จาก1ล้านเป็น500ล้านผมทำอย่างไร

จาก1ล้านเป็น500ล้านผมทำอย่างไร
เล่าประสบการณ์การลงทุนของผมที่นำไปใช้ได้ง่ายๆ

วันพุธที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2557

ทำไมปลาใหญ่ชอบกินปลาเล็ก

ทำไมปลาใหญ่ชอบกินปลาเล็ก

          จากประสบการณ์การลงทุนของผมที่ต่อเนื่องมานานร่วม 20 ปี ผมสังเกตเห็นพฤติกรรมของ บริษัทขนาดกลางและใหญ่หลายรายที่นิยมการเข้าครอบครองบริษัทที่อยู่ในธุรกิจเดียวกันหรือธุรกิจที่ แตกต่างกันทั้งที่มีความต่อเนื่องของธุรกิจของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น Supplier หรือลูกค้าของตน หรือธุรกิจ ที่ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันเลยก็มี เพื่อเป็นที่เข้าใจได้ง่ายขึ้น ผมขอสรุปบริษัทเป็นเป้าหมายของการถูก ครอบครองไว้เป็นดังนี้ครับ
          1.บริษัทขนาดเล็กหรือขนาดกลางที่มีอัตราการเจริญเติบโต แต่อาจจะขาดหรือไม่ขาดสภาพ   คล่อง มีเงินทุนหมุนเวียนในกิจการจำกัด โดยเฉพาะบริษัทที่ขาดสภาพคล่อง ยิ่งเป็นที่น่าสนใจเพราะว่า อำนาจในการต่อรองของบริษัทที่จะเข้า Takeover (ปลาใหญ่) จะมีสูงกว่าบริษัทที่เป็นเป้าหมายการ   Takeover (ปลาเล็ก) หลังจากปลาใหญ่เติมสภาพคล่องให้ปลาเล็กหลังครอบครอง ธุรกิจก็วิ่งฉิวเลย
          2.บริษัทที่มีการเปลี่ยน Generation ของเจ้าของ แล้วรุ่นถัดไปไม่อยากจะสานต่อกิจการ แต่ยัง เป็นกิจการที่ดี
          3.บริษัทที่มี Logistics ที่ครอบคลุมทั้งประเทศ ยกตัวอย่างเช่น กลุ่มไทยเบฟที่ Takeover บริษัท   เสริมสุข (SSC) เพราะว่า SSC เป็นธุรกิจที่มีระบบการจัดจำหน่ายและขนส่งได้ครอบคลุมยี่ปั๊วและ ซาปั๊วทั้งประเทศได้เป็นอย่างดี
          4.บริษัทที่เป็นเจ้าของ Knowhow เด่นๆ หรือมีความรู้เฉพาะด้วยที่โดดเด่น อย่างเช่น คราวที่   MFEC ไปเทคบริษัทหลายๆ บริษัทในช่วงที่ไม่กี่ปีที่ผ่านมา ได้ตัวบุคลากรที่มีความสามารถมากมาย หรือ อย่างที่ Google ประกาศซื้อบริษัทสกายบ็อกซ์อิมเมจจิ้ง ซึ่งเป็นบริษัทที่สร้างดาวเทียม และศูนย์ข้อมูล ทางอวกาศที่มีจุดเด่นในเรื่องของการพัฒนาภาพและ VDO ที่ถ่ายจากดาวเทียม ซึ่งสามารถนำไปต่อยอด กับ Google map ได้ในอนาคต
          5.บริษัทที่มีร้านค้าครอบคลุมทั่วประเทศ อย่างเช่น เมื่อคราว MINT ไป Takeover The Coffee Club ของออสเตรเลียน่าจะมีจุดประสงค์จะนำมาแตกขยายสาขาในประเทศไทยและภายในกลุ่มประเทศ ASEAN เพื่อรองรับ AEC แต่ยังไม่ค่อยเห็นความคืบหน้าเรื่องจำนวนสาขาแม้กระทั่งในประเทศไทยเองก็ ตาม
          6.บริษัทที่มีสินทรัพย์บางอย่างซ่อนอยู่ไม่ว่าจะเป็น Tangible asset เช่นที่ดินผืนงามหรือ intangible asset เช่น ลิขสิทธิ์ เพลง ละคร ภาพยนตร์ ฯลฯ ที่ฮิตติดตลาดหรือเป็น All time collection ซึ่งเมื่อคำนวณมูลค่าแล้ว ราคาที่ซื้อกิจการนั้นๆ ได้ส่วนลดที่น่าสนใจ ถึงแม้จะซื้อกันที่ Price per book value (PBV) = 1 ก็ตาม แต่ถ้า Book value ยังไม่ได้รวมมูลค่าที่แท้จริงของทั้ง Tangible และหรือ Intangible asset ดังกล่าว
          7.บริษัทคู่แข่งที่กำลังอ่อนแอ เนื่องจากประสบปัญหาทางธุรกิจหรือการเงินอย่างรุนแรง เช่น ถูกตีกลับสินค้าที่มีปัญหาเป็นจำนวนมากหรือดำเนินธุรกิจผิดพลาดต่างๆ
ประโยขน์ที่ปลาใหญ่อาจได้รับในการกินปลาเล็กคือ

          1.กรณี Take over บริษัทคู่แข่ง คือทำให้กำจัดคู่แข่งทางการค้าลงไปเป็นการลดการแข่งขันรวมทั้งได้ฐานลูกค้าและการตลาดของปลาเล็กติดมาด้วยทันที อย่างเช่นกรณี BIGC takeover CARREFOUR


          2.กรณี Take over ปลาเล็กที่เป็น Supplier หรือบริษัทที่เป็นลูกค้าทำให้ ปลาใหญ่มีธุรกิจที่ครบวงจรมากขึ้น ทำให้การวางแผนธุรกิจได้สมบูรณ์แบบมากขึ้น ทำให้เพิ่มลูกเล่นทางการตลาดได้อย่างเต็มที่
          3.กรณี Take over ปลาเล็กที่มี Asset ที่ดีๆ อาจนำไปพัฒนาต่อยอดเพิ่มขึ้น อย่างเช่น นำที่ดินผืนงามไปพัฒนาโครงการต่างๆ หรือนำลิขสิทธิ์ต่างๆ ไปขยายช่องทางธุรกิจหรือ Converge กับผลิตภัณฑ์หรือบริการเดิมของปลาใหญ่
          4.ได้ Knowhow ของปลาเล็ก เพื่อต่อยอดธุรกิจของปลาใหญ่
          5.ส่วนใหญ่ P/E ของปลาใหญ่จะสูงกว่า P/E ของปลาเล็กค่อนข้างมาก การ Take over จะทำให้ Market value ของปลาใหญ่มากขึ้นมากกว่าเงินที่จ่ายไปเพื่อการ Take over เพราะว่าตัว E (EPS) ของปลาเล็กเมื่อมารวมกับของปลาใหญ่แล้วจะถูกคำนวณด้วย P/E ของปลาใหญ่ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัด คือ กลยุทธ Take over ของ BGH จึงไม่น่าแปลกใจว่าทำไมเราจึงเห็น Deal การ Take over อยู่บ่อยๆ แต่ข้อควรระวังของนักลงทุนรายย่อย คือควรตรวจสอบความเหมาะสมสของราคาในการ Take over ถ้าทั้งปลาใหญ่และปลาเล็กต่างก็เป็นบริษัทจดทะเบียน ราคาการ Take ไม่ควรแพงเกิน 20% ของราคาซื้อขายในตลาด ถ้าเกินกว่านั้น ควรจะสอบถามไปที่ปลาใหญ่ ว่าทำไมถึงยอมจ่ายเงินค่า Take over ไปในราคาสูง ปานนั้น


กิติชัย เตชะงามเลิศ
                                                                                          18/06/57


ติดตามแนวทางการลงทุนของผมได้ที่ 
Facebook : https://www.facebook.com/VI.Kitichai
Twitter : http://twitter.com/value_talk 
Youtube : http://www.youtube.com/user/wittayu9
Blog :  http://kitichai1.blogspot.com
Instagram : Gid_Kitichai

หรือหนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ทุกวันพุธหน้า B6 หรือหน้า B10 และนิตยสารคนรวยหุัน, Condo Guide,  Me(Market Evolution), และ Glow ทุกเดือน
     

สนใจซื้ออสังหาเพื่ออยู่เองหรือเพื่อการลงทุน ลองเข้า http://www.pantipmarket.com/mall/homeproperty

วันพฤหัสบดีที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2557

TIPS 10 ข้อ ในการเลือกซื้อคอนโดสำหรับการเก็งกำไรหรือปล่อยเช่า

TIPS 10 ข้อ ในการเลือกซื้อคอนโดสำหรับการเก็งกำไรหรือปล่อยเช่า
1.เนื่องจากประเทศไทยจะมีลมพัดมาจากทางทิศใต้ ประมาณ 8-9 เดือน (ฤดูร้อนและฤดูฝน)   และอีก 3-4 เดือน (ฤดูหนาว) จะพัดมาจากทางทิศเหนือ ดังนั้นห้องที่หันไปทางทิศใต้จะขายหรือปล่อยเช่าได้ง่ายที่สุด รองลงมาคือทิศเหนือ ทิศตะวันออก ตามลำดับ ในขณะที่ทิศตะวันตกเป็นทิศที่คนส่วนใหญ่ไม่ชอบ เพราะว่า ร้อนแดดบ่าย ความร้อนจะอมอยู่ในห้องจนถึงตอนเย็น แม้คุณกลับมาจากที่ทำงาน ห้องยังอุ่นๆอยู่เลย ทำให้แอร์ก็ต้องทำงานหนัก และค่าไฟฟ้าสูงกว่าปกติ
2.ห้องที่อยู่ใกล้ลิฟท์คนไม่ชอบ เพราะว่าจะพลุกพล่าน บางครั้งเวลาเปิดประตูห้อง คนที่ยืนรอ   ลิฟท์อาจจะมองเห็นภายในห้องของเรา และห้องที่อยู่ใกล้ห้องขยะ อาจจะได้กลิ่นเหม็นจากขยะ หรือห้อง    ที่ประตูเข้าห้องอยู่สุดปลายทางเดิน ฮวงจุ้ยจะไม่ดี  
3.โดยปกติห้องประเภทสตูดิโอและ1 ห้องนอน จะปล่อยเช่าได้ง่ายกว่า แบบอื่น เพราะว่า  ปัจจุบันสังคมไทยเป็นสังคมแบบครอบครัวเดี่ยว และจำนวนคนที่อาศัยอยู่เพียงคนเดียวหรือ 2 คน เป็น  สัดส่วนที่มากที่สุด เนื่องจากคนต่างจังหวัดที่เข้ามาทำงานในกรุงเทพ หรือแม้กระทั้งคนกรุงเทพที่บ้าน  อยู่ไกลที่ทำงานมากๆ ก็เลือกที่จะเช่าคอนโดหรือ Apartment อยู่เอง แต่บางทำเลห้องประเภท 2  ห้องนอน อาจจะมี Demand มากในขณะที่ Supply มีน้อย เนื่องจากปัจจุบันโครงการคอนโดใหม่ๆ ส่วน ใหญ่จะทำห้องประเภทสตูดิโอหรือ 1 ห้องนอนในสัดส่วนที่มากในขณะที่ห้องแบบ 2 ห้องนอน หรือ 3  ห้องนอนจะมีสัดส่วนที่น้อยมากๆ และ Apartment ส่วนใหญ่ มักจะทำสตูดิโอเกือบทั้งหมด
4.พยายามเลือกห้องที่วิวไม่โดนบล็อกจากตึกฝั่งตรงข้าม ซึ่งจะทำให้เสียความเป็นส่วนตัวและยังทำให้ลมไม่พัดเข้าห้อง ทำให้การถ่ายเทของอากาศไม่ดีเท่าที่ควร ต้องเปิดแอร์ทั้งวัน และทางที่ดีควรจะซื้อห้องที่สูงขึ้นไปกว่าตึกฝั่งตรงข้าม ประมาณ 3 ชั้นขึ้นไป เพื่อที่จะเลี่ยงวิวไม่ให้โดนบล็อกแล้ว ยังเลี่ยงวิวที่ไม่ดีจากหลังคาตึกฝั่งตรงข้ามอีกด้วย ยกเว้นแต่ตึกที่เราจะซื้อเป็นตึกเตี้ยประมาณ 8 ชั้น ซึ่งถูกล้อมรอบด้วยตึกสูง ถ้าเป็นเช่นนั้น เอาชั้น 3 ก็พอเพราะคอนโดยิ่งชั้นสูง ราคาต่อตารางเมตรจะยิ่งสูงตามไปด้วย ไหนๆ วิวก็โดนบล็อกเหมือนกัน ไม่จำเป็นต้องเอาชั้นสูง จะได้ประหยัดต้นทุน อีกอย่างค่าเช่าชั้น 3 กับชั้น 5 ก็พอๆ กันแต่ชั้น 5 เราต้องจ่ายแพงกว่า
5.ถ้าจะซื้อคอนโดใกล้สถานีรถไฟฟ้า ควรจะเลือกตึกที่มีรัศมีไม่เกิน 400 เมตรจากบันไดขึ้นลงรถไฟฟ้า เนื่องจากประเทศไทยเราเป็นเมืองร้อน เดินนิดหน่อยก็เหงื่อโทรมแล้ว ยิ่งสุภาพสตรีที่ใส่ส้นสูงด้วยแล้ว ถ้าเกิน 400 เมตร คนไทยส่วนใหญ่จะไม่เดิน ผมเห็นแต่คนญี่ปุ่น ฝรั่งที่ขยันเดินกัน คงเป็นจากความเคยชินที่เขาต้องเดินไปขึ้นระบบขนส่งสาธารณะของบ้านเขาในระยะทางที่ค่อนข้างไกล แต่ปัจจุบันนี้ ผมเริ่มสังเกตเห็นพวกฝรั่งนั่งวินมอเตอร์ไซต์เยอะขึ้น
6.เปรียบเทียบราคาขายต่อตารางเมตรของแต่ละโครงการที่อยู่ในโลเคชั่นเดียวกันและชั้นเดียวกัน โดยคำนึง Facilities ของแต่ละโครงการ โดยเปรียบเทียบดูปริมาณพื้นที่ส่วนกลางต่อปริมาณพื้นที่ส่วนที่ขาย เช่น จำนวนที่จอดรถ/จำนวนยูนิตที่ขายทั้งหมด จำนวนลิฟท์โดยสารเมื่อเทียบกับจำนวนยูนิตทั้งหมด ฯลฯ และควรแยกเปรียบเทียบกันระหว่างตึกสูงกับตึกสูง และตึกเตี้ยกับตึกเตี้ยด้วยกัน เพราะว่าราคาต่อตารางเมตรของตึกสูงในชั้นเดียวกันกับตึกเตี้ย ราคาต่อตารางเมตรของตึกสูงจะแพงกว่าตึกเตี้ย เพราะว่าค่าก่อสร้างตึกสูงจะแพงกว่าตึกเตี้ย เมื่อเทียบต่อตารางเมตรด้วยกัน ส่วนจะเลือกซื้อชั้นไหนดี ลองอ่านดูข้อ 4 นะครับ
7.ถ้าจะซื้อคอนโดริมทะเลหรือแม่น้ำ ควรจะเลือกห้องที่มีระเบียงที่เห็นวิวทะเลหรือแม่น้ำ ถึงแม้ว่าราคาต่อตารางเมตรจะแพงกว่าห้องที่ไม่เห็นวิวดังกล่าวอยู่บ้างก็ตาม
8.ตรวจสอบประวัติบริการหลังการขายของบริษัทเจ้าของโครงการว่าดีมากน้อยแค่ไหน
9.ถ้าเป็นตึกเก่า ต้องดูสภาพตึกและการบริหารจัดการของนิติบุคคล รวมทั้งเงินกองทุนคอนโดว่ามีมากเพียงพอหรือไม่ จะมีการเรียกเก็บเงินสมทบกองทุนคอนโดก้อนใหญ่ในเร็วๆนี้หรือไม่ หรือมีโครงการที่จะปรับปรุงตึกครั้งใหญ่ ซึ่งจะต้องเรียกเก็บเงินจากเจ้าของร่วมหรือไม่
10.ถ้าเป็นตึกเก่า ควรดูสังคมของผู้อยู่อาศัยในตึกว่าเป็นอย่างไร ผมเคยซื้อคอนโดเก่าตึกหนึ่งย่านสุขุมวิท ปรากฏว่ามากกว่า 95% เป็นคนอินเดีย ปรากฏว่าจะขายหรือปล่อยเช่าก็จะยากมาก เพราะว่าคนไทยส่วนใหใญ่ไม่คุ้นเคยกับการอาศัยร่วมกับคนอินเดียหมู่มาก และคอนโดในแถบสุขุมวิทมีหลายอาคารที่ผู้อยู่อาศัยส่วนใหญ่เป็นคนอินเดีย ดังนั้นก่อนซื้อควรตรวจสอบดูให้ดีก่อน


กิติชัย เตชะงามเลิศ
                                                                                          11/06/57


ติดตามแนวทางการลงทุนของผมได้ที่ 
Facebook : https://www.facebook.com/VI.Kitichai
Twitter : http://twitter.com/value_talk 
Youtube : http://www.youtube.com/user/wittayu9
Blog :  http://kitichai1.blogspot.com
Instagram : Gid_Kitichai

หรือหนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ทุกวันพุธหน้า B6 หรือหน้า B10 และนิตยสารคนรวยหุัน, Condo Guide,  Me(Market Evolution), และ Glow ทุกเดือน
     

สนใจซื้ออสังหาเพื่ออยู่เองหรือเพื่อการลงทุน ลองเข้า http://www.pantipmarket.com/mall/homeproperty

วันพุธที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2557

หลักการลงทุนในคอนโดเพื่อเก็งกำไรหรือปล่อยเช่า

หลักการลงทุนในคอนโดเพื่อเก็งกำไรหรือปล่อยเช่า



          หลักจากผมให้สัมภาษณ์รายการทีวีรายการหนึ่งทางช่อง Digital TV เกี่ยวกับเรื่องการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์เพื่อปล่อยเช่า ปรากฏว่ามีเสียงตอบรับค่อนข้างดีมาก โดยวัดจาก Feedback ที่มาจาก Social media ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นหน้าแฟนเพจเฟซบุ๊ค (www.facebook.com/vi.kitichai) YouTube (www.youtube.com/wittayu9) หรือ Twitter (twitter.com/value_talk) นี่คือประโยชน์อย่างหนึ่งของ Social media นอกจากทำให้เข้าถึงกลุ่มผู้ติดตามได้อย่างทั่วถึง แล้วยังสามารถเช็ค Feedback ว่า  Content ไหน คนให้ความสนใจมากน้อยอย่างไร เพื่อเป็นการปรับปรุงและนำเสนอเนื้อหาให้สอดคล้อง กับความต้องการของกลุ่มผู้ติดตามได้เป็นอย่างดี เท่าที่ผมสังเกตดูผมพบว่า Content ที่เกี่ยวกับ การเมือง สุขภาพ การลงทุนและเรื่องที่เกี่ยวกับด้าน Sentimental ผู้คนจะให้ความสนใจอ่าน Like หรือ  Comment ค่อนข้างมาก ถ้าผู้ที่ติดตาม Social media ของผมเป็นตัวแทนของสังคมไทยก็จะได้ภาพ ออกมาว่าคนไทยเราส่วนใหญ่จะสนใจในเรื่องราวที่ผมกล่าวมาข้างต้นมากเป็นพิเศษ เรื่องอื่นๆ ไม่ค่อย เท่าไหร่ แต่เรื่องการเมืองนี่สิครับผมรู้สึกหนักใจ จนคิดว่าจะเพลาๆ การโพสต์เรื่องราวที่เกี่ยวกับ การเมืองเพราะว่ามันเป็นเรื่องละเอียดอ่อนมากๆ และ Sensitive มากจริงๆ คนไทยเราแบ่งเป็น 2 ฝ่าย อย่างชัดเจน แล้วเรียกฝ่ายที่อยู่ตรงข้ามกับตนเองด้วยสรรพนามที่ดูถูกซึ่งกันและกัน ผมรู้สึกสงสัยขึ้นมาว่า ตกลงฝ่ายตรง ข้ามในด้านความคิดทางด้านการเมือง ไม่ใช่คนไทยด้วยกันหรือไร ไม่ว่าจะเป็นค่า “ควายแดง” ,  “สลิ่ม” ฯลฯ ผมอยากจะให้คนไทยหันหน้าเข้าหากัน ปรับความเข้าใจกันให้ดีกว่านี้ ย้อนหลังไปเมื่อสิบปีก่อน สังคมไทยเราไม่ได้มีการแบ่งสีแบ่งเหล่ากันแบบนี้ เราเคยเป็นสังคมที่เอื้ออาธรซึ่งกันและกัน สิ่งดีๆเหล่านี้ในสังคมไทยมันหายไปไหนกันหมด แค่ความคิดเห็นทางการเมืองที่ไม่สอดคล้องกับความคิดของตน ก็ผลักดันให้อีกฝ่ายหนึ่งไปเป็นศัตรูคู่อริกันเลยทีเดียว ถ้าเกิดเหตุสงครามกับต่างชาติขึ้นมาในขณะนี้ เราจะร้องหาความสมัครสามัคคีจากชนชาติไทยกันได้ไหม ชาติอริศัตรูคงหัวร่องอหายกับความเป็นไปของสัมคมไทยในปัจจุบันเป็นแน่ ทำให้ผมนึกถึงภาพยนตร์เรื่องนเรศวรที่ผมเพิ่งไปดูรอบปฐมทัศน์มา ถ้าคนไทยในสมัยนั้นแตกแยกกันเหมือนกับคนไทยในปัจจุบัน ผมเชื่อว่าครั้งนั้นชาติไทยคงยังเป็นเมืองขึ้นของพม่า เนื่องจากการขาดซึ่งความสามัคคีของคนในชาติ ผมว่าจะเขียนถึงเรื่องหลักการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์เพื่อปล่อยเช่า ไม่รู้ว่าเถลไถลมาถึงเรื่องนี้ได้อย่างไร เรามาดูกันดีกว่าครับว่า การเลือกลงทุนอสังหาเพื่อขายหรือปล่อยเช่าท่านควรมีหลักการอย่างไรบ้าง
1.      เลือกโลเคชั่นที่เหมาะสม นั่นคือโลเคชั่นที่มี Demand การเช่ามากว่า Supply โดยปกติย่าน ที่ใกล้สถาบันการศึกษา แหล่ง Office สถานีรถไฟฟ้า จะมี Demand ค่อนข้างมาก
2.      ตรวจสอบดูว่าลักษณะ Demand ดังกล่าว ส่วนใหญ่จะเป็นแบบ 1 ห้องนอน หรือ 2 ห้องนอน และ Supply (คอนโดและ Apartment) ที่อยู่ในบริเวณนั้นส่วนใหญ่ที่ยังว่างอยู่เป็นแบบไหน
3.      ตรวจสอบดูว่าค่าเช่าที่คาดว่าจะได้ ตกแล้วเดือนละเท่าไร โดยเปรียบเทียบกับค่าเช่าของคอนโด และ Apartment ในย่านนั้นที่มีขนาด, ชั้น และการตกแต่งที่ใกล้เคียงกัน ถ้าต่างกันก็ปรับราคาให้เหมาะสมกับความแตกต่างระหว่างห้องของเรากับห้องเช่าของคนอื่น
4.      ปกติผมจะคำนวณค่าเช่าเพียง 10 เดือน/ปี เท่านั้น เผื่อช่วงที่คนเช่าเก่าออกแล้วยังหาคนเช่าใหม่เข้ามาไม่ได้
5.      ผลตอบแทนจากการเข่า ปกติดผมจะคาดหวังที่ 5-6% เป็นอย่างน้อย แต่ราคาคอนโดที่สร้างใหม่ในปัจจุบัน ถ้าจะซื้อไว้เพื่อหวังปล่อยเช่า ผลตอบแทนค่อนข้างจะต่ำคืออยู่ที่ประมาณ 3-4% เท่านั้น เนื่องจากราคาคอนโดใหม่ในปัจจุบันสูงขึ้นมาก จากการที่ราคาที่ดิน วัสดุก่อสร้างและค่าก่อสร้างต่างๆ ที่สูงขึ้นมาก ท่านอาจจะเสี่ยงมาซื้อคอนโดเก่า ที่ยังมีสภาพที่ดี มีนิติบุคคลที่บริหารอาคารที่มีความใส่ใจ เป็นเรื่องน่าแปลก ที่ราคาคอนโดเก่าบ้านเราจะถูกกว่าคอนโดใหม่ถึง 30-50% ในขณะที่ประเทศอื่นๆ อย่างเช่น อังกฤษ ผมสังเกตว่าราคาจะแตกต่างกันไม่เกิน 20% เท่านั้น ดังนั้นการลงทุนคอนโดเก่าจะได้อัตราผลตอบแทนจากการเช่าดีกว่าคอนโดใหม่ๆ

ส่วนตลาดหุ้นบ้านเรา ยังคงแข็งแกร่งถึงแม้จะมีการรัฐประหารเกิดขึ้น ฝรั่งขายต่อเนื่อง เงินบาทก็อ่อนค่าลงมากกว่าเงินสกุล ASEAN อื่นๆ แต่ SET INDEX ก็ยังสามารถทะลุแนวต้าน 1,426 ที่เป็นแนวต้านที่ดันมา 2 ครั้งไม่ผ่าน แต่เมื่อวันจันทร์เปิดตลาดมาพร้อม GAP แล้วตีทะลุด่านสำคัญนี้ไปได้พร้อม Volume และต่างชาติหันกลับมาซื้อสุทธิเสียด้วย ดูๆ แล้วคงจะขึ้นไปทดสอบแถว 1,490-1,500 จุด อย่างไรก็ตามระมัดระวังในการลงทุนให้ดีนะครับ แล้วสัปดาห์หน้าผมจะมาเขียน Tips 10 ข้อในการเลือกซื้อคอนโดเพื่อเก็งกำไรหรือเปล่อยเช่า

กิติชัย เตชะงามเลิศ
                                                                                          04/06/57


ติดตามแนวทางการลงทุนของผมได้ที่ 
Facebook : https://www.facebook.com/VI.Kitichai
Twitter : http://twitter.com/value_talk 
Youtube : http://www.youtube.com/user/wittayu9
Blog :  http://kitichai1.blogspot.com
Instagram : Gid_Kitichai

หรือหนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ทุกวันพุธหน้า B6 หรือหน้า B10 และนิตยสารคนรวยหุัน, Condo Guide,  Me(Market Evolution), และ Glow ทุกเดือน
     

สนใจซื้ออสังหาเพื่ออยู่เองหรือเพื่อการลงทุน ลองเข้า http://www.pantipmarket.com/mall/homeproperty