จาก1ล้านเป็น500ล้านผมทำอย่างไร

จาก1ล้านเป็น500ล้านผมทำอย่างไร
เล่าประสบการณ์การลงทุนของผมที่นำไปใช้ได้ง่ายๆ

วันพฤหัสบดีที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2555

“Digital TV” จุดเปลี่ยนทีวีไทย...จริงหรือ?


“Digital TV” จุดเปลี่ยนทีวีไทย...จริงหรือ?
ผู้เขียน:   ทับขวัญ หอมจำปา และ จาตุรนต์ อำไพ
วันที่:      11 ตุลาคม 2555

ดิจิตอลทีวี 48 ช่อง ที่จะเกิดภายในปี 2013 จะกระตุ้นให้เกิดการลงทุนและแข่งขันในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องจากผู้ประกอบการรายใหญ่เป็นหลัก แต่อาจต้องใช้เวลาในการสร้างความนิยมให้แก่ผู้บริโภค เนื่องจากระยะเวลาในการเปลี่ยนผ่านที่ใช้เวลานาน ประกอบกับการรับชมทางเลือกอื่นที่กำลังเติบโตได้ดี  โดยหน่วยงานภาครัฐจะเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการเร่งกระบวนการเปลี่ยนผ่านจากอนาล็อกไปสู่ดิจิตอลได้ตามเป้าหมาย เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อผู้ประกอบการในธุรกิจมีเดียและผู้บริโภคไทย 
 
ดิจิตอลทีวีเป็นปัจจัยเอื้อต่อทั้งผู้ประกอบการและผู้บริโภค แต่การเปลี่ยนผ่านจากระบบอนาล็อกในปัจจุบันนั้นอาจต้องใช้ระยะเวลานานถึง 8- 10 ปี กว่าจะเสร็จสมบูรณ์ จึงอาจดูเป็นเรื่องไกลตัวเกินไปสำหรับผู้บริโภคที่มีทางเลือกอื่น ทำให้รายจ่ายของผู้ประกอบการมีแนวโน้มสูงกว่ารายได้ในระยะแรก  ดิจิตอลทีวี สำหรับการออกอากาศโทรทัศน์ภาคพื้นดิน (Terrestrial TV) ถูกคิดค้นมาแทนที่ระบบอนาล็อกเพื่อเพิ่มจำนวนช่องบริการและยกระดับคุณภาพสัญญาณให้คมชัดและไม่ถูกรบกวนได้ง่าย  และยังสามารถพัฒนาให้รับชมในระบบความคมชัดสูง (High Definition)  ระบบสามมิติ (3D)  และการรับชมขณะเคลื่อนที่ (TV-on-Mobile) เพื่อตอบสนองกับวิถีชีวิตของคนรุ่นใหม่ ในส่วนของผู้ประกอบการจะสามารถสร้างรายได้จากการให้บริการที่หลากหลายเพิ่มขึ้น เช่น บริการเสริมลักษณะโต้ตอบ (Interactive) เช่น VDO-on-Demand รวมถึงรายได้จากโฆษณาที่จะเพิ่มขึ้นจากการวัดเรตติ้งที่แม่นยำขึ้นผ่านระบบดิจิตอล ในด้านรายจ่ายผู้ประกอบการยังสามารถประหยัดพลังงานในการส่งสัญญาณได้ถึง 90% เมื่อเทียบกับการส่งในระบบอนาล็อกเดิมอีกด้วย (รูปที่1) แต่ผู้ประกอบการอาจต้องเผชิญกับความเสี่ยงด้านต้นทุนในการปรับเปลี่ยนอุปกรณ์และวางโครงข่ายล่วงหน้า ในขณะที่ผู้บริโภคจะยังมีการใช้งานน้อยในช่วง 3 ปีแรก โดย กสทช. ได้สร้างแผนแม่บทในการเปลี่ยนผ่านเทคโนโลยีนี้เป็นเวลาอย่างน้อย 8-10 ปี ซึ่งสอดคล้องกับระยะเวลาเปลี่ยนผ่านจากระบบอนาล็อกเป็นดิจิตอลของประเทศพัฒนาแล้วเช่น ญี่ปุ่น และสหรัฐฯ เช่นกัน (รูปที่2)  

ดิจิตอลทีวีจะทำให้เกิดการแตกตัวทางธุรกิจมีเดียให้มีความหลากหลายมากขึ้น แต่ด้วยต้นทุนที่ค่อนข้างสูง ทำให้อาจมีเพียงผู้ประกอบการรายใหญ่เป็นหลักที่สามารถเข้าร่วมลงทุน การออกอากาศในระบบอนาล็อกเดิมจะประกอบไปด้วยผู้เล่นสองส่วนหลักคือ ผู้ผลิตรายการโทรทัศน์ และช่องสถานีที่ทำการรวบรวมรายการและแพร่สัญญาณภาพ แต่ในระบบดิจิตอลจะมีการแตกตัวทางธุรกิจเพิ่มขึ้น   ช่องสถานีโทรทัศน์อาจไม่จำเป็นต้องเป็นเจ้าของโครงข่ายและปัจจัยพื้นฐานเองทั้งหมด นอกจากนั้น อาจเกิดธุรกิจใหม่ๆ เช่น ผู้รวบรวมสัญญาณการแพร่ภาพ และผู้ผลิตบริการประยุกต์ต่างๆ ที่ใช้สำหรับการออกอากาศ เป็นต้น (รูปที่3)  อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนระบบออกอากาศมาเป็นระบบดิจิตอลจะต้องลงทุนในอุปกรณ์เพิ่มเติม และยังต้องจ่ายค่าเช่าโครงข่ายหากไม่มีเป็นของตัวเอง และที่สำคัญ ยังต้องชำระค่าประมูลใบอนุญาตอีกด้วย  ทำให้ผู้ประกอบการรายใหม่อาจต้องใช้เงินลงทุนหลักพันล้านบาทสำหรับหนึ่งช่องสถานี  ซึ่งต่างจากการลงทุนทำช่องทีวีดาวเทียมที่ใช้เงินลงทุนเพียงหลักร้อยล้านบาท  ดังนั้น การลงทุนในดิจิตอลทีวีน่าจะเอื้อประโยชน์ต่อผู้ประกอบการรายใหญ่จากฝั่งบรอดแคสติ้งรายเดิม เช่น กลุ่มฟรีทีวีเดิม (BEC, BBTV และ MCOT เป็นต้น) ที่ต้องการรักษาฐานตลาด และกลุ่มผู้ประกอบการทีวีดาวเทียมและเคเบิ้ลทีวีขนาดใหญ่ (True, GMM และ RS เป็นต้น) ที่ต้องการขยายฐานลูกค้า นอกจากนี้ ยังมีกลุ่มโทรคมนาคมขนาดใหญ่ที่สนใจเข้ามาลงทุนเช่นกัน โดยบริษัทเหล่านี้มีความได้เปรียบด้านเงินทุนและการมีโครงข่ายเป็นของตนเอง  ส่วนผู้ประกอบการรายเล็กที่มีเงินลงทุนไม่สูงนัก คงจำต้องเน้นการลงทุนในช่องทีวีดาวเทียมหรือผลิตรายการให้กับเคเบิ้ลทีวีในรูปแบบเดิมไปก่อน

กสทช.และหน่วยงานของรัฐมีบทบาทสำคัญในการจัดการกับทั้งปัจจัยผลักดันและปัจจัยฉุดรั้ง เพื่อให้กระบวนการเกิดดิจิตอลทีวีดำเนินไปได้อย่างรวดเร็ว การเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีเป็นปัจจัยกดดันสำคัญที่ทำให้ไทยต้องเปลี่ยนผ่านจากระบบอนาล็อกเป็นดิจิตอลทีวี เพราะภายในปี 2015  สหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ (ITU) ได้กล่าวเตือนถึงการยกเลิกการผลิตอุปกรณ์ในระบบอนาล็อกเดิมแล้ว ซึ่งถ้าหากไทยไม่เริ่มกระบวนการเปลี่ยนผ่านภายในเวลา 3 ปีข้างหน้าก็จะมีความเสี่ยงในด้านอุปกรณ์การใช้งาน โดยปัจจัยฉุดรั้งสำคัญคือ ความล่าช้าของการจัดประมูลใบอนุญาต ที่จะมีผลกระทบทางอ้อมทำให้บริการเคเบิ้ลทีวีและทีวีดาวเทียมเติบโตได้ต่อเนื่อง และกลายเป็นคู่แข่งสำคัญที่ทำให้ผู้บริโภคขาดแรงจูงใจในการเปลี่ยนมาใช้ดิจิตอลทีวี   ยิ่งไปกว่านั้น ผู้บริโภคยังต้องลงทุนซื้อกล่องรับสัญญาณ (Set-top box) หรือซื้อโทรทัศน์รุ่นใหม่ที่รองรับดิจิตอลทีวี ซึ่งปัจจัยฉุดรั้งเหล่านี้พบในกระบวนการเปลี่ยนผ่านในหลายประเทศ โดยหน่วยงานที่กำกับดูแลคล้ายคลึงกับ กสทช. ได้มีบทบาทกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนผ่านเร็วขึ้น เช่น สหรัฐฯ ใช้วิธีกำหนดระยะเวลาและข้อห้ามในการขายอุปกรณ์ เพื่อบีบให้ผู้บริโภคที่ถึงรอบการเปลี่ยนอุปกรณ์ต้องซื้อในระบบดิจิตอล  ส่วนญี่ปุ่นใช้วิธีออกคูปองชดเชยผู้บริโภคในการเปลี่ยนอุปกรณ์ และอังกฤษเลือกถ่ายทอดรายการสำคัญ เช่น ฟุตบอลโลก และโอลิมปิกเกมส์ ผ่านระบบดิจิตอลเท่านั้น แต่ทั้งนี้ การเปลี่ยนผ่านในแต่ละประเทศจะใช้เวลาเร็วช้าก็ขึ้นอยู่กับสภาวการณ์และพฤติกรรมผู้บริโภค สำหรับไทยนั้น อาจใช้เวลาเร็วกว่า 8-10 ปีก็เป็นได้ ถ้าผู้ประกอบการสามารถนำเสนอผลิตภัณฑ์การรับชมที่ทันสมัย  และมีช่องรายการต่างๆ ที่น่าสนใจเพียงพอที่จะดึงดูดผู้บริโภค เนื่องจากพฤติกรรมผู้บริโภคไทยจะปรับตัวรับเทคโนโลยีใหม่ๆ ได้รวดเร็ว  และยังนิยมรับชมโทรทัศน์เพื่อเข้าถึงสาระและความบันเทิงมากกว่าช่องทางอื่น

implication

  • หากดิจิตอลทีวีเกิดช้า จะส่งผลกระทบอย่างไร? 
    1. ผู้ให้บริการ-ผู้รับบริการมีความเสี่ยงที่จะไม่มีอุปกรณ์คุณภาพดีใช้งานภายหลังปี 2015 เนื่องจากทั่วโลกจะเริ่มยกเลิกการผลิตในระบบอนาล็อก ส่งผลให้อุปกรณ์มือสองจากทั่วโลกจะหลั่งไหลเข้ามาขายในไทยแต่อุปกรณ์มือหนึ่งจะหาได้ยากขึ้น

    2. ทีวีดาวเทียมและเคเบิ้ลทีวีจะเติบโตอย่างต่อเนื่องและมีการเข้าถึงผู้บริโภคได้ถึง 90% ของครัวเรือนไทยภายในปี 2015 จากปัจจุบันที่มีอัตราการเข้าถึงผู้บริโภคอยู่ที่ 50-60% ทำให้ดิจิตอลทีวีที่เกิดขึ้นในภายหลังอาจไม่ได้รับความนิยมจากผู้บริโภค และลดความน่าสนใจลงทุน

    3. รายได้จากโฆษณากว่า 6 หมื่นล้านบาทจะยังคงกระจุกตัวอยู่กับฟรีทีวีเดิมทั้ง 6 ช่อง เนื่องจากไม่มีผู้ประกอบการรายใหม่เข้าแย่งส่วนแบ่งรายได้ค่าโฆษณา
  • เมื่อดิจิตอลทีวีเกิดขึ้น จะส่งผลกระทบเชิงบวกอย่างไร ?
    1. ภายใน 3-5 ปีแรกนับจากนี้ หากแผนแม่บทของ กสทช. เป็นไปตามเป้าหมาย จะมีครัวเรือนที่รับชมดิจิตอลทีวีตามเมืองใหญ่สูงถึง 80% ทำให้มียอดขายกล่องรับสัญญาณ (Set-top box) หรือการซื้อโทรทัศน์ใหม่ ที่รองรับระบบดิจิตอลเพิ่มขึ้นรวมกันอย่างน้อย 7.2 ล้านเครื่อง

    2. เกิดการแตกตัวทางธุรกิจแบบใหม่ อาทิ ผู้รวบรวมรายการ ผู้รวบรวมสัญญาณ และ ผู้ให้บริการเสริมต่างๆ เป็นต้น ซึ่งจะกระตุ้นให้เกิดการกระจายตัวของรายได้ไปยังผู้ให้บริการในส่วนต่างๆ และเกิดการจ้างงานเพิ่มขึ้น

    3. การวัดเรตติ้งโฆษณาจะมีความแม่นยำและเชื่อถือได้มากขึ้น ประกอบกับช่องรายการที่หลากหลายแต่แยกประเภทชัดเจนจะทำให้เจ้าของผลิตภัณฑ์สามารถทุ่มงบประมาณโฆษณาได้ตรงตามกลุ่มเป้าหมายมากยิ่งขึ้น
  • ใครเสียประโยชน์ เมื่อดิจิตอลทีวีเกิดขึ้น ?
    ผู้ประกอบการสถานีโทรทัศน์รายเดิมจะได้รับผลกระทบจากจำนวนคู่แข่งที่เพิ่มขึ้น และการแตกตัวของห่วงโซ่อุปทานที่จะเกิดการแบ่งสรรรายได้ออกไป หากไม่สามารถลงทุนดำเนินกิจการได้เองตลอดทั้งห่วงโซ่ ในส่วนผู้ผลิตรายการเพื่อขายสถานีโทรทัศน์นั้น ก็จะได้รับผลกระทบทางอ้อมจากรายได้ของสถานีที่อาจลดลงจากการกระจายค่าโฆษณาไปยังจำนวนช่องที่เพิ่มขึ้น และต้องแข่งขันกันด้วยคุณภาพรายการที่รุนแรงขึ้น

รูปที่ 1: ดิจิตอลทีวีเป็นปัจจัยเอื้อต่อทั้งผู้ประกอบการและผู้บริโภค
ข้อดีของระบบดิจิตอลต่อผู้บริโภค
ข้อดีของระบบดิจิตอลต่อผู้ประกอบการธุรกิจมีเดีย
  • รับชมรายการได้ชัดขึ้น 6 เท่า ไม่มีปัญหาเรื่องภาพเงาภาพซ้อน
  • ประหยัดพลังงานในการส่งสัญญาณโทรทัศน์ได้ถึง 90%
  • รับชมรายการฟรีทีวีได้เพิ่มมากขึ้นเป็น 48 ช่อง
  • ไม่ต้องลงทุนเองตลอดทั้งห่วงโซ่อุปทานเพราะเกิดการแตกตัวทางธุรกิจ
  • สามารถรับชมโทรทัศน์ผ่านมือถือได้ (TV-on-Mobile)
  • สามารถสร้างรายได้เสริมจากบริการใหม่ๆ เช่น VDO-on-Demand
  • มีระบบแจ้งเตือนภัยพิบัติอัตโนมัติผ่านโทรทัศน์
  • การวัดเรตติ้งทีวีทำได้แม่นยำมากขึ้น เพิ่มแรงดึงดูดการลงทุนในโฆษณา ทำให้รายได้ค่าโฆษณามีแนวโน้มสูงขึ้น
ที่มา: การวิเคราะห์โดย SCB EIC


ติดตามแนวทางการลงทุนของผมได้ที่ 
https://www.facebook.com/VI.Kitichai , http://twitter.com/value_talk , http://www.youtube.com/user/wittayu9 และ http://kitichai1.blogspot.com

หรือหนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ทุกวันพุธหน้า B6 หรือหน้า B10 และนิตยสารคนรวยหุัน, Condo Guide, Stock Review, Me(Market Evolution), Glow และ Lisa  ทุกเดือน
     
สนใจซื้ออสังหาเพื่ออยู่เองหรือเพื่อการลงทุน ลองเข้า http://www.pantipmarket.com/mall/homeproperty

กิติชัย เตชะงามเลิศ


วันศุกร์ที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2555

ทำไมผมถึงชอบ SSI


ทำไมผมถึงชอบ SSI
      กำลังรอข่าวดีอยู่หลายข่าว
1. รอผลจากฝ่ายรับเรื่องพิจารณาตั้งกำแพงภาษีนำเข้าเหล็ก เจือโบรอน จากจีนและเกาหลีใต้ ซึ่งมีแนวโน้มว่าจะมีการตั้งกำแพงภาษีนี้ ซึ้งแต่เดิมเคยทำมาแล้วแต่มาตรการดังกล่าวเพิ่งหมดอายุไปเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ปีนี้
2. นักเศรษฐศาสตร์หลายค่ายมั่นใจว่าจีนกำลังจะมีมาตรการผ่อนคลายทางเศรษฐกิจเร็วๆนี้ ซึ่งจีนเป็นประเทศที่มีการอุปโภคเหล็กมากที่สุดในโลก การที่จีนมีการขยายตัวทางเศรษฐกิจดีขึ้น นั่นหมายความว่า การอุปโภคเหล็กของจีนจะเพิ่มขึ้น ทำให้ราคาเหล็กในตลาดโลกจะดีขึ้น
3. โรงงานที่อังกฤษจะใช้กำลังการผลิตประมาณ  95% ในไตรมาส 1 ปีหน้าซึ่งจุดคุ้มทุนอยู่ที่การใช้กำลังการผลิต 90% นั่นหมายความว่าโรงงานที่อังกฤษ นอกจากจะไม่เป็นภาระให้กับบริษัทแม่แล้ว ยังจะช่วยเสริมให้กับบริษัทแม่อีกต่างหาก
4. กระบวนการผลิตแบบประหยัดพลังงานจะเริ่มใช้ได้ในไตรมาส 1 ปีหน้าจะทำให้มีการประหยัดต้นทุนในการผลิตนั่นหมายถึงว่า ผลประกอบการก็จะดีขึ้น
5. การที่ติดตั้ง เครน ปีนี้จะส่งผลให้ต้นทุนในการขนส่งเหล็กต่อตัน ต่ำลง ทำให้ค่าใช้จ่ายลดลง นั่นหมายความว่าผลประกอบการก็จะดีขึ้น
6. Slab ที่ผลิตได้จากโรงงานที่อังกฤษ มีคุณภาพซึ่งนำมาใช้กับอุตสาหกรรมรถยนต์ ซึ่งทางบริษัทได้นำเสนอกับโรงงานรถยนต์หลายยี่ห้อในประเทศ ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดี เมื่อรถยนต์เหล่านี้มี โมเดล ใหม่ นั่นหมายถึงว่าบริษัทมีโอกาสที่จะขายให้กับโรงงานเหล่านี้ได้ ซึ่งเหล็กประเภทนี้ เป็นเกรด พรีเมี่ยม ทำให้บริษัทมีมาจิ้นสูงกว่าเหล็กประเภทอื่น
7. การเพิ่มทุนครั้งนี้ในสัดส่วนเกิน 100% ของทุนจดทะเบียนเดิมถ้ากลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่และกลุ่มผู้บริหาร ไม่ต้องการที่จะจ่ายเงินเพื่มซื้อหุ้นเพิ่มทุนดังกล่าวก็คงจะให้สิทธิ์ผู้ถือหุ้นเดิมในอัตราส่วน 2 หุ้นเดิมต่อ 3 หุ้มใหม่ ที่ราคา 0.68 บาท แต่การเพิ่มทุนครั้งนี้กับให้สิทธิ์ผู้ถือหุ้นเดิมเพียงแค่ 10 หุ้นเดิมต่อ 1 หุ้นใหม่ที่ราคา 0.68 บาท แล้วไปเพิ่มทุนให้กลุ่มนักลงทุน 3 กลุ่ม ซึ่ง 2 ใน 3 กลุ่มนี้ก็เป็นกลุ่มเดียวกับกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่และกลุ่มผู้บริหารส่วนอีกกลุ่มนึงที่เป็นนักลงทุนต่างชาติก็ยังไม่ทราบแน่ชัดว่าเป็นกลุ่มเดียวกับกลุ่มผู้ถือหุ้นรายใหญ่หรือเปล่า แสดงว่า กลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่คงต้องการหุ้นเพิ่มทุนนี้มาก ภายหลังจากการเพิ่มทุนจะทำให้ฐานะการเงินและสภาพคล่องของบริษัทดีขึ้นอย่างมาก
8. หลังจากที่ไปเทคโอเวอร์ โรงงานที่อังกฤษทำให้บริษัทเป็นผู้ผลิตเหล็กครบวงจรและใหญ่ที่สุดในอาเซียน ภายในปี 2558 ซึ่ง AEC จะมีผลบังคับใช้น่าจะส่งผลดีกับบริษัท



9. แนวโน้มในการใช้เหล็กในการพัฒนาสาธารณูปโภค ของประเทศในกลุ่ม CLMV ( กัมพูชา ลาว พม่า และเวียดนาม )  จะสูงขึ้นนั่นหมายความว่า เป็นโอกาสที่ดีของบริษัท 



ติดตามแนวทางการลงทุนของผมได้ที่ 
https://www.facebook.com/VI.Kitichai , http://twitter.com/value_talk , http://www.youtube.com/user/wittayu9 และ http://kitichai1.blogspot.com

หรือหนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ทุกวันพุธหน้า B6 หรือหน้า B10 และนิตยสารคนรวยหุัน, Condo Guide, Stock Review, Me(Market Evolution), Glow และ Lisa  ทุกเดือน
     
สนใจซื้ออสังหาเพื่ออยู่เองหรือเพื่อการลงทุน ลองเข้า http://www.pantipmarket.com/mall/homeproperty

กิติชัย เตชะงามเลิศ

วันพฤหัสบดีที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

'How Did I Make 1 Million into 500 Million Baht?' Book Launch | Cat & Nat

'How Did I Make 1 Million into 500 Million Baht?' Book Launch | Cat & Nat

The Stock Exchange of Thailand was an apt site for launch of investor Kittichai Taechangamlert’s new book revealing tricks of the trading life.
If you want to know how to spin a relatively modest investment into a whopping fortune, the pocket book How Did I Make 1 Million into 500 Million Baht? by Kittichai Taechangamlert is a good place to start. Recently launched at The Stock Exchange of Thailand, the book has become an immediate bestseller among Bangkok's financial circle. Part biography, part guide, it relates Kittichai’s 18 years of investment experience, illuminating the trails and errors he’s endured and how you can best avoid pitfalls.
http://www.catandnat.com/pages/content/how-did-i-make-1-million-500-million-baht-book-launch#.UAgljLQe6wc
A percentage of book sale revenue will go towards the Sangha Hospital, where monks are treated and the Khon Panyaorn Foundation.


ติดตามแนวทางการลงทุนของผมได้ที่ 
https://www.facebook.com/VI.Kitichai , http://twitter.com/value_talk , http://www.youtube.com/user/wittayu9 และ http://kitichai1.blogspot.com

หรือหนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ทุกวันพุธหน้า B6 หรือหน้า B10 และนิตยสารคนรวยหุัน, Condo Guide, Stock Review, Me(Market Evolution), Glow และ Lisa  ทุกเดือน
     
สนใจซื้ออสังหาเพื่ออยู่เองหรือเพื่อการลงทุน ลองเข้า http://www.pantipmarket.com/mall/homeproperty

กิติชัย เตชะงามเลิศ

วันจันทร์ที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2555

Lessons from the 1997/98 Asian financial crisis.


    • Lessons from the 1997/98 Asian financial crisis
    • Commodity super-cycle is mature
    • The relative attraction of ASEAN equity markets

Macro

    • We seem to be in good company nowadays. We have occasionally drawn parallels be-
        tween Asian ex Japan’s financial crisis in 1997-98 and the one plaguing the European
        Monetary Union today (something we first mentioned back in August 2011 and more re-
        cently in our 2012 Year Ahead Outlook). Now, we find JPMorgan is writing along the same
        lines. Back in the late 1990’s, a USD10/bl of oil (yes, USD10/bl!) and lower commodity prices
        helped cushion the global consumer. And it could do so again during the current EU debt
        crisis. That might be good news for those net importers of oil currently but the Asian crisis
        did not end until we had decisive policy action from the Fed (cutting interest rates) and the
        HKMA (buying up the Hang Seng Index) in September 1998, did we see confidence return
        and global equity bottom. This time, the responsibility for decisive action will be the job of
        the ECB and EU leaders but whether they have the will or the means is another mat-
        ter altogether.

        The Asian financial crisis was centred around a collection of countries that accounted for
        ~5% of global GDP. Many of these countries (e.g. Thailand, Indonesia and Korea) main-
        tained fixed exchange rates to the USD. These were over-valued. Large current account defi-
        cits continued to build, up until the point where external financing became unsustainable.
        When global investors withdrew from the region, the result was a chain reaction collapse in
        our region’s currencies and stock markets. GDP plummeted and inflation soared.

        Initially, the crisis was viewed as a regional event with limited repercussions for the rest of
        the world. Asia ex Japan’s GDP fell -7%, shaving -35bps off global GDP (this would be
        equivalent to a -1.5% drop in EMU GDP today). Nonetheless, the drop in EM Asian GDP
        would have been far worse, were it not for a huge swing in net exports. The 40% (-25%
        when we account for inflation) devaluation in regional FX rates helped here. G3 export
        growth, which had been booming in early 1997, began to register several consecutive quar-
        ters of contracting export demand.

 However, by the end of 1997, there was still no discernible spill-over into financial mar-
         kets (although the SET Index, the IDR and the KOSPI had fallen far). Global stock prices con-
        tinued to gain in 1997 and early 1998 and even non-Asian EM credit spreads held their
         ground.

        The most notable financial effect was to impact WTI crude oil and commodity prices.
         Both took a tumble. Crude oil, for example, fell from USD25/bl in early 1997 to USD10/bl by
         December 1998. Base metals were off by over -20% (chart above). The situation in global
        financial markets, however, only began to deteriorate in 3Q98, when Russia (under stress
        from lower oil), devalued the RUB and defaulted on its foreign currency debt. In turn, the
         Russian crisis engulfed the US hedge fund, Long Term Capital Management (LTCM) and
         heightened fears of global contagion. Confidence ebbed and global stocks fell. The time-line
        of events in Asia can be tracked in the LHS of the table below.

         Lower crude oil prices were helpful – they helped cushion the decline in the global economy,
        which left unchecked might have sent the G3 into a recession. Market panic eventually
         prompted policy action (and the old adage; ‘equity investors can stop panicking when cen-
         tral banks start panicking’). The New York Fed moved first and bailed-out LTCM. The Fed-
        eral Reserve followed up with rate cuts (while the HKMA took the nuclear option by buy-
         ing equities in the Hang Seng index). These actions, however, helped to restore confidence
        and financial conditions in 4Q98. Bizarrely, the policy responses might have been targeted at
        Asia ex Japan and Russia but money stayed in the US and eventually led to an investment
         bubble in the tech stocks.

As we look to a new potential risk from a Greek exit from the EMU, concerns have risen as
        to how this will affect markets and confidence. Like it was in 1997-98, activity outside the
        Eurozone should be cushioned by lower commodity prices (reasons why are underweight).
        What is more concerning, however, is the outlook for a decisive policy response akin to
        what happened in regards the NY Fed, Federal Reserve and HKMA in 3Q98. This is the key
        to restoring confidence but it is not clear whether European policymakers have either the
        will or the proper tools to limit the damage. With interest rates at close to 0% for major
        central banks, there is also a unique concern that if the will is there, the firepower is not.

        There is still hope; policymakers might be ineffective but they are not impotent and we be-
        lieve that the ECB has a major role to play here. Latest numbers show that Eurozone’s
        money supply is contracting again; M3 fell by EUR51bn in April while private credit was
        down EUR55bn m/m. This is clear evidence that the effects of the ECB’s 3-year LTRO have
        now worn off and he ECB has more work to do. Where the ECB can make a difference this
        time round, however, is to announce that it will stand behind the market and buy Spanish
        and Italian government bonds with a yield cap of between 6% and 7%....as it becomes
        clear that little else has worked with any lasting impact. Until then, risk assets in equities and
        commodities will struggle.

Commodities

    • The value attached to commodities has rarely been as high as it is now. As Glenn Stevens,
        Reserve Bank of Australia Governor, put it recently; ‘five years ago, a ship load of iron ore
        was worth about the same as about 2,200 flat screen TV’s. Today, it is worth roughly
        22,000 flat screen TV’s .’ It is easy to see why the AUD was higher over that time; exporting
        commodities that went up in price while importing goods that declined.

        Nonetheless, a recent UN Paper written by economists, Bilge Erten and Jose Antonio
        Ocampo (entitled ‘Super-cycles of commodity prices since the mid-19th century’, February

        2012) believes the commodities boom of the last 10 years is now showing signs of ex-
        haustion. That’s because commodity prices have experienced a near +300% jump since
        bottoming. This is far more than in the two super-cycles that followed the industrialisation
        of the US in the late 19th century to early 20th centuries and the reconstruction of Europe

        and Japan after World War II. Commodity prices might enjoy a resurgence upon aggressive ECB intervention later this year
        but we feel that the vast bulk of this cycle’s price gain is now behind us. Our preferred
        reflation trade therefore remains global inflation-linked bonds where inflation expecta-
        tions are much lower than they are in the commodity space. For those who follow the AUD,
        we believe there is weakness ahead (as it tests 0.9664 and maybe 0.9388)….it sounds like
        we should buy a flat-screen TV instead.

Equities

    • ASEAN equities are trading at a valuation premium to the rest of Asia ex-Japan, but
        ASEAN’s solid growth fundamentals help to justify it. JPMorgan ran a stress test on ASEAN’s
        exposure to Eurozone via both financial and trade channels. The results indicate that Euro-
        zone contagion risk is likely to be limited in Singapore, Philippines and Thailand (the 21
        May edition of the Daily Research Update has more details).

        Overall, export exposures to the Eurozone are much less than their peers in North Asia.
        Foreign bank exposure (should EU banks repatriate capital) looks manageable as well (although Singapore does not come out strongly in this screen, however). Nonetheless, the
          Philippines’ short-term debt foreign debt-to-FX reserves ratio is only 16% while Thailand
         comes out top as the least vulnerable to potential bank capital flight (as the red boxes in the
         table shows below). Thailand’s short-term debt to FX reserve ratio is only 7.3%.

          Besides limited Eurozone risks, earnings upgrade momentum continues to provide support
         for the MSCI AC Asia ex Japan index and the ASEAN markets in particular. The key differ-
         ence between 2011 and this year is inflation and earnings downgrades. This year, markets
          might be discounting EPS upgrades over the next few quarters, now that energy prices are
         off their highs. Lower foreign ownership should also help sustain ASEAN’s valuation pre-
          mium in a global environment where domestic-led growth is still a scarce item.

          Philippines is the only market in Asia ex Japan that is expensive relative to its history, but
          most ASEAN EM funds are not fully invested. The country’s growth potential should also jus-
         tify the valuation premium. Last week, President Aquino approved two toll road projects
         worth USD1.1bn and is also inviting private companies to build infrastructure projects,
         such as airports and light rail systems. Many conglomerates are also rolling out their ambi-
         tious spending plans to build shopping malls, office towers and residential projects. The
         country is poised for an investment boom, adding to growing business optimism about the
         country’s medium term prospects.

         Our favoured ASEAN equity play is the JF ASEAN Fund while the First State Asian Equity
          Plus Fund currently boasts overweight allocations to both the Philippines and Thailand. The
         fund is also overweight Hong Kong and Singapore, two markets we recently added to. First
         State is more bottom up and tends to target higher quality companies in both these markets.
         This shows in its performance. The fund may not out-perform when markets are strong (i.e.
          1Q12) but strong stock selection can be seen in its long-term track record, where it is a
         steady outperformer.


วันพุธที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

Greece, Spain & Ireland by LGT.

   The ties that bind the Eurozone’s tottering banking system to its weakest governments are growing ever-tighter. That’s because the Spanish government is attempting to give Bankia, its third largest bank, EUR19bn in government bonds to help shore up its capital base. Spanish banks tumbled on Monday, the 10-year Spanish government bond yield gave up +16bps to 6.42% (for fear of missing their fiscal targets) while the EUR-USD fell back too. It is clear that the region would be clearly better off if its banks owned no government debt however.
But they do. In fact, the banks are the biggest owners of government debt (accentuated by the ECB’s LTRO) and governments are slowly becoming the biggest owners of the banks.
   Spanish PM Rajoy claims that Spain is not like Greece. And it is not. At this stage, Spain is still in a position where it can give its banks its own debt in an effort to restore confidence. Greece is currently locked out of debt markets and has to rely on the rest of the Eurozone and bonds issued by the European Financial Stability Fund. But with Spanish sovereigns yielding ~6.42% (record spread of ~514bps over German Bunds) and edging perilously close to the 7% danger level, it may only be a matter of time before Spain follows suit.

• We see a lot of similarities between Ireland and Spain where banking insolvency becomes a government one as the latter agrees to bail out the former. Initially, their problems were not one of government debt but one of household debt. Since Ireland joined the Eurozone and its monetary union, household debt to income ratio has risen dramatically from 93% to 220% (there are similar trends in Spain too). But it was only when we saw government intervened in a heavily indebted banking system (the Irish government kept Anglo Irish bank from insolvency by giving it a promissory note) did the situation turn south for the sovereign. Bond investors largely shut off Ireland’s access to markets, not because it threatened to default but because it was determined not to.
   Spain and its banks seem to be in a similar position today to what Ireland was in a couple of years ago. The deteriorating environment for residential mortgages in Spain is somethings which still needs to be – first – acknowledged and then – secondly - addressed. Recall that Bankia was given a clean bill of health only three weeks ago. 


         Delinquencies on Spanish mortgages are still less than 3% and well below the peak in Ireland or the USA. This is a remarkable outcome for a country which has more than 25% of its workers out of work (although part of this may be due to Spain’s relatively large underground economy where the official jobless may still be earning an income). So there is clear denial amongst the Spanish banks and no doubt, why the government has asked them to increase provisioning against those mortgages which are underwater. Banks are reluctant  to do so given that they need additional recapitalisation, which is next to impossible under current market conditions……and reason why the government is now providing capital….and reason why the government debt-to-GDP ratio is heading for 100%. 

        What happens now? Well, we understand there is enough money from IMF, EFSF and ESM (European Stability Mechanism) to bail-out Spain if need be. But there is currently not enough firepower to bail out both Italy and Spain should contagion take effect. That’s why we believe the ECB will react with a -50bps rate cut. The market will rise initially but will soon realise this is lame before demanding something more meaningful; that might include buying EU peripheral sovereign bonds in the secondary market but until the ECB explicitly targets a cap of say 6%, will equity investors begin to breathe a little easier. 

    • The Irish voters will vote (Thursday) on whether to accept the EU’s new ‘fiscal compact‘. There is a critical article of current EU policy of austerity and why voting ‘yes ’ will condemn Ireland to more economic hardship. This is the fourth year of austerity in Ireland and it is clear the economy is weakening further, says economist, David McWilliams (source: FT). Albert Einstein once said, ‘the definition of insanity is doing the same thing over and over again and expecting different results.’ Austerity does not work in restoring public finances to more sustainable levels without growth to counter-balance. 

         Irish balance sheets are broken; they own houses, land and apartments on the asset side and debts on the other - the former is falling in value and the debt side is fixed. So while incomes fall, the debt burden becomes more problematic for Irish households, the banks they borrow from and ultimately the government, who keeps them alive. Maybe EU policy-makers will work something out before it reaches Spain (if it has not done already). Still, it begs the question; if Ireland is often seen as the poster boy of EU austerity, why are Irish CDS spreads trading where they are and why are the sovereign bonds still at ~7%? EU leaders might be impressed with themselves but the bond market thinks austerity is a dumb deal. 


ติดตามแนวทางการลงทุนของผมได้ที่ 
https://www.facebook.com/VI.Kitichai , http://twitter.com/value_talk , http://www.youtube.com/user/wittayu9 และ http://kitichai1.blogspot.com

หรือหนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ทุกวันพุธหน้า B6 หรือหน้า B10 และนิตยสารคนรวยหุัน, Condo Guide, Stock Review, Me(Market Evolution), Glow และ Lisa  ทุกเดือน
     
สนใจซื้ออสังหาเพื่ออยู่เองหรือเพื่อการลงทุน ลองเข้า http://www.pantipmarket.com/mall/homeproperty

กิติชัย เตชะงามเลิศ

วันจันทร์ที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

หากกรีซจะต้องออกจากกลุ่มยูโรโซน ?


§  จำนวนนักวิเคราะห์ที่ทำนายว่ากรีซจะต้องออกจากกลุ่มยูโรโซนมีมากขึ้นเมื่อผู้นำประเทศในกลุ่ม EU ยังคงประกาศความต้องการให้กรีซทำตามแผนรัดเข็มขัดต่อไป

§  Willem Buiter หัวหน้าทีมนักเศรษฐศาสตร์ของ Citi’s ชี้ว่า หากกรีซจะออกจากกลุ่มยูโรโซน กรีซต้องออกกฏหมายใหม่เรื่องสกุลเงินที่จะใช้และอัตราแลกเปลี่ยนเสียก่อน นอกจากนี้ กรีซจะต้องออกกฏหมายเพื่อป้องกันมิให้เงินฝากไหลออกจากธนาคารต่างๆ ในกรีซ อันจะทำให้เกิดหายนะในระบบการเงิน ทั้งนี้ Financial Times รายงานว่า เฉพาะ 2 วันแรกของสัปดาห์ก่อน มีเงินฝากไหลออกไปจากธนาคารต่างๆ ในกรีซไปแล้วถึง 1,200 ล้านยูโร ซึ่ง Willem Buiter คาดว่า กรีซคงจะออกมาตรการควบคุมเงินทุนเข้าออกที่เข้มงวด (Capital Control) แม้จะขัดต่อกฏ Treaty (Art. 63) ที่กลุ่มสมาชิกยูโรโซนกำหนดก็ตาม

§  หากกรีซใช้เงินตราของตนเอง ตลาดก็ยังไม่อาจให้ความเชื่อมั่นในสกุลเงินใหม่ของกรีซได้ ดังนั้น จึงเป็นไปได้สูงที่ธุรกิจกรีซที่กระทำผ่านตลาดมืดเพื่อเลี่ยงการจ่ายภาษีให้รัฐตามที่รัฐบาลกรีซเคยประมาณการว่ามีถึง 25% ของธุรกิจโดยรวมนั้นจะยิ่งเพิ่มขึ้น และจะทำให้อัตราแลกเปลี่ยนของสกุลเงินใหม่ในตลาดมืดจะยิ่งแตกต่างจากที่ธนาคารกลางของกรีซกำหนด

§  นอกจากนี้ ในขณะที่ใช้สกุลเงินใหม่ (เช่น กลับไปใช้ Drachma เหมือนก่อน) และลดค่า Drachma ลงไปเพื่อเพิ่มโอกาสในการแข่งขันในตลาดโลกในระยะยาว แต่ก็ยากที่กรีซจะหลีกเลี่ยงความเจ็บปวดในระยะสั้นได้ อัตราเงินเฟ้อจะพุ่งขึ้น และทำให้ชาวกรีกต้องปรับมาตรฐานการดำรงชีวิตลงเมื่อเผชิญกับราคาสินค้าและบริการที่จะพุ่งขึ้นสูง จนทำให้เงินที่ออมมาชั่วชีวิต (หากมีเหลืออยู่) แทบจะไร้ค่าไปในชั่วข้ามคืน

§  กุญแจสำคัญในการควบคุมสถานการณ์ช่วงที่เงิน Drachma จะดิ่งค่าลงคือ ต้องบริหารจัดการปริมาณเงินอย่างระมัดระวังที่สุด แต่การพิมพ์เงินออกมาช่วยอัดฉีดระบบเพื่อประคองให้ทุกอย่างยังดำเนินไปได้(เช่น ยังจ่ายเงินเดือนข้าราชการเพื่อจะได้ให้บริการสาธารณชนตามปกติได้)  ก็จะนำไปสูภาวะเงินเฟ้อรุนแรงได้

§  ความคลั่งแค้นของฝูงชนที่ทุกข์ยากมากขึ้นกว่าเดิม หลังจากกรีซออกจากยูโรโซนแล้วเศรษฐกิจในระยะสั้นจะดิ่งเหวลง อาจนำไปสู่สงครามกลางเมือง ทำให้เกิดรัฐบาลใหม่จากกองทัพที่ต้องเข้ามาควบคุมสถานการณ์ 

§  เนื่องจากสหภาพการเงินของยุโรป (European Monetary Union) ถูกออกแบบมาให้เป็นถาวร จึงไม่มีการเตรียมกระบวนการไว้รองรับหากมีประเทศสมาชิกใดจะออกไปจากกลุ่ม ดังนั้น ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ซึ่งมีภาระกิจในการรักษาระดับค่าเงินยูโรที่ใช้ร่วมกันในทุกประเทศสมาชิกให้มีความมั่นคงและน่าเชื่อถือ จึงจะตกอยู่ในภาวะยากลำบากที่สุดหลังจากกรีซออกไปจากกลุ่ม

§  ที่น่ากังวลก็คือ เงินกู้ที่ธนาคารกลางยุโรป (ECB) และแบงค์ชาติต่างๆ ของประเทศสมาชิก ได้เคยปล่อยกู้ไปช่วยกรีซนั้นมีไม่น้อย และจะทยอยกันครบกำหนด ซึ่งเป็นไปได้สูงมากที่กรีซจะปฏิเสธที่จะจ่าย หรือต้องลดหนี้ให้ และธนาคารกลางต่างๆ เหล่านี้อาจต้องขาดทุนจนทำให้ฐานะการเงินสั่นคลอนและขาดความน่าเชื่อถือได้ อนึ่ง BNP Paribas รายงานว่า ปริมาณเงินกู้ที่ปล่อยให้กรีซไปแล้วในรูปแบบต่างๆ ซึ่งจะครบกำหนดในปีนี้จนถึงปี 2037 มีรวมกันประมาณ 56,700 ล้านยูโร โดยจะทยอยครบกำหนดในปีนี้กว่า 11,000 ล้านยูโร

§  ในภาพรวม UBS เคยคาดไว้ในปีก่อนว่า GDP ของกรีซในปีแรกจะดิ่งลง 50% หากออกจากกลุ่มยูโรโซน ทำให้เกิดกิจการที่ล้มละลายจำนวนมาก ระบบการเงินและธนาคารจะทรุดตัวลงอย่างหนักและควบคุมได้ยาก การทำการค้าหว่างประเทศก็จะยากลำบากในช่วงแรกด้วย ทั้งนี้ UBS คาดว่า ต้นทุนในการออกจากกลุ่มยูโรจะอยู่ที่ 9,500 ถึง 11,500 ยูโรต่อประชากรหนึ่งคนของประเทศที่ออกจากกลุ่มในปีแรก  และเป็น 3,000 ถึง 4,000 ยูโรต่อหัวสำหรับปีต่อๆ ไป

§  ขณะนี้จำนวนนักวิเคราะห์ นักลงทุน และนักการเมืองที่เชื่อว่ากรีซจะต้องออกจากกลุ่มยูโรโซนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้มีเพิ่มขึ้นมาก ซึ่งกรีซยิ่งไม่มีทางกู้เงินใครมาใช้หนี้ได้ไปอีกนาน ดังนั้น ทั้งธนาคารกลางธนาคารเอกชน รวมถึงผู้กู้ทุกราย ที่ปล่อยกู้ให้กรีซจะต้องเข้ามาสู่โหมดการเจรจาประนอมหนี้ จัดโครงสร้างหนี้(ลดหนี้ ลดดอกเบี้ย ยืดระยะเวลาจ่ายคืนหนี้ออกไป) กันอีก 

§  แต่ผลกระทบจะไม่หยุดอยู่แค่กรีซเท่านั้น เพราะสิ่งที่จะเกิดขึ้นคือการแพร่เชื้อของความหวั่นกลัวไปทั่วยุโรปซึ่งจะเกิดผลร้ายต่อเสถียรภาพของธนาคารกับรัฐบาล และจะส่งผลกระทบต่อสเปน กับ โปรตุเกส เพราะจะยิ่งหาเงินกู้มาซื้อพันธบัตรรัฐบาลที่ตนเองจะออกให้ประมูลยากขึ้น เนื่องจากผู้ลงทุนกังวลว่า 2 ประเทศนี้จะเป็นอย่างกรีซ ดังนั้น หากต้องรับความเสี่ยงที่สูงขึ้น ทั้งสเปน และ โปรตุเกส ก็ต้องจ่ายผลตอบแทนพันธบัตรให้สูงขึ้นจนผู้ซื้อพอใจ ซึ่งก็ไม่ดีต่อฐานะการเงินของประเทศทั้ง 2

§  นักวิเคราะห์ของ Societe Generale ทำนายว่า ถ้ากรีซออกจาก EU จะทำให้เงินฝากหนีออกจากธนาคารในสเปนกับอิตาลี 20% ถึง 30% ถ้า ECB ไม่เข้าไปช่วยอย่างจริงจัง ทั้งนี้Mujtaba Rahman (Eurasia Group)  แนะนำให้ ECB ใช้โอกาสที่กรีซจะออกจากยูโรโซนในการปฏิรูปโครงสร้างทางการเงินของกลุ่มยูโรโซนให้มั่งคงยั่งยืน (ทั้งที่ควรทำมานานแล้วแต่ไม่ได้ทำ) และควรช่วยประคองระบบธนาคารของกรีซไว้ไม่ให้พังทลายลง พร้อมทั้งประกาศว่า ECB รับรองว่าจะเป็นผู้ให้กรีซกู้หากกรีซหาแหล่งเงินกู้ไม่ได้แล้ว (The lender of the last resource) ทั้งนี้ เพื่อมิให้ระบบการเงินธนาคารของกรีซล้มลงจนระบาดไปทั่วยุโรป 

§  ในระยะสั้น เงินยูโรน่าจะลดค่าลงเมื่อเทียบสกุลเงินหลัก เช่น อเมริกันดอลลาร์ สวิสฟรังซ์ เยน ปอนด์เสตอลิงก์ เพราะคนจะกลัวผลกระทบจากการเกิด Grexit  ว่าจะลามไปที่อื่นๆ

§  Nouriel Rubini ระบุว่า การขาดทุนของธนาคารในยุโรปจะอยู่ในวิสัยที่จัดการได้ถ้ามีการเพิ่มทุนอย่างจริงจัง แต่การมิให้ระบบการเงินธนาคารของกรีซพังทะลายเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องใช้เครื่องมือพิเศษเข้ามาช่วย เช่น การควบคุมเงินทุนไหลเข้าออก (Capital Control) หรือให้ธนาคารกรีซหยุดทำการระยะหนึ่งเป็นการชั่วคราว โดยกองทุนรักษาเสถียรภาพทางการเงินของยุโรป (EFSF/ESM) ควรจะมีบทบาทในเรื่องนี้ด้วยการอัดฉีดเงินทุนให้แบงค์ในกรีซ ซึ่งเท่ากับชาวยุโรปจะเป็นเจ้าของกิจการธนาคารของกรีซในทางอ้อม เป็นการชดเชยในการที่ต้องขาดทุนเพราะรัฐบาลของเขาเข้าไปอุ้มกรีซด้วยการปล่อยกู้ซื้อพันธบัตรกรีซในช่วงที่ผ่านมา และขาดทุนจากการที่กรีซออกจากยูโรโซนหันไปใช้เงินของตนเองแทนเงินยูโร  

§  อย่างไรก็ตาม Barclays วิเคราะห์ว่า ต้นทุนในการออกจากกลุ่มยูโรของกรีซจะแพงเกินผลดีที่จะได้รับเป็นอย่างมาก เว้นแต่กลุ่มยูโรโซนจะใช้โอกาสนี้เร่งปฏิรูปโครงสร้างการเงินของกลุ่ม แต่ Karel De Gucht (Belgian Trade Commissioner ของ EU) บอกว่าทั้ง European Commission กับ ECB จะจัดการได้เพราะมันไม่เสี่ยงเท่ากับจะเกิดขึ้นเมื่อ 1-1.5 ปีที่แล้ว  และมั่นใจว่าจะไม่ลามไปที่อื่น ดังนั้น การออกจากยูโรโซนของกรีซจึงจะไม่ทำให้กลุ่ม EU แตกสลาย ซึ่งสอดคล้องกับที่ รมต.คลังเยอรมนี กล่าวว่า มีการเตรียมพร้อมรับมือกับเหตุการณ์ต่างๆ ที่จะเกิดขึ้น และมั่นใจว่าสเปนจะรับมือเรื่องธนาคารของตนเองที่มีปัญหาอยู่ได้

§  Bank of America คาดว่า ราคาน้ำมันดิบจะลดลงสู่ระดับ 80 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล จากปัจจุบันที่ 107 ดอลลาร์ ถ้ากรีซออกจากกลุ่มยูโร ในขณะที่ Citi คาดว่า ECB อาจต้องใช้เงินอีก 800,000 ล้านยูโรเพื่อช่วยพยุงระบบธนาคารในกลุ่มลูกหมูที่เหลือ

ถึงเวลาแล้วหรือยัง ที่ยัยเอเธนส์ สกุลกา จะต้องโดนเฉดหัวออกไปจาก

สกุลหงส์ ณ ยูโร (หาอ่านบทความเดิมๆ ที่เขียนเกียวกับเรื่องนี้ประกอบด้วยค่ะ)

เกิดอะไรขึ้นกับกรีซและยุโรป ?

FT Alphaville เขียนสรุปว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตอนนี้ที่กรีซเรียกว่า Bank Jogซึ่งหมายถึงผู้ฝากเงินกรีซกำลังเอาเงินฝาก (ซึ่งก็เป็นสกุลยูโรนั่นแหละ) ออกจากแบงค์ต่างๆ อย่างรวดเร็ว แต่ไม่เร็วมากพอที่จะเรียกว่า Bank Run”  แค่จ๊อกกิ้ง ยังไม่ใช่รันนิ่ง

เออ  แล้วเจ้ายูโรที่ใช้ร่วมกันนี่น่ะ มันมาจากไหนล่ะ

โดยปกติ ธนาคารต่างๆ จะกู้ยูโรมาจากธนาคารกลางกรีซ (ไม่ได้เสกได้เองอย่างของ ลุงเบน เบอร์นานเก้ ที่แบงค์ชาติอเมริกัน) ซึ่งธนาคารกลางกรีซก็ต้องไปกู้มาจากธนาคารกลางยุโรป ที่เรียกย่อว่า ECB อีกต่อหนึ่ง

น้า Paul Krugman มีคำถามที่ดีในเรื่องนี้

น้าพอล  ถามว่า ECB จะเต็มใจหรือทำใจให้ธนาคารกลางของกรีซกู้ได้อีกนานแค่ไหนล่ะ  จะยอมให้กู้มากพอที่จะพยุงธนาคารทุกธนาคารทั้งระบบในกรีซได้ไหมล่ะ  ทั้งๆ ที่รู้ว่า Sector ธนาคารของกรีก จะล้มละลายไปแทบจะในทันทีที่กรีซผิดนัดชำระหนี้ (Default)

และหาก ECB ไม่ให้ธนาคารกลางของกรีซกู้ ระบบธนาคารกรีซก็จะหยุดเดินทันที ซึ่งก็ยากที่จะนึกภาพออกว่าจะกลับมาเดินต่อไปยังไง นอกจากเลิกใช้สกุลยูโรแล้วหันไปใช้สกุลอื่นแทน

อืม ..... ถ้าเป็นอย่างนี้ ผู้ฝากเงินในประเทศอื่นๆ ในยุโรปก็จะเริ่มอาการวิ่งเหยาะๆ  หรือ Bank Jog ในประเทศตนเช่นกัน

BBC รายงานว่า ให้ระวังเรื่องคนแห่ถอนเงินฝากถ้ากรีซไม่มีเงินจ่ายคืนหนี้ทันเวลา (Default)

นั่นละ สัญญาณกระตุ้นที่ BBC เรียกว่าเป็น Political Trigger ให้กรีซออกจากกลุ่มยูโร

แต่อย่าลืมว่ามนุษย์พันธุ์ผู้ฝากเงินมักมีสัญชาตญาณเอาตัวรอดได้อย่างน่าพิศวง เพียงแค่ข่าวที่เห็นกันทุกนาที มันก็มากพอที่จะเร่งปฏิกิริยาให้เกิดได้ก่อนจะถึงวันนั้น

นั่งดูหนังในโรงหนัง เห็นควันโฉ่อยู่มุมนึง ใครจะนั่งรอ ?

ส่วนนึงจะเดินเร็วๆ หันไปมองควันไปด้วย แบบ Bank Jog  แล้วก็วิ่งดิ เมื่อควันมาคุขึ้นทุกที 
ใครจะนั่งพับเพียบรอจนเปลวเพลิงโหมกระหน่ำ นอกจากพวก เผาเลย... เพ่น้อง

แต่ตอนนี้ผู้เล่นในตลาดกำลังรอดูเหตุการณ์อย่างอื่น

เหตุการณ์อะไร ?

ก็การที่ผู้ฝากแห่ถอนเงินจากแบงค์ต่างๆ ในกรีซ แล้วเอาไปฝากในแบงค์ประเทศอื่นๆ ของยุโรปไง


BBC บอกว่า ระบบการชำระเงินตามกลไกปกติที่ใช้กันทั่วกลุ่มยูโรโซน เรียกว่า Target 2  จะเป็นสัญญาณกระตุ้นที่เรียกได้ว่าเป็น Economic Trigger ให้กรีซออกจากกลุ่มยูโร

BBC เขาเล่าว่า มันทำงานอย่างนี้นะ

สมมติว่าชาวกรีกคนนึงชื่อ Louk ต้องการส่งเงิน 1000 euros  ในบัญชีของเขาที่กรีซ ไปให้ตา Gomez ในสเปน

ตา Louk ก็เอาเงินใส่บัญชีเงินฝากตัวเองที่ธนาคาร A 1000 euros (หรือมีเงินอยู่ในนั้นแล้ว แต่ไปแจ้งว่าจะโอนชำระออกไป 1000 euros ให้ตา Gomez ในซึ่งมีบัญชีกับแบงค์ B ในสเปน)

Bank A ก็จะแจ้งแบงค์ชาติกรีซ (ธนาคารกลางของกรีซ) ว่าเงินจำนวนนี้ชำระโดยผ่านระบบ Target 2

อย่ามาถามว่า Target 2 คืออะไรเป็นอันขาด เพราะไม่รู้เหมือนกันแหละ เอาแค่อ่าน Concept ให้เข้าใจภาพกว้างเข้าไว้

บัญชีเงินสำรองของ Bank A ที่มีกับแบงค์ชาติกรีซจะมีเงิน 1000 euros ขึ้นมาจากเงินที่ตา Louk ชำระ เพื่อให้เอาไปไว้ที่ธนาคารสเปน

ที่นี้ แบงค์ชาติกรีซ ก็จะต้องจ่ายเจ้า 1000 euros ให้กับระบบ Eurosystem ของแบงค์ชาติต่างๆ ในกลุ่มยูโร 1000 euros ซึ่งแบงค์ชาติกรีซจะลงบัญชีเป็นหนี้ระบบ Eurosystem เอาไว้  ส่วนแบงค์ชาติสเปนซึ่งเป็นผู้รับก็จะเป็นเจ้าหนี้ 1000 euros ของระบบ Eurosystem  เนื่องจากการทำธุรกรรมไม่ทำตรงๆ ระหว่างสเปนกับกรีซ แต่ต้องผ่านระบบกลางของกลุ่มสมาชิกยูโรโซนที่เรียกว่า Eurosystem ของแบงค์ชาติต่างๆ ในกลุ่ม

นี่ก็เพราะใช้สกุลเงินยูโรเดียวกัน

แล้วแบงค์ชาติสเปน ก็จะเพิ่ม 1000 euros ให้กับแบงค์ B ซึ่งเป็นแบงค์ในสเปนแห่งหนึ่งที่อีตาผู้รับโอนชื่อ Gomez ใช้บัญชีอยู่

ประเด็นก็คือ แบงค์ชาติต่างๆ ที่ว่านั้น ไม่ได้ทำธุรกรรมกันโดยตรง แต่ทำธุรกรรมทั้ง 2 ด้าน คือเจ้าหนี้และลูกหนี้กับ ทั้งระบบ  ซึ่งหมายถึงตัวเลขเงินในบัญชีของแบงค์ชาติทั้ง 2 แห่งกับระบบกลาง Target 2  จะเปลี่ยนไป

ถ้า Bank A ในเอเธนส์ ไม่มีเงินสำรองที่แบงค์ชาติกรีซพอ  ก็จะต้องยื้มแบงค์ชาติกรีซก่อนใช่ไหม  และแบงค์ชาติกรีซก็ต้องไปยื้มจากธนาคารกลางยุโรปที่เรียกว่า ECB อีกต่อตามระบบไง

ทีนี้ถ้าแบงค์ชาติกรีซรู้ว่าเจ้า Bank A กำลังโดนผู้ฝากถอนเงินออกอย่างรวดเร็วล่ะ

ยังไม่มีปัญหา ยังให้กู้ได้ โดยแบงค์ชาติกรีซไปยืมมาจาก ECB โดยวางหลักประกัน (ที่ด้อยคุณภาพแล้ว ?)  ซึ่ง ECB เป็นผู้พิจารณาอนุมัติให้ได้จนถึงเพดานตามกฏที่กำหนด

เรื่องหลักประกันนี่ละที่เป็นประเด็น

แบงค์ชาติกรีซจะได้รับอนุมัติเงินกู้จาก ECB บนหลักประกัน (ที่ด้อยคุณภาพ ?)  ได้จนถึงเพดาน

ถ้าหลักประกันจะเกินเพดานที่กำหนด ก็ต้องขอให้ ECB พิจารณาเพื่อเพิ่มเพดานให้ ซี่งการโหวตของ ECB ก็คือการอนุมัติให้มีเงินทุนเคลื่อนย้ายเกิดขึ้นได้

แต่ถ้าไม่ผ่านอนุมัติ  Bank A ของกรีซก็จะล้มละลายลงทันที และเป็นจุดกระตุ้นให้เกิดเงินทุนเคลื่อนย้ายครั้งใหญ่ (ถ้าคนส่วนใหญ่ทำตัวเป็นไทยมุงดูไฟในโรงหนัง ไม่ยอมหนีไฟแต่แรก)

ตอนนั้นละที่แบงค์ชาติกรีซจะต้องออกกฏควบคุมเงินทุนเคลื่อนย้าย (Capital Control) แล้วทุกคนที่มีเงินยูโรในธนาคารทุกแห่งในกรีซก็จะโดนแช่แข็งเงินในบัญชี 


ทำได้อย่างเดียวคือ นั่งรอ นอนรอ ถ่างตารอดูค่าเงินในบัญชีเงินฝากของตัวเองดิ่งเหว  ตอนที่กรีซออกจากยูโร

ปัจจุบันนี้ มีเงินฝากประมาณ 170,000 ล้านยูโรในแบงค์ต่างๆ ในกรีซ  ถึงแม้ค่าเงินในกรีซจะหดไปสักครึ่งหลังกรีซออกจากยูโร มันก็คงไม่ทำให้ระบบยูโรพังทลายไปได้ เพาะจำนวนเงินมันไม่มาก

เขาว่ากันว่า ที่จริงตอนนี้ถือว่ากรีซ Default แล้วสำหรับหนี้ภาครัฐ และนับตั้งแต่เลือกตั้งใหม่จนถึงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมานี้ มีคนถอนเงินแบบ Bank Jog ไป 700 ล้านยูโร 

แต่แค่ 2 วันแรกของสัปดาห์นี้ มีการถอนเงินออกไป 1,200 ล้านยูโรแล้ว

ที่น่าห่วงก็คือ มันจะลามไปที่ สเปน กับ อิตาลี หรือไม่

2 ประเทศรวมกัน มีเงินฝาก 3 ล้านล้านยูโร มีพันธบัตรรัฐบาลที่ต่างชาติถืออยู่ 800,000 ล้านยูโร มีตราสารหนี้เอกชนที่ต่างชาติถืออีก 600,000 ล้านยูโร  กับมีหุ้นที่ต่างชาติถือครองอยู่อีก 300,000 ล้านยูโร

ผู้ลงทุนต่างชาติใน 2 ประเทศ จะมีปฏิกิริยาอย่างไรกับข่าวในกรีซ จะกังวลว่าจะลามมายังอิตาลีกับสเปนไหม และจะตัดสินใจอย่างไรกับเงินฝาก และเงินลงทุนต่างๆ ที่มีอยู่มหาศาลในตลาดทั้ง 2 ประเทศนี้

และสิ่งที่ต่างชาติไม่ชอบเลยก็คือ Capital Control  

หากเขากลัวจะโดนแช่แข็งเงินในอนาคต กลัวรัฐบาลกับแบงค์ชาติอิตาลีและสเปนไม่ให้เขานำออกนอกประเทศ เขาก็จะรีบนำเงินออกเสียแต่ในเร็ววัน ใช่ไหมล่ะ

ตรงนี้ละ ที่บอกไปแล้วว่าทางแก้ระยะสั้นคือ ยุโรปต้องเร่งประกาศให้ทุกคนมั่นใจว่าเงินฝากจะได้รับการคุ้มครอง 100% จาก EU (Whoever they are หรือจะเป็น Pan-European Depositor Insurance )  เพราะหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญสุดๆ สำหรับเหตุการณ์แบบนี้คือ Trust

ต้องทำให้เขามั่นใจได้ว่า มันจะได้รับความคุ้มครองจริงๆ และเต็มจำนวน และไม่มี Capital Control  หรือถ้ามีก็จะไม่กระทบส่วนของเขา

เห็นไหม เวลาเกิด Crisis สถาบันคุ้มครองหรือประกันเงินฝากจะไร้ความหมายไปเลย เพราะไม่มีที่ไหนมีเงินประกันพอสำหรับความตื่นตระหนกทั้งระบบ

จะว่าไปแล้ว อนาคตของกรีซไม่ได้อยู่ที่การเลือกตั้งหรือรัฐบาลกรีซหรอก  มันอยู่ในมือของผู้ฝากเงินตะหากเล้า

เรื่องกรีซนี่ ดร.กอบศักดิ์ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ธนาคารกรุงเทพฯ เขียนไว้น่าสนใจว่า ……….. 

ณ ปัจจุบัน กรีซมีทางเลือกแค่ 2 ทาง

1. กัดฟันอยู่กับกลุ่มสหภาพยุโรปต่อไป  ทำตามที่ทางสหภาพยุโรปและกองทุนการเงินระหว่างประเทศกำหนดไว้ รัดเข็มขัดต่อไป ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เพื่อให้ได้เงินมาคืนหนี้ที่ตนเองไปกู้มาใช้อย่างเกินตัว และปฏิรูปโครงสร้างของเศรษฐกิจให้สามารถแข่งขันได้อีกครั้ง

2. ประกาศออกจากการใช้เงินยูโรตามที่หลายคนออกมาให้คำแนะนำ (ตรงนี้ ดร กอบศักดิ์ เขียนประชดได้อย่างน่ารักจริงจริ๊ง) ซึ่งหมายความว่าหลังจากนี้กรีซก็จะมีค่าเงินเป็นของตนเอง ลดค่าเงินของตนเองได้ ทำให้สามารถกระตุ้นภาคการส่งออกและท่องเที่ยว ทำให้คนมีงานทำ และสามารถออกจากวิกฤตได้


ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล


ท่านสรุปว่าเป็นทางเลือกที่แย่ทั้งคู่  มีความยากลำบากเกิดขึ้นมาก ต้องอดทนสูงที่จะเดินไปให้ตลอดรอดฝั่ง โดยเฉพาะทางที่ 2 ที่ตลาดกำลังกลัวกันว่ากรีซจะตัดสินใจเลือกทางนี้

แล้วท่านก็ชี้ว่า ก็ไม่ได้ง่ายอย่างที่คนออกมาชวนเชื่อกัน”  เพราะถ้าเดินไปตามทางที่ 2 กรีซจะต้องขอมติประชาชนที่จะออกจากยูโร และนำไปสู่การใช้เงินของตนเอง ซึ่งในกระบวนการดังกล่าว ต้องตอบคำถามสำคัญว่า ในสัญญาต่างๆ ที่เขียนกันไว้นั้น (1) เงินฝากในธนาคารของประชาชนจะเป็นสกุลอะไร ถ้าเป็นยูโรเช่นเดิมแบงก์ก็จะล้มได้ แต่ถ้าจะเป็นเงินสกุลใหม่คนคงไม่รอให้มีการประชามติ คงมีการแห่ถอนเงินเพื่อนำไปฝากไว้ที่แบงก์ในประเทศเพื่อนบ้านแทน แบงก์กรีซก็จะล้มเช่นกัน  (2) เงินกู้จะคิดเป็นสกุลอะไร ถ้าให้คิดเป็นยูโร บริษัทที่ทำธุรกิจภายในประเทศก็จะล้มลงเป็นจำนวนมาก แบงก์ก็อยู่ไม่ได้ (และดูเหมือนกับว่าจะไม่ยุติธรรม) แต่ถ้าเป็นเงินสกุลใหม่ก็จะมีบางบริษัทได้ประโยชน์ โดยเฉพาะคนที่กู้ออกไปใช้ลงทุนในต่างประเทศ  และ (3) เงินที่ธนาคารกรีซปล่อยกู้ให้ธนาคาร/บริษัทในต่างประเทศจะเป็นเงินสกุลไหน

ท่านบอกว่า คำถามเหล่านี้ มีนัยยะได้เสียกับทุกคน ยากที่จะตอบง่ายๆ  และยิ่งไปกว่านั้นหลังจากออกจากยูโรมาแล้วกรีซจะอยู่อย่างไรโดยที่ไม่มีคนช่วยเหลือ ซึ่งหมายความว่ารัฐบาลกรีซก็จะต้องรัดเข็มขัดอยู่ดี เพราะหลังจากนั้นจะไม่มีใครมาให้กู้ยืมไปใช้เกินกว่าภาษีที่เก็บมาได้อีกต่อไป (กระทั่งกองทุนการเงินระหว่างประเทศก็คงไม่ให้กู้) ทั้งยังต้องเข้าไปอุ้มแบงก์และบริษัทที่ล้มลงด้วยกำลังของตนเองเท่านั้น จึงกล่าวได้ว่า ทางออกนี้ ไม่ง่ายอย่างที่คิดและโฆษณากันไว้

ท่านจบท้ายว่า ....

ด้วยเหตุนี้ ไม่ว่าใครที่จะเข้ามาเป็นรัฐบาลของกรีซ แม้ตอนแรกจะอิดออดแค่ไหนแต่เมื่อมองลงไปที่หุบเหวของความหายนะที่ไม่รู้ว่าจะจบอย่างไร ท้ายสุดก็จะต้องพยายามกลับไปเดินทางเลือกที่ 1 จนถึงที่สุด  และทางสหภาพยุโรปก็คงต้องช่วยโดยยอมโอนอ่อนให้อีกบางส่วน กอดหัวร่วมท้ายกันไป ฝ่าความลำบากของทางเลือกที่ 1 ไปด้วยกัน ท่านจึงได้แต่หวังว่ากรีซจะมีปัญญาพอที่จะเลือกทางที่เสียหายน้อยที่สุดกับตนเอง 


วรวรรณ ธาราภูมิ
17 พฤษภาคม 2555


Nouriel Roubini  ผู้มีฉายาว่า Dr. Doom หรือ ดร.มหาโลกาวินาศ”  ให้สัมภาษณ์ล่าสุดเมื่อวานนี้ว่า หมดหวังเรื่องลูกหมูกรีซแล้ว  มันถึงเวลาที่เจ้าหมูน้อยจอมซ่าต้องโยนผ้าขาวรับสภาพผิดนัดชำระหนี้  ไม่เบี้ยว ไม่มี ไม่หนี ไม่จ่าย ได้แล้ว แล้วก็ถึงเวลาที่ต้องเชิญออกไปจากบ้านใหญ่หลังนี้ที่ชื่อว่า EU เสียด้วย

แน่ละ ที่วันหนึ่งพวกพี่ๆ เขาต้องถึงขีดจำกัดความอดทน ที่จะอุ้มหมูน้อยเข้ากะเอว ครอบครัวของพวกพี่ๆ ใน EU เขาไม่ยอมทนกับการสุรุ่ยสุร่าย แต่ขี้เกียจทำงานของพวกแกเต็มทนแล้วนะไอ้หมูจอมขี้เกียจ ไม่มีใครช่วยอุ้มแกแล้ว สมน้ำหน้า  คนอื่นเขาทำงานหนัก กว่าจะมั่งมีขึ้นมาได้ แล้วเรื่องอะไรที่แกจะแบมือขอเงินอย่างเดียว แบบนี้ทำนาบนหลังคนนี่หว่า

น้ารู (บินี) บอกว่าหากกรีซยังคงห้อยโหนถ่วงตุ้ม EU ปัญหาของเจ้าลูกหมูตัวนี้ก็จะตามมาหลอกหลอนอีกเป็นระยะๆ แล้วจะทำให้ EU ทั้งกลุ่มเจอกับภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ (Depression)  กับภาวะเงินฝืด (Deflation)  ไปเป็นหลายๆ ปี  ซึ่งต่อให้ปรับโครงสร้างหนี้ ลดหนี้ ฯลฯ ยังไง กรีซก็ไม่รอดแล้ว  เพราะกรีซไม่สามารถแข่งขันกับใครได้ภายในกลุ่ม EU และเศรษฐกิจกรีซก็จะไม่สามารถโตได้เลย เพราะแข่งกับคนอื่นไม่ไหว  ดังนั้น ทางเดียวที่จะทำได้ก็คือทำให้ค่าเงินอ่อนลง ซึ่งทำไม่ได้หากยังอยู่ในกลุ่ม EU

ใช่สิ  เพราะการอยู่ในระบบ EU ด้วยกัน ใช้เงินสกุลเดียวกัน  ในขณะที่ตัวเองอ่อนแอกว่าคนอื่นเขา มันก็เหมือนจับคนขาพิการไปวิ่งบนสายพานนั่นแหละ ไปไม่ไหว

หากไม่ได้ใช้สกุลเงินเดียวกันแล้ว กรีกยังลดค่าเงินตัวเองเหมือนที่ไทยเคยทำได้ในช่วงต้มยำกุ้ง ทำให้ข้าวของของเราขายได้ในราคาถูกลงเนื่องจากลดค่าเงิน  ซึ่งของไทยนั้น ทำไปไม่นานก็ฟื้นขึ้นมาได้ อย่างน่าชื่นชมในความฮึดสู้ของนักธุรกิจไทยทั้งหลาย  ช่างน่าอัศจรรย์ใจจริงๆ

นี่ละ ที่เขาว่า นักธุรกิจสร้างชาติ ในขณะที่นักการเมือง ....... ชาติ
(เติมกันเองตามอัธยาศัยนะคะ ..... ฮี้วววววว)

ความจริงไอ้การชักดาบเนี่ยะ รัฐบาลบางประเทศก็ทำกันมาหลายครั้งแล้วในอดีต
ไม่ว่าจะกรีซ สเปน หรืออาร์เจนตินา ฯลฯ  เขาเรียกกันว่า Debt Moratorium ซึ่งแปลว่า เลื่อนชำระหนี้

ภาษาชาวบ้านเราเรียกว่า ผลัดหนี้ นั่นแหละ

นึกถึงนิยายไทยๆ ที่ชอบพล็อตเรื่องว่า พ่อแม่เป็นสิงห์พนันตัวยง มีหนี้พนันท่วมหัว ต้องเอาลูกสาวไปใช้หนี้มาเฟียเจ้าของบ่อน แล้วก็ต้องมีการข่มขืนกัน ทั้งๆ ที่พระเอกแสนหล่อ

เรื่องแบบนี้มันเป็นไปไม่ได้ เพราะหากหล่อขนาดที่บรรยาย  ลูกหนี้น่าจะข่มขืนเจ้าหนี้มากกว่า




มีคนถามว่าทำไมกรีซไม่เอาวิหารพาธินอนไปขายใช้หนี้ล่ะ   

อืม ... เข้าใจคิด  คงคล้ายๆ เทศบาลท้องถิ่นในอเมริกา เอาสัมปทานที่จอดรถแบบหยอดเหรียญไปขายให้พวก Wall Street กับ พวกเศรษฐีตะวันออกกลาง เพื่อหาเงินเข้าเทศบาลนั่นแหละ

เป็นแนวคิดที่ดีทีเดียว เอาสมบัติที่มีไปขายซะ เพราะหากไม่ทำก็ไม่มีวันฟื้น

จะขายหรือให้เช่าวิหารต่างๆ  ขายกิจการรัฐวิสาหกิจ โรงไฟฟ้า ประปา โทรศัพท์ ฯลฯ ขายให้หมดจนหมดหนี้ เลย  ใช้วิธีให้เช่าสัมปทานระยะยาวก็ได้  ยังไงๆ ก็ดีกว่าจมหนี้ตาย

น้ารู (บินี) แนะนำให้กรีซประกาศหยุดชำระหนี้คืนชั่วคราวทันที 
แล้วออกจาก EU ไปซะ เพื่อไม่ต้องตายยกเข่งอียู

แน่ละ จะต้องเกิดการแตกตื่นกันครั้งใหญ่ในระบบการเงิน  ทุกคนจะแห่แหนกันไปถอนเงินออกจากกองทุนออกจากธนาคาร  และออกจากทุกอย่างที่มีกับกรีซ ซึ่งนั่นก็เป็นปฏิกิริยาของคนที่ต้องเอาตัวรอดในยามไฟไหม้
และน่าจะเกิดไม่เฉพาะที่กรีซเท่านั้น  

แน่นอน อาการนี้มันจะลุกลามไปทั่ว

แต่จะลามมาก ลามน้อย ขึ้นอยู่กับความมั่นใจของคนที่มีต่อประเทศนั้นๆ  มาดูตารางนี้กัน มันแสดงตัวอย่างของธนาคารในยุโรปที่มีการปล่อยกู้ และซื้อพันธบัตรกลุ่มลูกหมู (PIISG .. Protugal, Italy, Ireland, Greece และ Spain) โดยเปอร์เซ็นต์ที่แสดงนั้นเขาเอาตัวเลขยอดหนี้กลุ่ม PIIGS ที่แต่ละธนาคารมีอยู่  เอามาหารด้วยทุนของธนาคารนั้น 




ตัวอย่างเช่น Credit Agricole (France) มีสัดส่วนถึง 293% แปลว่าธนาคารปล่อยกู้ให้กลุ่ม PIIGS ไป 293 ยูโร ในขณะที่มีทุน 100 ยูโร แสดงว่าส่วนของผู้ถือหุ้นทั้งหมดรองรับหนี้กลุ่ม PIGGS ที่ปล่อยกู้ไม่ครบ
หากหนี้พวกนี้เกิดชักดาบขึ้นมาละก็

..... แถ่น แทน แท้น ..... บุ๋ง บุ๋ง ....  จ๋อม  ....  (คิดอะไรอยู่ ....  รู้นะ)

ถึงจะเพิ่มทุน ใครหน้าไหนจะกล้าเอาเงินไปใส่ตอนนี้  นอกจากรัฐบาลเอาเงินภาษีประชาชนไปอุ้มตามสูตรสำเร็จที่แหกคอกทุนนิยมเสรี  ซึ่งเป็นการบิดเบือนกลไกตลาดแบบทุนนิยม 

ดังนั้น ทั้งกรีซ ยูโร และทุกประเทศที่เกี่ยวข้องกับ PIGGS และธนาคารในตาราง  ต้องมีมาตรการป้องกันคนฝากเงินแห่กันถอนเงิน ไม่อย่างนั้นจะพินาศทั้งระบบเลย   ตัวอย่างมาตรการในอดีตของประเทศที่มีการชักดาบก็คือ อาร์เจนตินา

อย่างเท่ห์เลย อาร์เจนตินา ใช้วิธี Freeze เงินฝาก ไม่ให้ใครถอนออก !!!!

แล้วยังเพิ่มโปรโมชั่นนาทีทองด้วยมาตรการ Capital Control  นั่นก็คือควบคุมการนำเงินหรืออื่นๆ เช่น ทองคำ ออกนอกประเทศอีกด้วย นี่คือตัวอย่างของคำว่า บูรณาการ

ใช่แล้ว ผลกระทบของมาตรการชักดาบของ อาร์เจนตินา  ทำให้เกิดระส่ำระสายไปทั้งระบบ แต่เงินไม่ไหลออกไปไหน โดนแช่แข็งอยู่ในธนาคารและในประเทศ 

แม้ว่าราคาสินทรัพย์กับหลักประกันต่างๆ จะลดลงฮวบฮาบ ความเสียหายจะเกิดขึ้นไปทั่ว  แต่สถานการณ์ต่างๆ ยังควบคุมได้ และสามารถจำกัดวงความเสียหาย

แล้วพระเอกเจ้าเก่า บทเก่าๆ ก็จะเข้ามาเป็นซุปเปอร์แมน
นั่นก็คือ รัฐและธนาคารกลางก็เข้าไปเพิ่มทุนโดยเอาเงินซื้อหุ้นของธนาคารเหล่านั้น  

แม้ว่าการใส่เงินเข้าไปช่วยอุ้มแบงค์เป็นการเพิ่มหนี้สาธารณะหรือหนี้ภาครัฐของประเทศเข้าไปอีก แต่แนวคิดแบบนี้มักได้รับการสนับสนุน ถ้าหากว่าการยอมโยนผ้าขาวไม่จ่ายคืนหนี้ชั่วคราวนั้น ทำให้เจ้าหนี้ยอมลดหนี้ให้มากๆ

ผู้สนับสนุนมองว่าลดหนี้แล้วทำให้ลูกหนี้มีจ่าย ย่อมเหมือนกับ กำขี้ย่อมดีกว่ากำตด นั่นแล เพราะการมีกากๆ ในมือ ย่อมดีกว่ามีแต่อากาศ  แม้จะเหม็นพอกันก็เหอะ




แต่มองที่ตารางข้างต้นอีกที ก็เสียวๆว่าประเทศอื่นๆในกลุ่มยูโร จะกล้าปล่อยให้กรีซโยนผ้าขาวไหม 

และเมื่อวันก่อน น้ารู (บินี) ก็ออกมาประกาศเสียงแจ้วๆ ว่า

“(ขอแสดงความยินดีด้วย ชาวอเมริกันที่รัก) เรากำลังเข้าสู่ Recession แล้ว  ไม่เชื่อก็ดูตัวเลขจ้างงานในเดือนสิงหาคมนี้สิ มันเป็น 0 ไม่มีเพิ่มเลย  ยอดขายปลีกก็เป็น 0 ไม่ขยายสักนิด และเชื่อได้เลยว่าเดือนกันยายนนี้ก็จะแย่ยิ่งกว่าเดิม

อาการเศรษฐกิจสหรัฐช่างสมฉายานามของทั่นประธานาธิบดีจริง  ที่เขาเรียกว่า President Zero น่ะ  ฮ่าๆๆๆๆ  Zer_0_Bama

ใครจะตื่นเต้นตกใจก็ว่ากันไป เพราะพวกเรารู้มานานแล้วว่ามันจะเป็นเช่นนี้ จริงไหม

นอกจากนี้ น้ารู (บินี) ยังบอกด้วยว่า อย่าถามว่าจะเกิด Recession อีกครั้งหรือเปล่า  ให้ถามว่า Recession รอบใหม่นี้ เราจะตกบ่วงถลำลึกขนาดไหน น่าจะเหมาะกว่า  ซึ่งคำตอบของน้ารู (บินี) ก็คือ มันอยู่ที่นโยบายรัฐ กับสถานการณ์วิกฤติในยูโร

ก็ขอเอาใจช่วยให้ทุกคนในฝั่งตะวันตกรอดพ้นจากทอร์นาโดทางเศรษฐกิจกัน

ส่วนคนไทยอย่างเราก็ควรเอาเป็นตัวอย่างไว้
ทั้งเรื่องการรวมกลุ่ม EU ที่มีข้อเสียมากมาย ไม่น้อยกว่าข้อดี

และจงระวังไว้ว่าการเอาแบบอย่างพวกตะวันตกโดยไม่ยอมใช้หัวคิดตนเองนั้น
อาจนำพาความล่มจมมาสู่ประเทศชาติได้เหมือนกัน