การจับ Timing หรือจะสู้ Asset
Allocation
ผมเริ่มสนใจลงทุนเมื่อกว่า
20 ปีที่ผ่านมา ตั้งแต่สมัยเรียน M.B.A. จากการสังเกตว่ามหาเศรษฐีของโลกเขาทำอะไรกันบ้าง
พบว่าส่วนใหญ่ก็จะเป็นเจ้าของธุรกิจ นักลงทุน หรือ
เจ้าของบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่
ทำให้ผมเริ่มสนใจหาความรู้เกี่ยวกับการลงทุนโดยเฉพาะ หุ้น กับ อสังหาริมทรัพย์
ซึ่งผมวิเคราะห์ดูแล้ว สินทรัพย์ 2 ประเภทนี้มีความแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
กล่าวคือ
หุ้นเป็นสินทรัพย์ที่มีความผันผวนสูง
เราจะเห็นได้ว่าตลาดหุ้นทั้งของไทย และต่างประเทศ จะมีรอบขาขึ้น และขาลงเป็นรอบๆ
บางรอบก็ใช้ระยะเวลาไม่นาน บางรอบก็ใช้เวลายาวนานกว่าจะจบรอบ
โดยตลาดหุ้นมีการแก่วงตัว บางครั้งสูงมาก อย่างเช่น SET INDEX จาก 127.89
จุด เมื่อเดือนเมษายน 2529
ไต่ระดับขึ้นมาทำจุดสูงสุดในประวัติศาสตร์ที่ 1,789.16 จุด เมื่อเดือนเมษายน 2537 รวมแล้วขึ้นมาถึง 1,661.27 จุดคิดเป็น 1,298.98% ภายในระยะเวลาเพียง 7ปี 9เดือน
หรือคิดเป็นผลตอบแทนเฉลี่ยปีละ 167.61% แต่ถ้าคิดแบบ Compound
Average Growth Rate (CAGR) จะได้ผลตอบแทนแบบทบต้นประมาณ 44.40% ผลตอบแทนขนาดนี้มากกว่าผลตอบแทนที่ Warren Buffet ทำได้เฉลี่ยที่ผ่านมาแค่ประมาณ
20% เท่านั้น
แต่อย่างที่ทราบๆกันว่าตลาดหุ้นไม่ใช่มีขึ้นอย่างเดียว ขาลงก็มี และบ่อยด้วย
และบางครั้งลงเหมือนนรกก็มิปาน เรามาดูกันครับว่ามันร้ายแรงแค่ไหน
SET INDEX หลังจากสร้างจุดสูงสุดในประวัติศาสตร์ที่
1,789.16 เมื่อเดือน มกราคม 2537 แล้วก็ไหลลงมาตลอด
จนไปสร้างจุดต่ำสุดที่ 204.59 เมื่อเดือนกันยายน 2541 รวมเวลาที่ลง 4 ปี 8เดือน
ลงไปทั้งหมด 1,584.57 คิดเป็น 88.57%
เปรียบเสมือนว่าลงทุนไป 100 บาท ในช่วงที่ SET INDEX ทำจุดสูงสุดนั้นผ่านไปไม่ถึง
5 ปี มูลค่าเงินลงทุนก้อนนั้นเหลือเพียง 11.43 บาทเท่านั้น
นี่เฉพาะกรณีที่ลงทุนแล้วได้ผลตอบแทนเทียบเท่ากับค่าเฉลี่ยของผลตอบแทนของ SET
INDEX แต่ในช่วงนั้นประเทศไทยเกิดภาวะเศรษฐกิจล่มสลาย
กลายเป็นวิกฤตต้มยำกุ้ง คนตกงานมากมาย บริษัทห้างร้านปิดกิจการมากมาย
สถาบันการเงินเจ๊งกันไประนาว ไม่เว้นแม้แต่สถาบันการเงินที่เป็นบริษัทในเครือหรือบริษัทย่อยของธนาคารใหญ่ๆ
อย่างเช่น บล.ร่วมเสริมกิจ บล.ธนสยาม ฯลฯ ที่ต้องล้มละลายไปในช่วงเวลานั้น
แล้วถ้าช่วงนั้นเงินลงทุนบางส่วนมีหุ้น บริษัทเหล่านี้อยู่
นั่นหมายถึงผลตอบแทนก็จะยิ่งแย่กว่านี้อีก นึกถึงช่วงเวลานั้น
ผมยังจำได้ว่าค่าเงินบาทที่เคยผูกติดไว้กับเงินดอลล่าร์สหรัฐที่ 27 บาท
กลับอ่อนยวบไปสูงสุดที่ประมาณ 58 บาท
ธุรกิจที่กู้หนี้จากต่างประเทศในสกุลเงินต่างประเทศในสกุลเงินดอลล่าร์สหรัฐ จาก 100
ล้านบาทกลายเป็นกว่า 200 ล้านบาท นอกจากเงินต้นที่เพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า ดอกเบี้ยจ่ายก็เพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัวไปด้วย
มิหนำซ้ำสถาบันการเงินต่างประเทศที่ธุรกิจเหล่านี้กู้ผ่าน BIBF ก็เร่งรัดขอให้ชำระหนี้ทันที ภาวะเก็งกำไรทุกอย่างหยุดชะงัก ไม่ว่าจะเป็นหุ้น
หรือแม้แต่สมาชิกสนามกอล์ฟก็ยังเก็งกำไรกัน
โครงการอสังหาริมทรัพย์หลายๆประเภทไม่ว่าจะเป็นคอนโดที่อยู่อาศัย อาคารสำนักงาน
ที่สร้างขึ้นมาเพื่อรองรับ Demand ของนักเก็งกำไร
ถูกทิ้งร้างไว้หลายๆโครงการ นักเก็งกำไรก็หนีตาย แห่กันลดราคา
ยอมตัดขาดทุนเพื่อลดหนี้ และรักษาสภาพคล่องไว้กับตัว
ราคาของสินทรัพย์ในประเทศไทยเกือบทุกประเภทมีมุลค่าลดลง
ไม่ว่าจะเป็นหุ้นที่ลงระเนระนาด ราคาที่ดิน
บ้านคอนโดตกลงอย่างมากอย่างแทบไม่น่าเชื่อ
ผมจำได้ว่าราคาคอนโดหลายแห่งในกรุงเทพฯตกลงไป 25-50 % เลยทีเดียว
ในช่วงนั้นเองผมก็เป็นคนหนึ่งที่ตกอยู่ในสถานการณ์ลำบากด้วยเช่นกัน
โดยผมเพิ่งเริ่มเข้าไปลงทุนในตลาดหุ้นด้วย
มิหนำซ้ำผมยังใช้เงินกู้ในการซื้อขายหุ้น และที่แย่ไปกว่านั้น
คอนโดที่ผมอยู่ในปัจจุบัน ผมก็เอาเข้าธนาคารเพื่อขอสินเชื่อ
ด้วยความที่ผมเป็นนักเก็งกำไรที่ Aggressive มาก ในสมัยนั้น หุ้นก็ตกลงอย่างมาก
สมาชิกสนามกอร์ฟที่เก็งกำไรไว้หลายๆสนามๆละหลายๆสมาชิก ก็ขายไม่ออก
ทั้งๆที่ยอมตัดขายขาดทุนอย่างมาก คอนโดที่ซื้อเก็งกำไรไว้ก็ราคาตก
ดอกเบี้ยเงินกู้ทั้งหุ้นและคอนโดก็ต้องจ่ายทุกเดือน
ผมเริ่มมองเห็นหายนะที่จะเกิดขึ้นกับผมในอนาคตข้างหน้าที่ไม่ไกลนัก
ในที่สุดผมก็ยอมกัดฟัน ตัดขายขาดทุนเพื่อจะล้างหนี้หุ้นและคอนโดจนไม่มีหนี้เหลือ
และเหลือสภาพคล่องไว้ให้เพียงพอสำหรับจับจ่ายใช้สอยภายในเวลา 7-8 ปี เผื่อว่าเศรษฐกิจประเทศไทยจะมีการฟื้นตัวล่าช้า
อย่างไรก็ตาม ในตอนนั้นผมมีความเชื่อว่าเศรษฐกิจไทยต้องฟื้นตัวแน่
เพียงแต่จะช้าหรือเร็วเท่านั้น แต่ยังไงก็คงไม่เกิน 5-6 ปีเป็นแน่ ตามวัฏจักรเศรษฐกิจที่มีฟุบก็ต้องมีฟื้นในที่สุด
และแล้วเศรษฐกิจไทยก็ฟื้นตัว หุ้นที่ยังคงมีอยู่ในพอร์ตก็มีราคาสูงขึ้น
ราคาคอนโดที่ถืออยู่ก็มีราคาสูงขึ้น จากบทเรียนคราวนั้น ทำให้ผมเปลี่ยนวิธีการลงทุนในหุ้น
จากเน้นเก็งกำไร กลายเป็นลงทุนโดยเน้นปัจจัยพื้นฐานในการเลือกหุ้น
และผมก็ยังใช้วิธีวิเคราะห์ทางเทคนิคมาช่วยจับ Timing และดูแนวรับแนวต้านประกอบในการซื้อขายหุ้นด้วย
โดยเมื่อ 8-9 ปีที่แล้ว ผมได้เข้าไปลงทุนหุ้นบริษัทไทยพาณิชย์นิวยอร์คประกันชีวิต (SCBNYL)
ชื่อในสมัยนั้น ปัจจุบันคือ บริษัทไทยพาณิชย์ประกันชีวิต (SCBLIF)
โดยผมใช้เงินลงทุนไม่ถึง 20 ล้านบาท ซื้อหุ้น SCNYL ได้ประมาณ 270,000 หุ้น เฉลี่ยต้นทุนหุ้นละ 70
กว่าบาท หลังจากถือมาประมาณ 7-8 ปี ราคาหุ้นตัวนี้ไต่ระดับขึ้นมาเรื่อยๆ
จนไปทำราคาสูงสุดที่ 1,210 บาท
ในช่วงระหว่างที่ถือครองหุ้นตัวนี้ ผมได้ปันผล 120 กว่าบาท/หุ้น
แค่เงินปันผลอย่างเดียวก็มากกว่าต้นทุนที่ซื้อมาแล้ว ยังมีเงินเหลืออีกประมาณ
50บาท/หุ้น ยังไม่นับรวม Capital Gain อีก 1,100 กว่าบาท/หุ้น คิดรวมเป็นผลตอบแทนประมาณ 1,800% เห็นไหมครับ
ถ้าเลือกลงทุนในหุ้นที่ถูกต้อง ผลตอบแทนนั้นมหาศาลจริงๆ
เชื่อไหมครับว่า
จุดเริ่มต้นที่ทำให้ผมหันมาสนใจหุ้นตัวนี้มาจากการอ่านหนังสือพิมพ์ธุรกิจฉบับหนึ่งเมื่อ
8-9 ปีที่แล้ว ซึ่งมีข่าวสัมภาษณ์นายกสมาคมประกันชีวิตแห่งประเทศไทย
ที่กล่าวถึงเปอร์เซนต์ของคนไทยที่ทำประกันชีวิตมีเพียง 14% เท่านั้น
ซึ่งสร้างความแปลกใจให้กับผมมากว่า ทำไมตัวเลขถึงต่ำอย่างนั้น
ผมก็เลยเริ่มไปค้นหาข้อมุลว่าคนชาติอื่นเขาทำประกันชีวิตกันมากน้อยอย่างไร
ปรากฎว่าคนณี่ปุ่นทำประกันชีวิตมากกว่า 100% เสียอีกด้วยซ้ำ
เพราะบางคนทำประกันชีวิตมากกว่า 1 กรมธรรม์ ผมคิดว่าอีกสัก 15-20 ปี
ถ้าคนไทยมีรายได้เท่ากับคนญี่ปุ่นในขณะนั้น
(สมมติว่ารายได้คนญี่ปุ่นไม่เพิ่มขึ้นเลย) นั่นหมายถึงธุรกิจประกันชีวิตน่าจะโตขึ้นได้อีก
7-8 เท่า ซึ่งนับว่าเป็นการเติบโตที่สูงมาก ผมค้นข้อมูลต่อไปอีกว่า ช่วง 4-5
ปีที่ผ่านมา อัตราการเติบโตของเบี้ยประกันชีวิตของไทยโตเป็น 3-5 เท่าของ GDP
มาตลอด อย่าลืมนะครับ GDP เป็นค่าเฉลี่ยของผลผลิตทั้งสินค้าและบริการ
การที่ธุรกิจประกันชีวิตโต 3-5 เท่าของ GDP ต้องนับเป็นธุรกิจที่
OUTPERFORM กว่าธุรกิจอื่นๆเป็นอย่างมาก
ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นอดีตหรืออนาคตดูแล้วน่าประทับใจมาก ผมจึงลองเข้าไปค้นดูว่า
ในตลาดหลักทรัพย์มีหุ้นประกันชีวิตบริษัทอะไรบ้างที่จะทะเบียนอยู่
บังเอิญช่วงนั้นมีเพียง SCNYL บริษัทเดียวเท่านั้น และ SCNYL
เป็นบริษัทประกันชีวิตบริษัทแรกที่นำ BANCASSURANCE มาใช้ในเมืองไทย ทำให้ MARKET SHARE โตเร็วขึ้นมาก
จนช่วงหลังๆ ทุกธนาคารต้องหันมาเลียนแบบ และเมื่อดูผู้ถือหุ้นใหญ่ ปรากฎว่า SCB
กับ NEWYORK LIFE (NYL)จากสหรัฐ ถือหุ้นคนละ
47 % กว่า ที่เหลือเป็นรายย่อย SCB เป็นธนาคารที่มีสาขามากที่สุดใปประเทศไทย
นั่นหมายถึงมี OUTLET สำหรับทำ BANCASSURANCE ให้ SCNYLได้มาก แถมยังถือหุ้นใหญ่
โดยสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์
ส่วนนิวยอร์คไลฟ์ก็เป็นบริษัทประกันชีวิตขนาดใหญ่ ติด TOP 5 ของสหรัฐ
เชื่อไหมครับว่าช่วงที่เกิด HAMBERGER CRISIS AIG เกือบล่มสลาย
ถ้ารัฐบาลสหรัฐไม่เข้าไปช่วยเหลือในขณะที่ NYL ไม่ได้รับความเสียหายมากมายนัก
เพราะนโยบายในการลงทุนที่ CONSERVATIVE ซึ่งทาง NYL ได้นำมาใช้กับ SCNYL ด้วย ด้วยสาขาที่มากมายของ SCB
และ KNOWHOW ของ NYL ทำให้
SCNYL เหมือนกับเสือติดปีก และความโปร่งใสในการดำเนินการ จาก
CORPORATE GOVERNANCE ของผู้ถือหุ้นใหญ่ทั้ง 2
ยิ่งทำให้สบายใจในการลงทุน ผลกล้าพูดได้เต็มปากเลยว่า SCNYL (SCBLIF) เป็นหุ้นที่ดีที่สุดในตลาดหลักทรัพย์ แม้ช่วง HAMBERGER CRISIS ผลประกอบการของบริษัทยังโตได้อีก 30-40% ทั้งๆที่ในช่วงเวลานั้นบริษัทอื่นๆไม่ว่าจะจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์
หรือ MAI และบริษัทนอกตลาดทั้ง 2
ส่วนใหญ่มีผลประกอบการที่แย่ลง หรือบางบริษัทขาดทุนเสียด้วยซ้ำ
ส่วนคอนโดที่ผมอาศัยอยู่ในปัจจุบัน
ผมซื้อเมื่อ 13
ปีที่แล้ว ที่ราคา 7.80 ล้านบาท
ปัจจุบันนี้มีคนมาขอซื้อที่ราคา 20 ล้านบาทแล้ว
กำไรทั้งอยู่และ CAPITALGAIN ที่งดงาม
นั่นคือสาเหตุที่ผมมีการกระจายการลงทุนของผมลงในหุ้นและอสังหาริมทรัพย์
เนื่องจากธรรมชาติของสินทรัพย์ทั้ง 2 ชนิดแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
หุ้นเป็นสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องสูง แต่มีความหวือหวามาก ในขณะที่อสังหาริมทรัพย์เป็นสินทรัพย์ที่มีความหวือหวาไม่มากนัก
โอกาสที่จะเห็นราคาอสังหาริมทรัพย์ตกลงมากๆในช่วงชีวิตคนเรา ไม่น่าจะเกิน 2-3
ครั้ง เสียแต่สภาพคล่องต่ำ จึงเป็นสินทรัพย์ที่เมื่ออยู่ในพอร์ตเดียวกัน
จะช่วยลดความผันผวน และสร้างสภาพคล่องที่ปานกลางได้ดี
ปีนี้เริ่มเล็งทองและสินค้าโภคภัณฑ์ โดยเฉพาะน้ำมัน ในอัตราส่วน 60:30 5:5 จากประสบการณ์ของผม การทำ ASSET ALLOCATION ที่ดีจะสร้างผลตอบแทนการลงทุนได้มากกว่าการจับ
TIMING ในระยะยาว และข้อสำคัญคือ
ต้องลงทุนเฉพาะสินทรัพย์ที่รู้จักและเข้าใจดีเท่านั้น
กิติชัย เตชะงามเลิศ
13/4/59
13/4/59
1.หนังสือ "จาก1ล้านเป็น500ล้านผมทำอย่างไร" เล่าประสบการณ์การลงทุนของผมที่นำไปใช้ได้ง่ายๆ
2.หนังสือ "ออมจากน้อยเป็นร้อยล้าน" แนะวิธีออมเงินเพียงเดือนละหลักพัน ก็เป็นเศรษฐี 100 ล้าน ก่อนอายุ 50 ปี!
2.หนังสือ "ออมจากน้อยเป็นร้อยล้าน" แนะวิธีออมเงินเพียงเดือนละหลักพัน ก็เป็นเศรษฐี 100 ล้าน ก่อนอายุ 50 ปี!
ติดตามสาระดีๆทั้งไลฟ์สไตล์และการลงทุนได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/VI.Kitichai
Twitter : http://twitter.com/value_talk
Instagram : Gid_Kitichai
Blog : http://kitichai1.blogspot.com
You Tube : http://www.youtube.com/user/wittayu9
Google+ : https://www.google.com/+KitichaiTaechangamlert
Linkedin : https://www.linkedin.com/in/homeproperty
Pinterest : http://www.pinterest.com/kitichai/
1.หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ทุกวันพุธหน้า A10 ในคอลัมน์ "เขียนอย่างที่คิด"
2.หนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจหน้า 15 เดือนละครั้ง ในคอลัมน์ “จับช่องลงทุน”
3.นิตยสาร Condo Guide ทุกเดือน
4.นิตยสาร คนรวยหุัน Me(Market Evolution) และ วารสารเภตรา ทุกไตรมาส
5. http://www.amthai.co.uk เดือนละครั้ง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น