จาก1ล้านเป็น500ล้านผมทำอย่างไร

จาก1ล้านเป็น500ล้านผมทำอย่างไร
เล่าประสบการณ์การลงทุนของผมที่นำไปใช้ได้ง่ายๆ

วันจันทร์ที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2561

Co-Working Space และ Co-Living Space (ตอนจบ)


                        Co-Working Space และ Co-Living Space (ตอนจบ)



        บทความตอนที่แล้วผมได้พูดถึงธุรกิจ Co-Working Space ว่าเป็นอย่างไรและได้เกริ่นถึงธุรกิจ Co-Living Space ซึ่งกำลังเริ่มที่จะได้รับความนิยมไปทั่วโลก ธุรกิจ Co-Living Space ได้ตอบโจทย์และแก้ปัญหาให้กับชาวลอนดอนได้ค่อนข้างดี เนื่องจาก ปัจจุบันนี้ความต้องการห้องพักอาศัยขาดแคลนเป็นอย่างมาก ทำให้ลอนดอนเป็นเมืองที่จำนวนห้องพักที่ว่างมีอัตราที่ต่ำมาก เมื่อเทียบกับเมืองอื่นๆในโลกนี้ อาคารเก่าๆหลายอาคารได้ถูกดัดแปลงและปรับปรุงเพื่อใช้เป็นพื้นที่สำหรับ Co-Living Space ซึ่งก็ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากชาวเมืองลอนดอน

       อย่างที่ผมได้ทิ้งท้ายไว้ในบทความตอนที่แล้วว่า นอกจากกลุ่ม Gen Y ที่จะเป็นกลุ่มเป้าหมายหลักของธุรกิจนี้แล้ว ก็ยังมีอีกกลุ่มหนึ่งที่เราแทบจะคาดกันไม่ถึงเลย ว่าจะให้ความสนใจที่จะมาใช้บริการของธุรกิจนี้ นั่นก็คือกลุ่มผู้สูงวัยหรือกลุ่ม Baby Boomer ซึ่งกลุ่มคนเหล่านี้หลายคนก็อยากจะอยู่ในสังคมของคนวัยเดียวกัน เพราะพูดจาภาษาเดียวกัน และเข้าใจกันได้มากกว่า มีวิถีชีวิตที่คล้ายคลึงกัน และปกติที่พักแบบ Co-Living Space ที่เจาะกลุ่มเป้าหมายลูกค้ากลุ่มผู้สูงวัย ก็จะมีสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆสำหรับผู้สูงวัยโดยเฉพาะ ในกรุงลอนดอนมีหลายโครงการแล้วที่เจาะลูกค้ากลุ่มนี้ ซึ่ง เมืองไทยก็เป็นประเทศที่มีผู้สูงอายุอยู่เป็นจำนวนมาก ปัจจุบันมีคนไทยประมาณ 17 เปอร์เซ็นต์แล้วที่มีอายุเกิน 60 ปี และจำนวนผู้สูงวัยก็จะมีอัตราเพิ่มขึ้นอีกในไม่กี่ปีข้างหน้า  เชื่อว่า Trend ที่อยู่อาศัยแบบนี้ น่าจะเป็นที่นิยมในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าในเมืองไทย นอกจากนั้นยังมี Co-Living Space  ที่เจาะกลุ่มสุภาพสตรีโดยเฉพาะ ทำให้สุภาพสตรีที่อาศัยอยู่ในโครงการเหล่านั้นรู้สึกอุ่นใจ สบายใจ และปลอดภัยมากขึ้น ในการที่จะอยู่อาศัยร่วมกันในที่อยู่อาศัยแบบนั้น

       แนวคิดของการอยู่อาศัยแบบนี้ก็คือ "Breaking down fences and allow people to start sharing amenities in their living environment so that there is a quality of life but also a social activation." ด้วยขนาดห้องพักที่ค่อนข้างเล็ก ผู้ประกอบการจึงมักสามารถตั้งราคาค่าเช่าได้ถูกกว่าอพาร์ทเม้นท์หรือคอนโดมิเนียมให้เช่าโดยทั่วไป จึงทำให้เกิดความนิยมใช้บริการของธุรกิจนี้มากขึ้น ปัจจุบันโครงการที่เป็น Co-Living Space บางแห่ง มีลักษณะเป็นแบบการขายขาดบางส่วน ร่วมกันกับการกันพื้นที่บางส่วนในโครงการเดียวกันไว้สำหรับให้เช่า โดยส่วนใหญ่จะมีอัตราส่วน 2 ต่อ 1

Co-Working Space และ Co-Living Space (ตอนที่ 1)


                      Co-Working Space และ Co-Living Space (ตอนที่ 1)


           หลายปีที่ผ่านมาเราได้ยินคำว่า Co-Working Space อยู่บ่อยๆ ซึ่งเป็นสถานที่ที่ให้บริการกับผู้ที่ต้องการเช่าใช้พื้นที่สำนักงานเล็กๆในใจกลางเมือง ที่ไม่สามารถที่จะสู้ค่าเช่าสำหรับพื้นที่สำนักงานในใจกลางเมืองที่แสนแพงได้ โดย  Co-Working Space เริ่มต้นเกิดขึ้นครั้งแรกที่เมืองซานฟรานซิสโก ประเทศสหรัฐอเมริกา ในปี 2548 ส่วนมากจะเป็นผู้ที่ทำงานฟรีแลนซ์ หรือ นักวิชาชีพที่ทำงานคนเดียว โดยเฉพาะกลุ่ม Digital Nomad และ Startup ทั้งหลาย  ซึ่งสามารถจะทำงานที่ไหนก็ได้บนโลกใบนี้ ขอเพียงแค่มีคอมพิวเตอร์และอินเตอร์เน็ตให้ใช้เท่านั้น ซึ่งความต้องการเช่าเหล่านี้ อาจจะเป็นความต้องการเช่าในระยะสั้นและหรือระยะยาวก็ตาม โดย ผู้เล่นรายใหญ่ใน Asia ก็คือ Naked Hub ซึ่งมีฐานใหญ่อยู่ที่เมือง Shanghai และ URWork ซึ่งมีฐานใหญ่อยู่ที่เมือง Beijing

         จริงๆแล้วความต้องการเหล่านี้มีมาอยู่ตั้งนานแล้ว แต่เพิ่งจะทำเป็นเรื่องเป็นราวก็ในช่วง 10 กว่าปีที่ผ่านมานี่เอง แนวคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ก็ได้แพร่หลายไปทั่วโลก เราจะเห็นได้ว่าในเมืองใหญ่ๆล้วนแล้วแต่มี Co-Working Space ผุดขึ้นมาเป็นจำนวนมาก  ซึ่งแน่นอนต้องมีกรุงเทพเป็นหนึ่งในเมืองที่มี Co-Working Space อยู่ด้วย โดยรายที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักมากหน่อยเช่น Hubba เพราะว่าเป็นรายแรกที่ทำธุรกิจนี้ในเมืองไทย เป็นต้น  ปัจจุบันทั้งร้านอาหาร ร้านเบเกอรี่และร้านกาแฟหลายแห่ง ก็ได้จัดแบ่งพื้นที่ภายในร้านหรือชั้นบนของร้านมาทำเป็น Co-Working Space ด้วยเช่นกัน โดยมีการคิดค่าใช้จ่ายเป็นรายวันหรือรายเดือน ปัจจุบันนี้มีการคิดค่าใช้จ่ายแบบครึ่งวันก็มีแล้วในหลายแห่ง  โดยมีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยตกวันละประมาณ 300 บาท

          การที่ Co-working Space เป็นที่นิยม ส่วนหนึ่งก็เกิดจากการที่ผู้คนเหล่านั้นไม่ต้องการบรรยากาศที่ต้องมานั่งทำงานคนเดียว โดยเฉพาะคนที่มาจากต่างถิ่น แล้วย้ายเข้ามาทำงานอยู่ในเมืองใหญ่ อาจจะไม่ค่อยมีเพื่อนหรือญาติพี่น้อง เนื่องจากมนุษย์เราเป็นสัตว์สังคม ดังนั้น Co-working Space สามารถที่จะตอบโจทย์นี้ได้ ทำให้ผู้ที่มาใช้บริการได้มีโอกาสพบปะผู้ที่มาใช้บริการคนอื่นๆด้วย จึงมีโอกาสที่จะแลกเปลี่ยนความคิดเห็น หรืออาจจะถึงขั้นส่งเสริมและ Barter ธุรกิจซึ่งกันและกันได้

อิทธิพลของจีนต่อพื้นที่สำนักงานของเอเชีย


                                      อิทธิพลของจีนต่อพื้นที่สำนักงานของเอเชีย



        ในรอบ 30 ปีที่ผ่านมา เราต้องยอมรับว่าประเทศจีนเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจเติบโตอย่างรวดเร็ว  ทำให้ประเทศจีนเป็นประเทศที่ทรงอิทธิพลต่อเศรษฐกิจของประเทศอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นการนำเข้าหรือส่งออกสินค้าและบริการ รวมทั้งยังเป็นประเทศที่มีนักท่องเที่ยวที่เดินทางไปเที่ยวทั่วโลกมากที่สุด ถ้าประเทศจีน Boycott ประเทศใดประเทศหนึ่ง นั่นหมายถึงผลลบที่จะเกิดขึ้นกับเศรษฐกิจของประเทศนั้นๆ เหมือนอย่างเช่น เวียดนาม เกาหลี และฟิลิปปินส์ ที่เคยถูก Boycott จากรัฐบาลจีนมาก่อน และประชาชนจีนเองก็ค่อนข้างจะมีความเป็นชาตินิยมสูง ยิ่งการที่คนจีนมีการใช้อินเตอร์เน็ตกันอย่างแพร่หลาย รวมทั้งนิยมใช้ Social Media ต่างๆ ทำให้เมื่อใดที่รู้สึกว่าไม่ถูกใจประเทศใดประเทศหนึ่ง ก็จะร่วมกันแอนตี้สินค้าหรือบริการจากประเทศนั้นๆ รวมทั้งเลิกหรือระงับการเดินทางไปเที่ยวประเทศนั้นๆ เป็นต้น

        ผมยังจำได้ว่าเคยมีดาราสาวฮอลลีวูดท่านหนึ่ง คือ ชารอน สโตน ซึ่งผู้อ่านที่มีอายุขึ้นต้นด้วยเลข 4 คงจะรู้จักกันแทบทุกคน เธอเคยให้สัมภาษณ์ในทํานองสมน้ำหน้าคนจีน ในช่วงที่เกิดภัยพิบัติเมื่อหลายปีก่อน ส่งผลให้ภาพยนตร์ของเธอถูกแอนตี้จากคนจีนเกือบทั้งประเทศ รวมทั้งรัฐบาลจีนก็ได้สั่งห้ามภาพยนตร์ที่มีเธอนำแสดงอยู่เข้ามาฉายในประเทศจีนด้วย อิทธิพลของจีนที่มีมากขึ้นเรื่อยๆ ส่งผลให้ภาพยนตร์ฮอลลีวูดหลายเรื่อง ถ้าสังเกตให้ดีจะพบว่า มีนักแสดงที่เป็นคนจีนร่วมแสดงในภาพยนตร์เหล่านั้นด้วย เพื่อดึงดูดให้คนจีนมาชมภาพยนตร์ของตน

        การลงทุนทั้งทางตรงและทางอ้อมของนักลงทุนและนักธุรกิจสัญชาติจีน กำลังเป็นที่ต้องการของประเทศต่างๆทั่วโลก ยกเว้นประเทศทางแถบตะวันตก ที่อาจจะมีอคติกับประเทศจีน ทำให้การร่วมทุนหรือการซื้อกิจการของธุรกิจบางประเภท โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงและความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยี มักจะถูกกีดกันโดยรัฐบาลของประเทศเหล่านั้น

        ผมได้อ่านรายงานของเจแอลแอลมีชื่อว่า China12: China's Cities Go Global ซึ่งวิเคราะห์ 12 หัวเมืองบนแผ่นดินใหญ่ของจีน (China12) ซึ่งประกอบไปด้วยเมือง Beijing, Chengdu, Chongqing, Guangzhou, Hangzhou, Nanjing, Shanghai, Shenzhen, Suzhou, Tianjin, Wuhan และ Xi'an ซึ่งเป็นที่ตั้งของบริษัทรุ่นใหม่ที่กำลังเพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งบริษัทเหล่านี้มีความเคลื่อนไหวและความมุ่งหวังสูงที่จะเติบโต และจะกลายเป็นคลื่นลูกต่อไปที่จะขยายธุรกิจออกไปยังทั่วโลก ดังจะเห็นได้จากการที่มีบริษัทจีนจำนวนมาก ทั้งที่เป็นบริษัทที่ก่อตั้งมานานแล้วและที่เป็นบริษัทสตาร์ทอัพ ได้ขยายธุรกิจออกไปในต่างประเทศ โดยเฉพาะเอเชียใต้และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อาทิ สิงคโปร์ โตเกียว โซล จาการ์ตา กรุงเทพฯ และเดลี

        สิงคโปร์ เป็นเมืองอันดับหนึ่งที่มีบริษัทจากจีนแผ่นดินใหญ่ขยายเข้าไปเปิดดำเนินธุรกิจมากที่สุดในโลก เนื่องจากสิงคโปร์เป็นแหล่งธุรกิจที่มีเสถียรภาพและความโปร่งใสสูงสุดในเอเชีย อีกทั้งยังเป็นหนึ่งในศูนย์กลางทางการเงินของโลก มีความสัมพันธ์เชื่อมโยงที่แข็งแกร่งกับจีน และมีชัยภูมิที่เหมาะสมสำหรับการเป็นประตูสู่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้

อสังหาริมทรัพย์ทางเลือก


                                                         อสังหาริมทรัพย์ทางเลือก


                     วันก่อนผมได้อ่านรายงานการวิจัย “The Rise of Alternative Real Estate in Asia Pacificของบริษัทโจนส์แลงลาซาล(JLL) ซึ่งเป็นบริษัทที่ปรึกษาและให้บริการทางด้านอสังหาริมทรัพย์ โดยรายงานดังกล่าวได้ระบุว่า นักลงทุนทั่วโลกให้ความสนใจโอกาสการลงทุนใน 'อสังหาริมทรัพย์ทางเลือก' ในเอเชียแปซิฟิกมากขึ้น เนื่องจากให้ผลตอบแทนการลงทุนสูงและมีศักยภาพเติบโตในระยะยาว

0                       อสังหาริมทรัพย์ทางเลือก ในที่นี้ หมายถึงอสังหาริมทรัพย์ประเภทอื่นๆ ที่ไม่ใช่อสังหาริมทรัพย์กลุ่มหลักที่ประกอบด้วย ที่อยู่อาศัย อาคารสำนักงาน ศูนย์การค้า อสังหาริมทรัพย์เชิงอุสาหกรรม โกดัง/ศูนย์จัดเก็บและกระจายสินค้า อพาร์ทเม้นท์ โรงแรม และเซอร์วิสอพาร์ทเม้นท์ ตัวอย่างของอสังหาริมทรัพย์ทางเลือก ได้แก่ บ้านพักผู้สูงวัย/ศูนย์ดูแลคนชรา ที่พักนักเรียน/นักศึกษา โรงเรียน ดาต้าเซ็นเตอร์ (พื้นที่จัดวางระบบประมวลผลกลางและระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ขององค์กร) ห้องเก็บของส่วนตัวให้เช่า ไปจนถึงห้องแล็บหรือห้องทดลอง เป็นต้น

                         การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ทางเลือก นับเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหม่สำหรับภูมิภาคเอเชียซิฟิกรวมทั้งประเทศไทย เมื่อเทียบกับยุโรปและสหรัฐฯ อย่างไรก็ดี จากการที่นักลงทุนมองหาโอกาสการลงทุนใหม่ๆ และการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนที่สูงขึ้น ทำให้ความสนใจอสังหาริมทรัพย์ทางเลือกในเอเชียแปซิฟิกมีมากขึ้น ทั้งนี้ รูปแบบการลงทุนส่วนใหญ่มักเป็นการสร้างหรือซื้ออสังหาริมทรัพย์ประเภทใดประเภทหนึ่ง เพื่อให้เช่าระยะยาวแก่ผู้ประกอบการในธุรกิจประเภทนั้น ทำให้เป็นการลงทุนที่สามารถสร้างรายได้ให้แก่ผู้ลงทุนอย่างต่อเนื่องและมีความผันผวนต่ำกว่าเมื่อเทียบกับอสังหาริมทรัพย์กลุ่มหลัก

                    อสังหาริมทรัพย์ทางเลือกหลายประเภท ให้ผลตอบแทนการลงทุนที่สูงกว่าอสังหาริมทรัพย์กลุ่มหลัก ตัวอย่างเช่น ดาต้าเซ็นเตอร์ ให้ผลตอบแทนการลงทุน 6% ที่โตเกียวและสิงคโปร์ และ 6-7% ที่ซิดนีย์ ในขณะที่การลงทุนในอาคารสำนักงานที่โตเกียวจะให้ผลตอบแทนการลงทุนที่ประมาณ 2.5% และที่ซิดนีย์ให้ผลตอบแทน 4.5% ส่วนการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ประเภทศูนย์กาค้าให้ผลตอบแทนประมาณ 2.5-3% ที่โตเกียว และประมาณ 5% ที่ซิดนีย์

วันศุกร์ที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2561

จะเป็น Thailand 4.0 หรือ 0.4


                                 จะเป็น Thailand 4.0 หรือ 0.4



                   การที่ประเทศไทยจะเป็น 4.0 ได้ ก็คงต้องอาศัยความร่วมมือร่วมใจกันทั้งภาครัฐและภาคเอกชน  ลำพังถ้าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่สนับสนุนซึ่งกันและกัน โอกาสที่จะเกิดขึ้นคงเป็นไปได้ยาก  เมื่อเร็วๆนี้เพิ่งมีข่าวเกี่ยวกับที่วินมอเตอร์ไซค์พร้อมใจกันไปบุกสำนักงานของ GRAB  ดูแล้วเหมือนกลุ่มมาเฟียของเจ้าพ่อดีๆนี่เอง ผมก็แปลกใจว่าทำไมตำรวจถึงปล่อยให้มีการกระทำที่ผิดกฎหมายแบบนั้นได้  ซึ่งดูแล้วน่าจะมีตัวบงการอยู่ข้างบน มิฉะนั้นการที่จะรวมกลุ่มวินมอเตอร์ไซค์หลากหลายวิน มาพร้อมกันคงไม่ใช่เรื่องง่าย

                  กลับมาที่การให้บริการของ GRAB  ซึ่งให้บริการในหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น  รับส่งคนหรือสิ่งของ ผ่านทางมอเตอร์ไซค์ส่วนบุคคลและวินมอเตอร์ไซค์ รถเก๋ง หรือ  รถแท็กซี่ ในรูปแบบแอปพลิเคชั่น ซึ่งก่อนหน้านี้มี UBER เป็นคู่แข่งหลัก  ซึ่งเมื่อเร็วๆนี้ได้มีการควบรวมกิจการระหว่าง GRAB ในประเทศไทยและ UBER ในประเทศไทย โดย UBER ขายกิจการส่วนที่ให้บริการในประเทศไทยให้กับ GRAB เพื่อแลกกับหุ้นบางส่วนของ GRAB ในลักษณะรูปแบบเดียวกับที่ UBER ขายกิจการส่วนที่ให้บริการในประเทศจีนให้กับ Didi Chuxing เพื่อแลกกับหุ้นบางส่วนของ Didi Chuxing ที่ประเทศจีน ซึ่งเป็นดีลที่วินวินด้วยกันทั้งคู่




                   เมื่อ 2 ปีที่ ดีลระหว่าง 2 บริษัทนี้ ทำให้มูลค่ากิจการของบริษัท Didi Chuxing ซึ่งเมื่อเร็วๆนี้เพิ่งเพิ่มทุนไป จากเดิมมีมูลค่ากิจการ 28,000 ล้านเหรียญสหรัฐอเมริกา(896,000 ล้านบาท) หลังจากที่ UBER ขายกิจการโดยแลกกับหุ้น 20% ของบริษัท Didi Chuxing ทำให้มูลค่าของบริษัท Didi Chuxing เพิ่มขึ้นเป็น 36,000 ล้านเหรียญสหรัฐอเมริกา(1.152 ล้านล้านบาท) ซึ่งทำให้ UBER กลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของ Didi Chuxing และบริษัท Didi Chuxing ก็จะลงทุนกลับไปใน UBER คิดเป็นมูลค่า 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐเช่นกัน เมื่อเทียบกับ GDP ของประเทศไทยเมื่อ 2 ปีที่แล้ว ที่มีมูลค่าเท่ากับ 406,840 ล้านเหรียญสหรัฐอเมริกา(13.02 ล้านล้านบาท) แทบไม่น่าเชื่อเลยนะครับว่า แค่ธุรกิจแอพเรียกรถของประเทศจีนเพียงแอพเดียว จะมีมูลค่ากิจการคิดเป็น 9 เปอร์เซ็นต์ของ GDP ประเทศไทยเลยทีเดียว กลยุทธ์ของ UBER ที่ใช้ในประเทศจีนและประเทศไทย เข้าตามตำราที่ว่า "เมื่อรบชนะไม่ได้ ก็เข้าไปเป็นพวก"

                    เราลองมาดูประวัติของบริษัท Didi Chuxing  กันนะครับ ก่อนหน้านี้ใช้ชื่อบริษัทว่า Didi Kuaidi ซึ่งเป็นบริษัทที่มีชาวจีนใช้บริการอยู่ถึง 450 ล้านคน ในมากกว่า 400 เมืองทั่วประเทศจีน โดยมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่เมืองปักกิ่ง โดยให้บริการคล้ายๆกับ GRAB ปัจจุบันมีพนักงานอยู่ถึงประมาณ 9,000 คนซึ่ง 40% เป็นสตรี บริษัทนี้เกิดจากการควบรวมกิจการของบริษัท Didi Dache กับบริษัท Kuaidi Dache ซึ่งต่างก็เป็นให้ผู้บริการในการแอพเรียกรถที่เป็นเจ้าตลาดอยู่ในประเทศจีน และได้รับการสนับสนุนร่วมลงทุนจากบริษัทยักษ์ใหญ่ทางอินเตอร์เน็ตของจีน คือบริษัท TENCENT และ ALIBABA ตามลำดับ หลังจากที่ UBER ได้เข้ามาแข่งขันในตลาดประเทศจีน ทำให้ 2 บริษัทนี้ตกลงที่จะควบรวมกิจการกัน เพื่อจะสู้รบปรบมือกับ UBER ซึ่งตอนนั้นบริษัทที่เกิดจากการควบรวมนี้ได้รับการสนับสนุนทางด้านการลงทุนจาก Tencent Alibaba และ Baidu ต่อมาเดือนธันวาคมเมื่อปี 2560 บริษัท Didi Chuxing ได้มีการระดมทุนอีกรอบทำให้การเป็นบริษัท startup ที่มีมูลค่ามากที่สุดบริษัทหนึ่งของโลก คือมีมูลค่าถึง 56,000 ล้านเหรียญสหรัฐอเมริกา(1.792 ล้านล้านบาท)  ซึ่งการระดมทุนครั้งนั้นได้รับการสนับสนุนจากนักลงทุนทั่วโลกมากกว่า 100 ราย

                     เหตุการณ์ป่าเถื่อนที่วินมอเตอร์ไซค์บุกล้อมบริษัท GRAB เมื่อเร็วๆนี้ได้ถูกเผยแพร่ไปทั่วโลก แล้ว Start Up ดีๆที่ไหนอยากจะเข้ามาลงทุนในประเทศไทย  ผมเข้าใจว่าธุรกิจ GRAB ที่ให้บริการอยู่นี้ ยังนับว่าไม่ถูกต้องตามกฎหมายของไทย ซึ่งเป็นกฎหมายที่เขียนไว้มานานแล้ว ผมเห็นว่าทั้งรัฐเองและฝ่าย GRAB เองควรจะต้องปรึกษาหารือกัน เพื่อที่จะทำให้ธุรกิจนี้เป็นธุรกิจที่ถูกกฎหมาย  โดยจุดอ่อนของ GRAB ก็คือการที่รถที่มาให้บริการ ไม่ได้จดทะเบียนเป็นรถสาธารณะ และผู้ขับขี่รถดังกล่าวก็ไม่ได้สอบใบขับขี่สาธารณะ  ซึ่งถูกนำมาใช้เป็นข้ออ้างว่าเป็นการให้บริการที่ผิดกฎหมาย ทั้งจากฝ่ายวินมอเตอร์ไซค์ รถแท็กซี่ และฝ่ายรัฐเอง  ทาง GRAB ควรจะเป็นฝ่ายสนับสนุนค่าใช้จ่ายต่างๆในการจดทะเบียนรถที่นำมาใช้ให้บริการในระบบของตน เป็นรถสาธารณะ และให้ผู้ขับขี่รถดังกล่าวไปสอบใบขับขี่สาธารณะให้เรียบร้อย และยิ่งดีถ้าจะให้อินเซนทีฟกับเจ้าของรถดังกล่าว ฝ่ายรัฐเองก็จะต้องอำนวยความสะดวกให้เจ้าของรถ ที่นำรถดังกล่าวมาจดทะเบียนเป็นรถสาธารณะ และผู้ขับขี่ที่มาสอบใบขับขี่สาธารณะเป็นการเร่งด่วน โดยรัฐอาจจะขีดเส้นตายว่าจะต้องมาดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในเวลา 3 หรือ 4 เดือน ช่วงนี้ก็อาจจะอนุโลม GRAB ให้บริการกับประชาชนไปก่อน

                  รัฐอย่าปล่อยให้คนไทยต้องทนกับการเรียกแท็กซี่แล้วแท็กซี่ไม่ยอมไป หรือโดนโขกราคาจากวินมอเตอร์ไซค์ ซึ่งกลุ่มคนเหล่านี้ไม่เคยเสียภาษีเงินได้ให้กับรัฐเลย  ในขณะที่เอาเปรียบสังคมโดยการจอดรถไว้ข้างถนน ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้รถติด  ในขณะที่ผู้ขับขี่ในระบบของ GRAB เมื่อได้รับรายได้จาก GRAB ก็จะต้องถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย แล้วยังต้องมีหน้าที่นำรายได้ดังกล่าวไปรวมกับรายได้อื่นๆที่เป็นรายได้หลัก ในการยื่นเสียภาษีเงินได้บุคคลประจำปี  ผมจะรอดูว่าเราจะเป็น Thailand 4.0 หรือ Thailand 0.4 กันครับ


กิติชัย เตชะงามเลิศ




    22/6/61



          ถ้าท่านชอบบทความผม ท่านสามารถสมัครสมาชิกโดยเอาเม้าส์ไปทางด้านขวามือจะมีแถบแสดงออกมา แล้วเลือกคลิกไอคอนที่เขียนว่าสมัครรับข้อมูล เมื่อผมมีบทความใหม่ ท่านก็จะทราบทันที

ถ้าท่านชอบบทความผม ท่านสามารถสมัครสมาชิกโดยกรอกอีเมลของท่าน ในช่องใต้ Follow by Email ทางด้านขวามือ เมื่อมีบทความใหม่ๆ ก็จะมีการส่งอีเมลแจ้งเตือนให้ท่านทราบ เพื่อจะได้ไม่พลาดบทความดีๆกันนะครับ



ติดตามสาระดีๆทั้งไลฟ์สไตล์และการลงทุนได้ที่


      หรือ 1.หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ทุกวันพุธหน้า B6 ในคอลัมน์ "เขียนอย่างที่คิด"   
              2.วารสารเภตรา ของสมาคมศิษย์เก่าคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี และ จุลสารเตชะสาร ของสมาคมเตชะสัมพันธ์ ทุกไตรมาส


ไฮด์ สุขุมวิท 11(Hyde Sukhumvit 11) ขายและให้เช่า ห้องมุม 2 นอน 2 น้ำ วิวสวน



ห้องที่จะขายพร้อมผู้เช่า

        อาคาร A พื้นที่ 58.54 ตรม. 2 นอน 2 น้ำ เป็นห้องมุม เฟอร์นิเจอร์และเครื่องใช้ไฟฟ้าครบครัน ตกแต่งสวยมาก มี ผ้าม่าน 2 ชั้น เตาไฟฟ้า เครื่องดูดควัน แอร์ ตู้เย็น เครื่องซักผ้าฝาหน้า Digital TV 49 & 32 นิ้ว เครื่องทำน้ำอุ่น และ Microwave วิวสวน ไม่ใกล้ลิฟต์ ไม่ใกล้ห้องขยะ ไม่โดนบล็อกวิว ราคา 10,200,000 บาท ขายพร้อมผู้เช่า ค่าเช่า 50,000 บาท/เดือน สัญญาเช่าสิ้นสุด 13/7/62 ผลตอบแทนจากการเช่า 6% ดู VDO ได้ที่ https://youtu.be/A3bkkoVM9rw

สามารถดาวน์โหลดรูปภาพและวีดีโอทั้งหมดของ ไฮด์ สุขุมวิท 11(Hyde Sukhumvit 11) ได้ที่ https://www.dropbox.com/sh/0uyl1ucec4y08tz/AADSOhQxZUHS8KEPAaZ9EvFQa?dl=0



Hyde Sukhumvit 11, 2B 2B, corner unit, garden view, for sales & rent.




Sell with tenant:

        Tower A, 58.54 sqm., 2B 2B, corner unit, garden view, fully furnished, with well decoration, 2 layerscurtain, 49 & 32 inches TV, washing machine, 14.9 Q refrigerator, water heater and microwave, sell with tenant, the rental fee = 50,000 Baht/month, yield = 6%, contract terminated 13/7/2019, only 10.20 million Baht.

Watch Hyde Sukhumvit 11s VDO at https://youtu.be/A3bkkoVM9rw

U can download all of Hyde Sukhumvit 11s photo & VDO from https://www.dropbox.com/sh/0uyl1ucec4y08tz/AADSOhQxZUHS8KEPAaZ9EvFQa?dl=0

11 ข้อของนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จ


                             11 ข้อของนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จ


              การจะเป็นนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จ ไม่ว่าจะลงทุนในสินทรัพย์ประเภทใดก็ตาม ควรจะต้องศึกษาให้เข้าใจในธรรมชาติรวมทั้งคอยติดตามข่าวสารที่เกี่ยวข้องกับสินทรัพย์นั้นๆ  อย่างเช่นถ้าท่านจะลงทุนในหุ้น สิ่งหนึ่งที่นักลงทุนที่ลงทุนในตลาดหลักทรัพย์พึ่งกระทำก็คือ    
        
1. ติดตามข่าวสารที่มีผลกระทบกับอุตสาหกรรมของบริษัทที่ลงทุน อย่างเช่นถ้าคุณลงทุนในกลุ่มสื่อสารโทรคมนาคม  คุณก็ต้องติดตามข่าวคราวต่างๆที่เกี่ยวกับอุตสาหกรรมนี้ เช่น การประมูลสัมปทานที่เกี่ยวข้องกับการสื่อสาร กฎกติกาของรัฐที่จัดส่งผลกระทบกับอุตสาหกรรม แนวโน้มอุตสาหกรรม ฯลฯ

2.  อ่านรายงานประจำปีรวมทั้งรายงาน 56-1 ที่บริษัทจดทะเบียนจะต้องส่งให้กับตลาดทรัพย์ในช่วงต้นปี ซึ่งจะทำให้ท่านได้ทราบเกี่ยวกับความเป็นไปของธุรกิจในรอบปีที่ผ่านมา รวมทั้งโครงการต่างๆที่ธุรกิจนั้นจะดำเนินการ และผมแนะนำว่าท่านควรจะอ่านรายงานทั้ง 2 ประเภทของบริษัทคู่แข่งที่อยู่ในอุตสาหกรรมเดียวกันด้วย ทำให้คุณสามารถที่จะรับรู้ว่าธุรกิจของคู่แข่งของบริษัทที่คุณลงทุนในรอบปีที่ผ่านมาเป็นอย่างไ รรวมทั้งโครงการต่างๆที่อาจจะเกิดขึ้น แน่นอนย่อมส่งผลกระทบกับบริษัทที่คุณลงทุนอยู่แล้ว รวมทั้งอาจจะส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมได้อีกด้วย

3. ติดตามข่าวคราวของบริษัทและคู่แข่งจากเว็บไซต์ของตลาดหลักทรัพย์ แล้วนำมาวิเคราะห์ว่าจะส่งผลกระทบต่อรายได้และกำไรของบริษัทอย่างไร

กรุงเทพในอุดมคติของใครหลายๆคน


                             กรุงเทพในอุดมคติของใครหลายๆคน


           ในช่วง 10 กว่าปีที่ผ่านมา ผมมักจะเดินทางไปท่องเที่ยวในต่างประเทศปีละ 2 ครั้งๆละประมาณร่วมเดือน ล่าสุดเมื่อปีที่แล้วผมไปเที่ยวประเทศไต้หวันและสหราชอาณาจักร ส่วนเมื่อเดือนที่แล้วผมไปเที่ยวประเทศสวิตเซอร์แลนด์และสิงคโปร์ และทริปต่อไปของผมคือประเทศอินเดีย ซึ่งจะเดินทางในช่วงเดือนตุลาคมปีนี้ ทำให้ผมอดไม่ได้ที่จะภาวนาว่า สักวันหนึ่ง กรุงเทพมหานครอมรรัตนโกสินทร์ จะเป็นเมืองที่น่าอยู่เหมือนกับหลายๆเมืองที่ผมได้ไปเที่ยวมา  ผมสังเกตว่าประเทศที่เจริญแล้วส่วนใหญ่จะให้ความสำคัญกับพิพิธภัณฑ์ โดยจะมีพิพิธภัณฑ์อยู่ค่อนข้างมาก และสิ่งของที่จัดแสดงโชว์ในพิพิธภัณฑ์ รวมทั้งวิธีการจัดแสดง ทำให้ผู้มาเยือนมีความรู้สึกประทับใจและอยากจะแวะกลับมาอีกครั้ง 

           อย่างเช่นพิพิธภัณฑ์ในประเทศฝรั่งเศสซึ่งจะมีงานศิลปะอยู่มากมายและทุกครั้งที่ผมดีเยือนพิพิธภัณฑ์เหล่านี้ก็จะเห็นคุณครูพานักเรียนมาเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์อยู่ทุกครั้งและทุกแห่งซึ่งเป็นการปลูกฝังความรู้และความชอบทางด้านศิลปะให้กับเด็กนักเรียนเหล่านี้จึงไม่แปลกใจว่า ทำไมประเทศฝรั่งเศสจึงเป็นประเทศที่เป็นศูนย์รวมของแฟชั่น สินค้าแบรนด์เนมต่างๆที่เป็นที่รู้จักกันทั่วโลก หลายยี่ห้อเป็นสินค้าที่มาจากประเทศฝรั่งเศส





           ล่าสุดประเทศสิงคโปร์เองก็ได้นำอาคารเก่ามาดัดแปลงเป็นพิพิธภัณฑ์ และนำผลงานศิลปะจากทั่วโลกมาจัดแสดงไว้ในพิพิธภัณฑ์เหล่านี้ รวมทั้งได้ร่วมมือกับพิพิธภัณฑ์สถานทั่วโลก เพื่อที่จะมีการแลกเปลี่ยนหรือขอยืมผลงานศิลปะต่างๆมาจัดแสดง ผมคิดว่ารัฐบาลควรจะจัดงบส่วนหนึ่งให้กับกระทรวงวัฒนธรรมเพื่อมาปรับปรุงพิพิธภัณฑ์ให้ดูน่ามาเที่ยวมากขึ้น เพื่อที่คนไทยแทนที่จะไปเดินห้างในวันหยุด ก็มาใช้เวลาในพิพิธภัณฑ์ ผมเห็นคุณคุณพ่อคุณแม่พาลูกๆมาเดินเที่ยวในพิพิธภัณฑ์เกือบทุกครั้งที่ผมไปเดินพิพิธภัณฑ์ในประเทศต่างๆ และผมก็เห็นคุณพ่อคุณแม่พยายามอธิบายให้ลูกๆฟังเกี่ยวกับสิ่งที่จัดแสดงในพิพิธภัณฑ์เหล่านั้น ซึ่งลูกๆก็ดูจะให้ความสนใจค่อนข้างมากเช่นกัน  นี่คงเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ประเทศเหล่านั้นเจริญกว่าประเทศของเรา

ทริปสิงคโปร์-สวิส ตอนจบ


                                                ทริปสิงคโปร์-สวิส ตอนจบ


          บทความที่แล้วผมพูดถึงประเทศสิงคโปร์ จากการที่ รัฐบาลสิงคโปร์ได้ส่งเสริมและพัฒนาเกี่ยวกับเรื่องการท่องเที่ยวแบบไม่หยุดยั้ง มีสร้างมีการสร้างจุดท่องเที่ยวใหม่อยู่เรื่อยๆ แม้กระทั่งสนามบินแห่งชาติของสิงคโปร์เอง ก็มีการปรับปรุงขยับขยายเพิ่มเติมสิ่งอำนวยความสะดวกภายในสนามบิน จน Concept ของสนามบินที่เราเข้าใจกันเริ่มจะเปลี่ยนไป กลายเป็นจุดท่องเที่ยวได้อีกแห่งหนึ่ง และการใช้เวลาในการผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองสั้นมาก เมื่อเทียบกับสนามบินแห่งชาติของเรา

         เสร็จจากการเดินทางไปสิงคโปร์ 4 วัน ผมได้เดินทางต่อเนื่องไปยังประเทศสวิตเซอร์แลนด์อีก 21 วัน ก่อนการเดินทางช่วงนั้นก็เป็นช่วงที่ผมมีธุระค่อนข้างยุ่งเหยิง ในแต่ละวันยังจะต้องเจียดเวลา มานั่งทำโปรแกรมการท่องเที่ยวของสิงคโปร์และสวิส โชคดีที่ได้น้องสาวมาช่วยทำแผนการเดินทางให้ อย่างไรก็ตาม 1 เดือนก่อนการเดินทาง คืนที่นอนเร็วที่สุดก็คือตี 2-3 ส่วนตอนเช้าก็ต้องตื่นประมาณ 7-8 โมงเช้า เฉลี่ยได้นอนคืนละประมาณ 5 ชั่วโมงเท่านั้น และไม่ได้ออกกำลังกายเลย ผมรู้สึกตัวเองได้เลยว่าสุขภาพช่วงนั้นค่อนข้างแย่

         ในระหว่างการท่องเที่ยวในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ผมได้เรื่มหวนคิดถึงสุขภาพของตัวเอง จึงตั้งใจว่าหลังจากกลับจากการเดินทางท่องเที่ยวครั้งนี้ จะเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมและการใช้ชีวิตของตัวเองใหม่ โดยจะใส่การออกกำลังกายการฝึกโยคะเข้าไปไว้ในตารางชีวิตประจําวัน และจะนอนก่อน 5 ทุ่มรวมทั้งจะลด ละ เลิก ทานอาหารขยะอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยตั้งใจว่าจะต้องออกกำลังกายไม่ต่ำกว่าวันละ 1 ชั่วโมง และสัปดาห์ละ 5 วันเป็นอย่างน้อย โดยจะมีการออกกำลังกายแบบ aerobic และ anaerobic  และเนื่องจากพาหนะหลักในการเดินทางของผมก็คือ ขนส่งมวลชนไม่ว่าจะเป็น BTS MRT หรือมอเตอร์ไซค์รับจ้าง ผมได้ตั้งใจแล้วว่า ถ้าวันไหนไม่รีบเร่งและอากาศไม่ร้อนจนเกินไป ในระยะทางที่ไม่เกิน 2 กิโลเมตร ผมจะใช้วิธีเดินแทนที่จะใช้บริการขนส่งมวลชน  เพราะว่าช่วงที่ผมท่องเที่ยวอยู่ในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ผมเดินเฉลี่ยวันละประมาณ 15 ถึง 20 กิโลเมตร ทำให้หลังจากกลับมาน้ำหนักตัวผมลดลงไปได้ถึง 3 กิโลกรัม  ทำให้กางเกงหลายตัวที่เคยใส่ไม่ได้ กลับมาใส่ได้เหมือนเดิม 

           สิ่งสำคัญที่สุดของคนเราก็คือสุขภาพ เพราะว่าถ้าเป็นคนขี้โรค หรือมีโรคภัยไข้เจ็บที่รักษาหายยาก หรือรักษาไม่ได้ หรือต้องใช้การรักษาต่อเนื่องเป็นระยะเวลาหลายปี ค่าใช้จ่ายในการรักษาปัจจุบันนี้แพงมาก และอนาคตก็จะยิ่งสูงขึ้นไปอีก ค่ารักษาพยาบาลจะเป็นการจะเป็นตัวบั่นทอนความมั่งคั่งของผมในอนาคตเป็นอย่างมาก ถ้าสุขภาพผมไม่ดี ถึงแม้ว่าตัวผมเองจะถือหุ้นกลุ่มโรงพยาบาลไว้ในสัดส่วนที่มากที่สุดเมื่อเทียบกับกลุ่มอุตสาหกรรมอื่นก็ตาม แต่คำว่า "อโรคยา ปรมาลาภา" ก็เป็นคำสอนที่เป็นอมตะนิรันดร์กาล





ทริปสิงคโปร์-สวิส ตอนที่ 1


                                        ทริปสิงคโปร์สวิส ตอนที่ 1

            


             ผมไม่ได้ไปสิงคโปร์มาเกือบ 6 ปี การไปคราวนี้ก็ยังคงเห็นความแตกต่างเมื่อเทียบกับคราวที่แล้ว  เริ่มต้นจากสนามบินชางฮี ซึ่งตกแต่งประดับประดาไว้อย่างสวยงามมาก ทำให้ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมสนามบินแห่งนี้ ถึงได้ติดอันดับ 1 ของโลกจาก website Skytrax ติดต่อกันมา 5 ปีแล้ว  โดยตั้งแต่ปี 2557 สนามบินชางงีได้มีโครงการปรับปรุงและพัฒนาอย่างต่อเนื่องโดยใช้งบประมาณ 1.7 พันล้านเหรียญสหรัฐอเมริกา บนพื้นที่คอมเพล็ก 1.4 ล้านตารางฟุต เพื่อสร้างบรรยากาศให้เป็นสวนป่า ที่มีต้นไม้มากถึง 2,500 ต้น ซึ่งยังไม่นับรวมพุ่มไม้จากพันธุ์ไม้นานาชนิด  และน้ำตกที่สูงถึง 40 เมตรและจะกลายเป็นอินดอร์วอเตอร์ฟอลล์ที่สูงที่สุดในโลก นอกจากนี้ยังจะสร้างทางเดิน Sky Net ที่มีความยาว 50 เมตร และมีความสูงจากพื้นดินถึง 25 เมตร เพื่อให้สามารถมองเห็นวิวจากด้านบน ซึ่งโครงการเหล่านี้จะเสร็จสมบูรณ์ภายในปี 2562 อะไรมันจะขนาดนั้น ราวกับว่าจะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวอีกแห่งหนึ่งของสิงคโปร์เลยทีเดียว กะว่าจะดึงผู้โดยสารที่ต้องต่อเครื่องไปยังเมืองอื่นหรือประเทศอื่นมาทรานสิทที่สิงคโปร์แทน 

             เมื่อดูพิพิธภัณฑ์ของสิงคโปร์แล้วหันกลับมาดูพิพิธภัณฑ์ของประเทศเราแล้วรู้สึกระเหี่ยใจจริงๆ  จริงๆแล้วสิงคโปร์เป็นเพียงเกาะเล็กๆ ที่แทบจะไม่มี resource ทางธรรมชาติทางด้านการท่องเที่ยวเลย แต่เขาก็สามารถสร้างสถานที่ท่องเที่ยวขึ้นมา และดึงดูดผู้คนทั่วโลกให้มาเยือนประเทศของเขาได้อย่างประสบความสำเร็จมาก  อย่างเช่น Gardens by the Bay โดยเฉพาะ Flower Dome ในช่วงที่ผมไปเป็นเทศกาลซากุระ เขานำต้นซากุระหลายสิบต้นเข้ามาปลูกไว้ในโดมแห่งนี้ ดูไปแล้วอดอิจฉาคนสิงคโปร์เสียมิได้ นี่ถ้าประเทศไทยเราไม่มีทรัพยากรการท่องเที่ยวทางธรรมชาติและวัฒนธรรม ถามจริงๆเถอะเราจะเอาอะไรไปสู้กับเขา  ไม่ว่าจะเป็นคุณภาพของคนหรือรัฐบาลเราล้วนแต่ด้อยกว่าเขา และช่วง 10 ปีที่ผ่านมาก็มัวแต่ทะเลาะกันเอง จนประเทศไทยจะกลายเป็นคนป่วยแห่งอาเซียนไปเสียแล้ว





วันพุธที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2561

คอนโดซื้อดีกว่าเช่าจริงหรือ?


                                            คอนโดซื้อดีกว่าเช่าจริงหรือ?


          คำถามที่คนส่วนใหญ่มักจะถามผมอยู่บ่อยๆก็คือว่า

1.ควรจะซื้อคอนโดแถวไหนดี?
2.ควรจะซื้อหรือเช่าคอนโดอยู่ อย่างไหนจะดีกว่ากันอย่างไร?

         สำหรับคำถามแรก ผมมักจะแนะนำกลับไปว่า สำหรับ คนโสด ควรจะหาคอนโดที่ใกล้ที่ทำงานเป็นหลักยิ่งถ้าอยู่ในรัศมีไม่เกิน 1 กิโลเมตรจากที่ทำงานก็จะดีเป็นอย่างยิ่ง เพราะจะสามารถเดินจากคอนโดไปที่ทำงานได้ และถ้าโชคดีหน่อย ที่ทำงานของคุณอยู่ใกล้กับสถานีรถไฟฟ้า และคุณมีงบประมาณเพียงพอที่จะซื้อหรือเช่าคอนโดในบริเวณนั้น คุณน่าจะเป็นคนที่ถูกคนกรุงเทพส่วนใหญ่อิจฉานะครับ  เพราะคนกรุงเทพส่วนใหญ่จะใช้เวลาเฉลี่ยในการเดินทาง ไปกลับระหว่างบ้านและที่ทำงานเป็นเวลาเฉลี่ย 2 ชั่วโมงครึ่งต่อวัน  1 เดือนมีประมาณ 22 วันทำการ เท่ากับว่าคุณมีเวลามากกว่าคนกรุงเทพส่วนใหญ่ถึง 55 ชั่วโมงต่อเดือน ถ้าตีเสียว่าชั่วโมงทำงานต่อวันเท่ากับ 8 ชั่วโมง เท่ากับว่าคุณมีเวลาทำงานมากกว่าคนอื่นถึง 7 วันต่อเดือนเลยทีเดียว อย่าลืมนะครับว่าเวลาเป็นสิ่งสำคัญมากอย่างหนึ่ง มีเงินแค่ไหนก็ซื้อเวลาไม่ได้ และคุณยังสามารถใช้เวลาที่คุณประหยัดได้ ไปทำงานอดิเรกที่จะสร้างรายได้ให้กับคุณเพิ่มขึ้นอีกทางหนึ่ง

        อย่างเช่นตัวผมเอง ผมใช้ที่พักอาศัยเป็นที่ทำงานไปในตัว คอนโดของผมเป็นแบบ 2 ห้องนอน ผมได้ดัดแปลงห้องนอนใหญ่เป็นห้องทำงาน แล้วใช้ห้องนอนเล็กเป็นห้องนอน เพราะผมคิดว่าใน 24 ชั่วโมง ผมใช้เวลาในห้องทำงานประมาณ 12 ชั่วโมง ในขณะที่ผมใช้เวลาในห้องนอนเพียง 8 ชั่วโมงเท่านั้น ผมจึงใช้เวลาเดินทางจากที่พักไปที่ทำงานเพียงแค่ 5 วินาที ทำให้ผมมีชั่วโมงการทำงานมากกว่าคนอื่นๆ ยิ่งถ้าค่าตัวต่อชั่วโมงในการทำงานไซด์ไลน์ของคุณยิ่งสูง เวลาที่คุณประหยัดได้จะมีค่ามากขึ้นเป็นเงาตามตัว

ลงทุนคอนโด ด้วยเงินเพียง 10 %


                                       ลงทุนคอนโด ด้วยเงินเพียง 10 %


         จากการที่อัตราดอกเบี้ยทั่วโลกและในประเทศไทยต่ำเตี้ยติดดิน ทำให้ผู้มีเงินออมหลายท่าน ต้องพยายามหาช่องทางเพื่อสร้างผลตอบแทนจากเงินออมที่มีอยู่ หรือที่คนส่วนใหญ่ชอบพูดว่า "ให้เงินทำงาน"  จะเห็นได้ว่าผู้มีเงินออมได้จัดสรรเงินบางส่วน นอกเหนือจากฝากเงินไว้กับธนาคารนำมาลงทุนในตลาดหุ้น หรือซื้อคอนโดเพื่อเก็งกำไรหรือเพื่อปล่อยเช่า ส่วนบางท่านที่ไม่ค่อยกล้าเสี่ยงที่จะลงทุนด้วยตัวเอง หรืออาจจะมีความรู้ในการลงทุนไม่มากพอ ก็จะซื้อกองทุนหุ้น กองทุนอสังหาริมทรัพย์ กองทุนที่ลงทุนในสาธารณูปโภคต่างๆ กองทุนทองคำ กองทุนสินค้าโภคภัณฑ์ เป็นต้น ซึ่งปัจจุบันนี้มีให้เลือกอยู่มากมาย ล้วนแล้วแต่บริหารโดย ผู้บริหารกองทุนมืออาชีพของบลจ.ต่างๆ

         บทความนี้เราจะเน้นเรื่องการซื้อคอนโด  โดยปกติบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่สร้างคอนโดขาย ส่วนมากจะเรียกเก็บเงินจองบวกเงินทำสัญญาและเงินผ่อนค่างวดรวมแล้วประมาณ 10 ถึง 20 เปอร์เซ็นต์ของราคาคอนโดที่ขาย ส่วนยอดเงินที่เหลือ 80 ถึง 90 เปอร์เซ็นต์ของราคาคอนโดจะจ่ายเมื่อตอนคอนโดสร้างเสร็จ ถ้าเป็นคอนโดแนวราบ ซึ่งปกติจะมีความสูงประมาณ 8 ชั้น จะใช้เวลาก่อสร้างประมาณ 1 ปีเศษๆ ในขณะที่คอนโดแนวสูงอาจจะต้องใช้เวลาก่อสร้างนานถึง 2 ถึง 4 ปี  แล้วแต่ความสูงของคอนโดนั้นๆ  เมื่อถึงเวลาโอนผู้ซื้อที่มีเงินสดไม่เพียงพอ หรือมีเพียงพอ แต่อยากใช้สินเชื่อบ้านจากสถาบันการเงิน  ซึ่งมีอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำมาก ในปัจจุบันนี้ มีการแข่งขันกันถึงขนาดว่าอัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปีแรก อยู่ที่ต่ำกว่า 3 เปอร์เซ็นต์เสียด้วยซ้ำ อัตราดอกเบี้ยสินเชื่อบ้านของสถาบันการเงินต่างๆ ก็อยู่ในอัตราที่ไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับชื่อเสียงของบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ และความสัมพันธ์ของบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์กับสถาบันการเงิน  จากประสบการณ์ตรงของผม ถึงแม้ว่าจะเป็นสถาบันการเงินแห่งเดียวกัน แต่ถ้ากู้ต่างโครงการกัน ในช่วงเวลาเดียวกัน อัตราดอกเบี้ยก็ไม่จำเป็นจะต้องเท่ากันเสมอ  อย่างไรก็ตามอัตราดอกเบี้ยที่เสนอโดยสถาบันการเงิน ผู้กู้สามารถที่จะต่อรองกับสาบานกันเงินได้บ้างเล็กน้อย

        ยกตัวอย่างเช่น ท่านจองซื้อคอนโดราคา 4 ล้านบาท(คอนโดนี้มีเงื่อนไขในการจองซื้อว่า เป็นห้องที่มีเฟอร์นิเจอร์ครบครัน) จากบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์แห่งหนึ่ง โดยมีเงื่อนไขการชำระเงินค่าจอง ทำสัญญาและเงินผ่อนค่างวด รวมกันแล้วเท่ากับ 10% ของราคาคอนโด ซึ่งก็คือ 4 แสนบาท  ที่เหลือท่านก็ใช้สินเชื่อบ้านสถาบันการเงิน 3.60 ล้านบาท ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทย ที่กำหนด LTV (Loan to value) ไว้ที่ 90 เปอร์เซ็นต์สำหรับการซื้อคอนโด สมมุติว่าหลังจากโอนมาแล้ว  ท่านได้นำไปปล่อยเช่า โดยมีค่าเช่ารับเดือนละ 18,000 บาท  ในขณะที่อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ 3 ปีแรกอยู่ที่ 2.95 % ในขณะที่ดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 30 ปี = 4.50% เงินผ่อนค่างวดของคอนโดแห่งนี้จะอยู่ที่ประมาณ 18,000 บาทเช่นกัน นั่นหมายความว่า ในแต่ละเดือนผู้เช่าคอนโดของท่าน เป็นผู้ชำระเงินค่างวดที่จะต้องผ่อนให้กับทางสถาบันการเงินแทนท่าน

การประมูลซื้อทรัพย์สินจากการขายทอดตลาดของกรมบังคับคดี


                  การประมูลซื้อทรัพย์สินจากการขายทอดตลาดของกรมบังคับคดี


              การซื้ออสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุนหรือเอาไว้ใช้อยู่อาศัยเอง ในประเทศไทยราคาอสังหาริมทรัพย์เก่าจะถูกกว่าอสังหาริมทรัพย์ใหม่ค่อนข้างมาก ถึงแม้ว่าจะอยู่ในทำเลเดียวกันก็ตาม บางโครงการซึ่งอยู่ใกล้เคียงกันมาก แต่คอนโดเก่ามีราคาเพียงแค่ 30 เปอร์เซ็นต์ของคอนโดใหม่เท่านั้น อย่างเช่นคอนโดของผมที่ซอยสุขุมวิท 23 โดยทั้ง 2 โครงการมีที่ตั้งอยู่เยื้องกัน โครงการเก่าราคาตลาดอยู่ที่ตารางเมตรละ 70,000 บาท ในขณะที่โครงการใหม่ราคาตารางเมตรละ 210,000 บาท จึงเป็นโอกาสดีของคนที่คิดจะซื้ออสังหาเพื่อไว้อยู่อาศัยเอง ผมแนะนำว่าควรจะซื้ออสังหาเก่า แล้วนำมาปรับปรุงใหม่ โดยเมื่อคำนวณราคาของอสังหาเก่าบวกกับค่าตกแต่งใหม่แล้ว ราคารวมน่าจะอยู่ที่ประมาณ 40 เปอร์เซ็นต์ของราคาอสังหาใหม่  ทำให้คุณประหยัดงบประมาณไปได้ถึง 60 เปอร์เซ็นต์ของงบที่คุณจะซื้ออสังหาใหม่ แล้วนำเงินนั้นมาลงทุน ให้ได้ผลตอบแทนงอกเงยไม่ดีกว่าเหรอ   ส่วนหนึ่งเป็นเพราะคนไทยไม่ชอบของเก่า ส่วนใหญ่จะชอบของใหม่ และอีกเหตุผลหนึ่งก็คือ กลัวว่าบ้านหรือคอนโดยูนิตนั้น อาจจะเคยมีผู้เสียชีวิตภายในบ้านหรือคอนโดนั้นมาก่อน ซึ่งเป็นเรื่องตลกมากของชาวพุทธ ที่ศาสนาพุทธสอนว่าคนเรามี "เกิด แก่ เจ็บ ตาย" มีบ้านไหนที่ไม่เคยมีคนตายมาก่อน ถึงแม้ว่าตอนนี้ยังไม่มี แต่อนาคตก็ต้องมีแน่นอน

          ไม่ว่าจะซื้ออสังหาเอาไว้อยู่อาศัยหรือเพื่อการลงทุน ทำเลเป็นปัจจัยที่สำคัญอย่างยิ่ง การเดินทางต้องสะดวก  ถ้าอยู่อาศัยเองก็ควรจะเลือกหาอสังหาที่อยู่ใกล้กับที่ทำงานเป็นหลัก เพื่อจะได้ประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายในการเดินทาง  แต่ถ้าจะเลือกซื้อเพื่อการลงทุน คงจะต้องนำปัจจัยหลายอย่างมาคำนึง  ไม่ว่าจะเป็นราคาที่จะขึ้นไปได้อีกในอนาคต ถ้าจะซื้อตึกแถว ก็ต้องดูว่าทำเลของตึกแถวนั้นทำการค้าได้หรือไม่ ถ้าทำการค้าขายได้ จะขายได้ราคาสูงกว่าปกติ ตึกบางแห่งขนาดพื้นที่เล็กนิดเดียวแต่ขาย 15 ล้าน ขณะที่ตึกละแวกเดียวกันอยู่ลึกเข้าไปแค่ 200 เมตร ราคาอาจเหลือแค่ 5-7 ล้าน เพราะค้าขายไม่ได้ อย่างไรก็ดี การลงทุนในตึกแถวที่มีทำเลการค้าอาจมีความเสี่ยงตรงที่ว่า ถ้าทำเลการค้าเปลี่ยน เช่น ย้ายป้ายรถเมล์ หรือเส้นทางเดินรถเปลี่ยน หรือมีทางยกระดับผ่านหน้าตึก ฯลฯ จะทำให้ราคาตึกแถวเพิ่มขึ้นหรือลดลงได้เช่นกัน หรือถ้าจะซื้อไว้ปล่อยเช่า ก็คงจะต้องดูว่าผลตอบแทนจากการเช่าเป็นเท่าไหร่

ประโยชน์และโทษของการแข็งค่าของเงินบาท


ประโยชน์และโทษของการแข็งค่าของเงินบาท


          ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เราได้เห็นนักธุรกิจไทยเข้าไปลงทุนหรือซื้อหุ้นในต่างประเทศกันอย่างคึกคักมากไม่ว่าจะเป็น คุณเจริญ สิริวัฒนภักดี  ที่นำบริษัทในเครือ (TCC ASSET) เข้าไปซื้อหุ้น F&N (FRASER AND NEAVE) จนถือหุ้นถึง 90.32% F&N เป็นบริษัทสัญชาติสิงคโปร์ โดยเสนอซื้อในราคา 9.55 เหรียญสิงคโปร์ดอลล่าร์ (7.71 เหรียญสหรัฐ)/หุ้น F&N นอกจากจะมีธุรกิจเครื่องดื่มทั้ง ALCOHOL และ NON ALCOHOL แล้วยังมีธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และสิ่งพิมพ์ซึ่งมีมูลค่ารวม 13,750 ล้านเหรียญสิงคโปร์ (333,000 ล้านบาท) ซึ่งถือว่าเป็นดีลใหญ่ที่สุดในช่วงนั้น ของการเทคเวอร์ในสิงคโปร์เลยทีเดียว ซึ่งการเทคโอเวอร์ครั้งนั้น TCC ASSET ต้องแข่งขันกับคู่แข่งนานาชาติไม่ว่าจะเป็น OVERSEA UNION ENTERPRISE (OUE) บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์สัญชาติสิงคโปร์ โดยร่วมกับ KIRIN บริษัทเบียร์จากญี่ปุ่น โดยถ้าประมูลชนะได้ทาง OUE จะเอาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ขณะที่ KIRIN จะได้ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มไป แต่ในที่สุด TCC ASSET ของเจ้าสัวเจริญเป็นผู้เสนอราคาสูงสุด และได้ F&N ไปครอง โดยมีการขึ้นราคารับซื้อแข่งกันอยู่หลายครั้ง  ซึ่งต่อมาก็ได้นำมาต่อยอดกับธุรกิจในเครือ ซึ่งมีทั้งอาหารและเครื่องดื่ม ธุรกิจโรงงานขวดแก้ว ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในเครือได้เป็นอย่างดี

          กลุ่มเจริญโภคภัณฑ์ (CP) นำโดยเจ้าสัวธนินท์ เจียรวนนท์ เข้าซื้อหุ้นของบริษัทผิงอัน ประกันภัย 15.60% จาก HSBC ในดีลมูลค่าถึง 9,400 ล้านเหรียญสหรัฐ (282,000 ล้านบาท) ที่ราคา 59 ดอลลาร์ฮ่องกง/หุ้น (255 บาท/หุ้น) โดยทางกลุ่ม CP ใช้เงินสดและเงินกู้จาก CHINA DEVELOPMENT BANK

          กลุ่มเซ็นทรัล เข้าซื้อกิจการห้างสรรพสินค้าเก่าแก่ 150 ปี ของอิตาลี LA RINASCENTE ด้วยมูลค่า 260 ล้านยูโร (10,000 ล้านบาท)  และต่อมาก็ได้ไปเทคโอเวอร์ห้างสรรพสินค้า ILLUM ประเทศเดนมาร์คซึ่งมีอายุนานกว่า 12 ปี ซึ่งอยู่ในกลางกรุงโคเปนเฮเกน ด้วยขนาดพื้นที่ 20,000 ตรม. โดยซื้อผ่านทางห้าง LA RINASCENTE

          กลุ่ม MINT เข้าซื้อ OAKS HOTELS&RESORTS (OAKS) เป็น HOTEL CHAIN ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ประเทศออสเตรเลียโดยผ่านทางบริษัทย่อย DELICIOUS FOOD HOLDING ที่จดทะเบียนในสิงคโปร์เมื่อปี 2554

          นอกจากกลุ่มดังกล่าวแล้วยังมีอีกหลายธุรกิจที่เข้าไปเทคโอเวอร์ กิจการในต่างประเทศหรือซื้อหุ้นบางส่วน เช่น IVL เข้าซื้อธุรกิจบรรจุภัณฑ์ในประเทศไนจีเรีย ทวีปแอฟริกา เป็นต้น

ฤดูผลประกอบการที่นักลงทุนรอคอย


ฤดูผลประกอบการที่นักลงทุนรอคอย


          ปกติบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ (SET) และตลาด MAI จะต้องส่งงบการเงินให้ตลาดปีละ 4 ครั้ง โดย 3 ไตรมาสแรกจะต้องส่งหลังจากปิดงบ ณ สิ้นไตรมาสภายใน 45 วัน ยกเว้นไตรมาสสุดท้าย ซึ่งบริษัทจดทะเบียนส่วนใหญ่จะส่งเป็นงบปีโดยตลาดกำหนดให้ส่งภายในสิ้นเดือนกุมภาพันธ์ ถ้าบริษัทใดส่งไม่ทันตลาดก็จะขึ้นเครื่องหมาย NP เพื่อแจ้งนักลงทุนให้ทราบว่าตลาดกำลังรอบริษัทจดทะเบียนนั้นๆ ส่งงบการเงินมาให้ตลาดหลักทรัพย์ เพื่อจะเผยแพร่งบดังกล่าวให้นักลงทุนทราบ หลังจากนั้นก็จะมีเทศกาล  OPPORTUNITY DAY หรือเรียกกันสั้นๆ ว่า OPP DAY ซึ่งเป็นงานที่บริษัทจดทะเบียนมาพบกับนักลงทุน มาเล่าเรื่องราวของธุรกิจของตน ในไตรมาสที่ผ่านมาแก่นักลงทุน  รวมถึงชี้แจงงบการเงินผลประกอบการ และพูดถึงโครงการที่ทำอยู่ในปัจจุบัน และอนาคต ซึ่งจะจัดขึ้นที่ตลาดหลักทรัพย์  ความสนใจของนักลงทุนมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับความนิยมในบริษัทนั้นๆ ถ้าช่วงนั้นบริษัทจดทะเบียนรายใดมีมูลค่าการซื้อขาย/วัน คึกคัก ก็คาดเดาได้เลยว่า วันที่บริษัทนั้นมานำเสนอข้อมูลในเทศกาล OPPDAY จะมีคนเข้าฟังล้นหลาม

        ถ้าท่านนักลงทุนติดธุระไม่สามารถเข้าร่วมฟังผู้บริหารพูดด้วยเทคโนโลยีในปัจจุบัน ตลาดหลักทรัพย์ได้มีการถ่ายทอดทางอินเตอร์เน็ตในรูป WEBCAST ซึ่งสามารถจะดูสดๆ ได้เสมือนกับการเข้าฟังในห้องประชุมของตลาดเลยทีเดียว  หรือถ้าไม่สะดวกจะรับชมในช่วงขณะนั้น ตลาดหลักทรัพย์ก็ยังทำเป็นวีดีโอให้ชมกันภายหลังอีกด้วย ถือว่าสะดวกมากๆ ซึ่งผมเองก็ใช้วิธีชมทางอินเตอร์เน็ตในรูปแบบ WEBCAST และ VDO แล้วแต่ความสะดวกและถ้าชมสดๆ ในรูป WEBCAST ท่านยังสามารถส่งข้อความถามผู้บริหารได้ในทันที ส่วนคำถามของท่าน อาจจะได้รับการตอบหรือไม่ ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของผู้บริหารบริษัทนั้นๆ และเวลามีเพียงพอหรือไม่

         ผมขอชมเชยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยที่กรุณาจัดให้มีงาน OPP DAY พร้อมทั้งมีการถ่ายทอดสดและอัดเป็น VDO ให้นักลงทุนได้มีโอกาสติดตามและสอบถามข้อมูลจากผู้บริหาร เพื่อเป็นการพิจารณาที่จะตัดสินใจลงทุนในบริษัทจดทะเบียนเหล่านั้น ถ้าผมจำไม่ผิดงาน OPP DAY เริ่มมีครั้งแรกในสมัยทีท่านกิตติรัตน์ ณ ระนอง เป็นผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ และท่านก็เป็นผู้ก่อตั้งห้องสมุดมารวย (มารวย เป็นชื่อของผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยคนแรก ที่นักลงทุนสมัยนั้นชื่นชมผลงานและการเอาใจใส่ต่อนักลงทุนเป็นอย่างมาก) เป็นห้องสมุดที่มีหนังสือเกี่ยวกับการลงทุนทั้งไทยและเทศ ให้นักลงทุนเข้ามาใช้บริการ และถ้าเป็นสมาชิกก็สามารถยืมหนังสือกลับไปอ่านที่บ้านได้ด้วย