทำได้ตามนี้ ก็จะสามารถตัดปัญหาการประท้วง เรื่อง ราคาข้าวตกต่ำ ซึ่งตามมาด้วยปัญหาสังคมต่างๆ อย่างเช่น คำพูดที่ว่า “สอนวิธีตกปลา ยั่งยืนกว่าการให้ปลา”
กิติชัย เตชะงามเลิศ
                                                                                          14/05/57


ติดตามแนวทางการลงทุนของผมได้ที่ 
Facebook : https://www.facebook.com/VI.Kitichai
Twitter : http://twitter.com/value_talk 
Youtube : http://www.youtube.com/user/wittayu9
Blog :  http://kitichai1.blogspot.com
Instagram : Gid_Kitichai

หรือหนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ทุกวันพุธหน้า B6 หรือหน้า B10 และนิตยสารคนรวยหุัน, Condo Guide,  Me(Market Evolution), และ Glow ทุกเดือน
     

สนใจซื้ออสังหาเพื่ออยู่เองหรือเพื่อการลงทุน ลองเข้า http://www.pantipmarket.com/mall/homeproperty