จากบทความ 2
ตอนที่แล้ว ซึ่งผมได้ปูพื้นให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลง ของฐานประชากรไทยในช่วง 10
กว่าปีที่ผ่านมา รวมทั้งกลุ่มโรงพยาบาลที่จะได้รับประโยชน์ จากฐานอายุของประชากรไทยที่สูงขึ้น
และจำนวน EXPAT ที่มากขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
ที่นี้เรามาเข้าเรื่องตามชื่อบทความ
"ลดหย่อนประกันสุขภาพ ใครได้ประโยชน์?" กันครับ จากการที่กรมสรรพากร
อนุญาตให้ผู้เสียภาษี ที่ซื้อประกันสุขภาพสามารถนำเบี้ยดังกล่าวมาลดหย่อนภาษีได้เพียง
15,000 บาท แต่เมื่อรวมกับเบี้ยประกันชีวิตแล้ว ก็จะลดหย่อนมากสุดได้แค่ 100,000 บาทเท่าเดิม ไม่ได้ให้สิทธิ์ในการลดหย่อนเพิ่มขึ้น
เพียงแต่ว่าสามารถที่จะนำเบี้ยประกันสุขภาพจำนวนดังกล่าว
มารวมกับเบี้ยประกันชีวิตได้ ซึ่งแต่เดิมจะสามารถนำเพียงแต่เบี้ยประกันชีวิตมาลดหย่อนได้เท่านั้น
ดังนั้นธุรกิจประกันชีวิตทั้งหลาย ก็คงจะต้องอกหักไปตามๆกัน
จากการที่คาดหวังว่าจะสามารถขายประกันสุขภาพ ได้เพิ่มเติมจากคนที่ทำประกันชีวิตอยู่แล้ว ซึ่งโดยปกติเบี้ยประกันสุขภาพ จะมีกำไรในอัตราที่ต่ำกว่าเบี้ยประกันชีวิต
ซึ่งจะเห็นได้จากค่าคอมมิชชั่นของยอดขายประกันสุขภาพ
ที่บริษัทประกันชีวิตให้กับตัวแทนประกันชีวิต
อยู่ในอัตราที่ต่ำกว่ายอดขายประกันชีวิต รวมทั้งผู้ที่จะซื้อประกันสุขภาพ
จะต้องเป็นลูกค้าที่ซื้อประกันชีวิตอยู่ก่อนแล้ว ถึงจะมีสิทธิ์ซื้อได้ ดังนั้นถ้าลูกค้าบริษัทประกันชีวิต
นำจำนวนเงินที่จะซื้อประกันชีวิต มาซื้อประกันสุขภาพ
โดยไม่เพิ่มเม็ดเงินที่มากขึ้น
ก็น่าจะทำให้ธุรกิจประกันชีวิตมีอัตราการทำกำไรที่ลดลง
แต่ธุรกิจที่เน้นขายประกันสุขภาพโดยตรง
อย่างเช่น BUPA น่าจะได้รับประโยชน์จากมาตรการลดหย่อนภาษีครั้งนี้เป็นอย่างมาก เรียกว่างานนี้ส้มหล่นจริงๆ เสียดายที่ไม่ได้จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์
มิฉะนั้นผมคงจะต้องรีบเข้าไปซื้อเสียแล้ว ทีนี้มาดูกันครับว่าเบี้ยประกันสุขภาพ 15,000
บาทสำหรับคนที่มีอายุไม่เกิน 30 ปีจะคุ้มครองอะไรกันบ้าง
ค่าห้องและการพยาบาลสูงสุดต่อวัน
4,000
ค่าห้องไอซียูและการพยาบาลสูงสุดต่อวัน 8,000
ค่ารักษาพยาบาลทั่วไป ตามจริง*
ค่าธรรมเนียมแพทย์ผ่าตัด
ตามจริง*
ค่าแพทย์เยี่ยมไข้ ตามจริง*
การรักษาพยาบาลฉุกเฉินแบบคนไข้นอก (กรณีอุบัติเหตุรักษาตัวภายใน 24
ชั่วโมง) ตามจริง*
ประกันอุบัติเหตุ
(อ.บ.2)
100,000
รวมแล้วความคุ้มครองสูงสุด(
สูงสุดต่อปี ) 750,000
รวมทั้งความคุ้มครองกรณีผู้ป่วยนอก ได้แก่ ค่าปรึกษาแพทย์, ค่ายา, ค่าเอ็กซเรย์และค่าตรวจในห้องแล็ป
(สูงสุดไม่เกิน 1 ครั้งต่อวัน และ 30 ครั้งต่อปี)
เมื่อดูตามความคุ้มครองข้างบนนี้แล้ว
จะเห็นได้ว่ากลุ่มโรงพยาบาลที่จะได้ประโยชน์ทางอ้อม
จากมาตรการลดหย่อนเบี้ยประกันสุขภาพนี้
คงต้องเป็นกลุ่มโรงพยาบาลระดับกลางถึงล่างเท่านั้น เพราะว่าค่าบริการและค่ารักษาพยาบาลของโรงพยาบาลระดับบน
สูงเกินกว่าความคุ้มครองที่จะได้จากเบี้ยประกันในระดับนี้ ดังนั้นคนที่เคยซื้อประกันสุขภาพ
ซึ่งต้องการความคุ้มครองในระดับสูง คงแทบจะไม่เห็นประโยชน์จากมาตรการดังกล่าว
หรืออาจจะมีบ้างที่นำเงินที่จ่ายค่าเบี้ยประกันสุขภาพ ซึ่งเคยจ่ายอยู่แล้วทุกปี
มาใช้ประโยชน์ในการลดหย่อนภาษี แต่จะมีกลุ่มผู้ที่ไม่เคยซื้อประกันสุขภาพ ซึ่งเป็นฐานของคนกลุ่มใหญ่
หรือผู้ที่ซื้อประกันสุขภาพในระดับความคุ้มครองปานกลางอยู่แล้ว
จะอาศัยมาตรการนี้เพื่อประโยชน์ในการเสียภาษีน้อยลงเพิ่มขึ้น
ซึ่งผมเองก็สนับสนุนมาตรการของกรมสรรพากรในครั้งนี้
เพื่อช่วยให้ชนชั้นกลางมีหลักประกันสุขภาพมากขึ้น
ไม่ต้องเป็นห่วงคนที่รวยกันอยู่แล้ว เพราะกลุ่มนั้นเขามีกำลังซื้อที่สูง
ถ้าผมเป็นผู้บริหารของกลุ่มโรงพยาบาลระดับกลาง
ช่วงนี้ผมคงจะต้องเร่งรีบเข้าพบบริษัทประกันชีวิต และบริษัทประกันสุขภาพต่างๆ
เพื่อนำเสนอโครงการคุ้มครองสุขภาพ ให้กับผู้ที่ซื้อประกันสุขภาพจากบริษัทเหล่านี้
เพื่อให้บริษัทเหล่านี้สามารถที่จะออกแบบเบี้ยประกันสุขภาพ ทันกับแรงซื้อที่จะเกิดขึ้นจากผู้ซื้อประกันสุขภาพ
เพื่อหวังลดหย่อนภาษีให้ทันภายในปีนี้ เพราะว่าอัตรากำไรที่โรงพยาบาลจะได้รับ
ย่อมต้องสูงกว่าอัตรากำไรที่โรงพยาบาลได้จากโครงการประกันสังคมแน่นอน ซึ่งจะทำให้อัตรากำไรโดยเฉลี่ยของโรงพยาบาลสูงขึ้น
ยิ่งถ้าโรงพยาบาลระดับกลาง ที่มีโรงพยาบาลในเครือหลายแห่ง
ย่อมต้องได้เปรียบกว่าโรงพยาบาลเดี่ยว
เพราะลูกค้าสามารถเลือกใช้บริการได้สะดวกกว่า รวมทั้งสามารถส่งผู้ป่วยที่มีเคสซับซ้อน
ไปทำการรักษาในศูนย์การแพทย์ต่างๆที่อยู่ในเครือโรงพยาบาลเดียวกัน
นักลงทุนในตลาดหลักทรัพย์คงจะต้องเลือกดูว่า
กลุ่มโรงพยาบาลไหนที่จะได้ประโยชน์ ตามที่ผมได้เขียนมาข้างต้น
จากมาตรการลดหย่อนเบี้ยประกันสุขภาพครั้งนี้
แล้ววิเคราะห์ดูให้ดีนะครับ เพราะว่า P/E ของกลุ่มโรงพยาบาลนับว่าสูงมากเมื่อเทียบกับ
P/E ของตลาดหลักทรัพย์
ดังนั้นต้องทำการบ้านให้ดี แล้วหาหุ้นที่มีความเหมาะสมในการลงทุนกัน เพื่อสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนสูงสุดครับ
กิติชัย เตชะงามเลิศ
ถ้าท่านชอบบทความผม ท่านสามารถสมัครสมาชิกโดยเอาเม้าส์ไปทางด้านขวามือจะมีแถบแสดงออกมา แล้วเลือกคลิกไอคอนที่เขียนว่าสมัครรับข้อมูล เมื่อผมมีบทความใหม่ ท่านก็จะทราบทันที
ติดตามสาระดีๆทั้งไลฟ์สไตล์และการลงทุนได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/VI.Kitichai
Twitter : http://twitter.com/value_talk
Instagram : Gid_Kitichai
Blog : http://kitichai1.blogspot.com
You Tube : http://www.youtube.com/c/KitichaiTaechangamlert
Twitter : http://twitter.com/value_talk
Instagram : Gid_Kitichai
Blog : http://kitichai1.blogspot.com
You Tube : http://www.youtube.com/c/KitichaiTaechangamlert
หรือ 1.หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ทุกวันพุธหน้า B6 ในคอลัมน์ "เขียนอย่างที่คิด"
2.หนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจหน้า 15 เดือนละครั้ง ในคอลัมน์ “จับช่องลงทุน”
3.นิตยสาร Be Link ทุกเดือน
4.นิตยสาร GQ เดือนเว้นเดือน
5.นิตยสาร Me(Market Evolution) วารสารเภตรา ของสมาคมศิษย์เก่าคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี และ จุลสารเตชะสาร ของสมาคมเตชะสัมพันธ์ ทุกไตรมาส
หาอสังหาทั้งถูกและดีเพื่ออยู่เองหรือเพื่อการลงทุน ได้ที่ http://www.pantipmarket.com/mall/homeproperty
นอตติ้ง ฮิลล์ ดิ เอ็กซ์คลูซีฟ เจริญกรุง 93 (Notting Hill The Exclusive CharoenKrung 93) 3 ยูนิตสุดสวย ราคาพิเศษ
ใกล้แม่น้ำเจ้าพระยา ห่างจากเอเชียทีคเพียง 140 เมตร
ห้องที่จะขายดาวน์(พร้อมอยู่อาศัยได้เลย)
1.ห้อง
403(77/40) ชั้น 4 ประเภทห้อง B2
: 1 นอน 1 น้ำ ไม่ติดลิฟท์ พื้นที่ใช้สอย : 27.5 ตารางเมตร ระเบียงหันไปทิศตะวันออกเฉียงเหนือ วิวสระว่ายน้ำ เฟอร์นิเจอร์และเครื่องใช้ไฟฟ้าครบครัน
ตกแต่งสวยมาก มี ผ้าม่าน
เตาไฟฟ้า เครื่องดูดควัน แอร์ 2 ตัว ตู้เย็น 9.4 คิว เครื่องซักผ้าฝาหน้า
Digital TV 40 นิ้ว เครื่องทำน้ำอุ่น และ Microwave ราคา 2,800,000 บาท ราคานี้ยังไม่รวมค่าใช้จ่ายตอนโอน(ค่าโอน 1% + เงินกองทุนคอนโด + เงินค่าส่วนกลางจ่ายล่วงหน้า
1 ปี + เงินค่าขอมิเตอร์ไฟ + เงินค่าบำรุงมิเตอร์น้ำ + ค่าใช้จ่ายอื่นๆ) = 51,876 บาท ปล่อยเช่า 13,000 บาท/เดือน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น