จาก1ล้านเป็น500ล้านผมทำอย่างไร

จาก1ล้านเป็น500ล้านผมทำอย่างไร
เล่าประสบการณ์การลงทุนของผมที่นำไปใช้ได้ง่ายๆ

วันศุกร์ที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

ภาษีสินค้าฟุ่มเฟือยควรลดหรือไม่



ภาษีสินค้าฟุ่มเฟือยควรลดหรือไม่

          คนไทยเป็นชนชาติที่รักการช้อปปิ้ง ติดอันดับต้นๆ ของโลกเลยทีเดียวจากการเปิดเผย การใช้จ่ายต่อวันของนักท่องเที่ยวไทย ไม่ว่าจะเป็นสิงคโปร์ ญี่ปุ่น และยุโรป ปรากฏว่าคนไทยติด TOP5 บ้าง TOP10 บ้าง ไม่รู้ว่าเราควรจะภูมิใจกันดีไหม หรือว่าคนไทยรวยกว่าคนชาติอื่นๆ สินค้าที่คนไทยนิยมไปช้อปปิ้งที่ต่างประเทศ ส่วนใหญ่จะเป็นสินค้าฟุ่มเฟือยไม่ว่าจะเป็น เครื่องสำอาง ซึ่งพักหลังคนไทยนิยมไปซื้อเครื่องสำอางที่เกาหลี มากจนทำให้บรรดาร้านค้าเครื่องสำอางแบรนด์เกาหลีเหล่านี้ ในย่านช้อปปิ้ง เช่นเมียงดอง ต้องจ้างพนักงานคนไทยมาต้อนรับลูกค้าคนไทยกันเลยทีเดียว คงจะเป็นเพราะว่ากระแสภาพยนต์และละครเกาหลี ทำให้คนไทยรับเอาวัฒนธรรมบางอย่างรวมไปถึงเสื้อผ้า หน้า ผม ปัจจุบันถ้าสังเกตให้ดีเวลาเดินตามเคาน์เตอร์เครื่องสำอางตามห้างสรรพสินค้า ก็จะพบแบรนด์เกาหลีมากขึ้น นับดูแล้วก็ร่วม 10 แบรนด์เลยทีเดียว แต่ราคาที่เมืองไทยจะแพงกว่าที่เกาหลีมาก ทำให้สาวไทยบินไปเกาหลีเพื่อซื้อสินค้าเหล่านี้กันมากมาย ทั้งซื้อใช้เอง และซื้อตามลิสต์รายการที่ญาติพี่น้อง เพื่อนฝูงฝากซื้อ
       นอกจากเกาหลีแล้วคนไทยเราเป็นชนชาติที่ซื้อนาฬิกาหรูๆ ติดอันดับของนักท่องเที่ยวที่บินไปยุโรป ไม่ว่าจะเป็นสุภาพบุรุษหรือสุภาพสตรี ในเมืองไทยเอง เวลาห้างสรรพสินค้าจัด Watch Fair ทีไร ยอดขายเป็นหลักร้อยล้าน พันล้านบาททุกที จนปีหนึ่งๆ จากเดิมเคยจัดปีละครั้งกลายเป็นปีละหลายๆ ครั้ง นอกจากนั้นกระเป๋าถือของคุณสุภาพสตรีบางแบรนด์ใบละหลายๆ แสน แล้วต้องเข้าคิวกันซื้อ บางรุ่นถ้าไม่ใช่ลูกค้าเก่าแก่ ลูกค้าชั้นหนึ่งก็ไม่สามารถซื้อได้ เพราะว่าทางร้านเขามีจำกัด เวลาผมเดินผ่านร้านพวกนี้ทีไร อดสงสัยไม่ได้เลยว่าแต่ละร้านก็ออกจะใหญ่โต ทำไมต้องให้ลูกค้าต่อคิวเพื่อจะเข้าไปช้อปปิ้งสินค้าในร้าน จะบอกว่ากลัวจะดูแลลูกค้าไม่ทั่วถึง ก็ยังดูไม่สมเหตุสมผล น่าจะเป็นกลยุทธการตลาด เรียกร้องความสนใจจากคนที่เดินผ่านไปมา ประมาณว่าร้านขายดีจนลูกค้าต้องมาต่อคิวรอกัน อีกคำถามที่คาใจก็คือ ทำไมคนเหล่านี้ยอมที่จะซื้อกระเป๋าใบละเป็นหลักแสนทั้งๆ ที่ดูแล้วต้นทุนเป็นเพียงหลักพันบาทเท่านั้น สร้างผลกำไรให้กับบริษัทที่เป็นเจ้าของแบรนด์สินค้าเหล่านี้มโหฬาร จนกระทั่งมีบริษัทหลักทรัพย์จดทะเบียนกองทุนรวมของไทยบางบริษัท เอากองทุนจากต่างประเทศที่เน้นลงทุนในสินค้า Luxury นี้โดยเฉพาะมาขายให้นักลงทุนไทย
          เกริ่นมาตั้งนานขอเข้าเรื่องสักที ผมไม่เห็นด้วยกับการที่จะลดภาษีสินค้าฟุ่มฟือย เพราะว่าจะทำให้สินค้าฟุ่มเฟือยจากต่างชาติเหล่านี้ถูกลงมาก (ถ้าร้านค้าลดราคาลงเท่ากับภาษีที่ลดลง แต่ผมเกรงว่าร้านเหล่านี้จะลดราคาลงน้อยกว่า ภาษีที่ลดลงซะมากกว่า และเจ้าของแบรนด์ก็คงเพิ่มราคาสินค้าของตน เพื่อทำให้ราคาสินค้าของตนในแต่ละประเทศไม่แตกต่างกันมากนัก) สินค้า Made In Thailand ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า เครื่องสำอาง เครื่องหนัง ฯลฯ ก็จะมีความแตกต่างในด้านราคาลดลง นิสัยคนไทยที่นิยมใช้ของนอกมากกว่าของที่ผลิตในประเทศ ก็จะทำให้บรรดาผู้ผลิตไทยโดยเฉพาะธุรกิจ SME ทั้งหลาย อาจจะต้องลดการผลิตลง จากยอดขายที่ลดลง หรืออาจจะถึงขั้นเลิกกิจการ ถ้าธุรกิจเหล่านั้นไม่สามารถปรับตัวได้ คนก็จะตกงานมากขึ้น ผมคิดว่ามีอีกวิธีหนึ่งที่จะช่วยกระตุ้นการท่องเที่ยวให้ Thailand เป็น Shopping Destiny แข่งกับฮ่องกงและสิงคโปร์ ก็คือ การคืนอากรนำเข้า โดยอาจจะไม่จำเป็นต้องคืน VAT เพราะอากรนำเข้าสินค้าเหล่านี้จะสูงกว่า ภาษี VAT มากพอควร เพราะว่าอากรนำเข้าเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้ราคาสินค้าฟุ่มเฟือยของไทยแพงกว่าประเทศคู่แข่ง โดยให้ร้านค้าแบรนด์เนมเหล่านี้แยกแสดงอากรออกมาในใบเสร็จรับเงิน
        ถ้าทำอย่างที่ผมแนะนำ เชื่อได้เลยว่าจะมีนักท่องเที่ยว เข้ามาท่องเที่ยวในเมืองไทยมากขึ้นเลยทีเดียว จากราคาสินค้าที่ไม่แพงกว่าประเทศคู่แข่ง สินค้าฟุ่มเฟือยเหล่านี้ ก็จะมาเปิดสาขาในไทยมากขึ้น แบรนด์ที่ไม่เคยเปิดร้านที่เมืองไทย ถ้าเห็นคู่แช่งขายดี คงต้องมาเปิดร้านในไทยตามไปด้วย เจ้าของห้างได้เก็บค่าเช่ามากขึ้นจากการที่มีผู้เช่าเพิ่มขึ้นและอาจจะเพิ่มค่าเช่าได้อีกกรณีที่ OCCUPANCY RATE สูงขึ้น ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว ไม่ว่าจะเป็นโรงแรม ร้านอาหาร สปา LOGISTICS โรงพยาบาล ฯลฯ ก็จะพลอยดีขึ้นไปด้วย การจ้างงานก็จะมากขึ้น รัฐบาลได้เก็บภาษี VAT บวกกับภาษีจากกำไรของธุรกิจเหล่านี้มากขึ้น นอกจากนั้นประเทศไทยยังมีทรัพยากรธรรมชาติที่สวยงาม มีวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ สิ่งปลูกสร้างสวยมากมาย นักท่องเที่ยวเข้ามามากขึ้น ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวก็จะดีไปด้วย มีคนมาข่วยจับจ่ายใช้สอยในประเทศมากขึ้น เศรษฐกิจไทยที่ไม่ค่อยดี ก็จะเริ่มเห็นอนาคตที่สดใส ถ้ารัฐทำเช่นนี้ มีบริษัทที่ทำ Duty Free ในประเทศไทยเข้ามาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ผมคงต้องรีบขายหุ้นตัวนี้ทิ้งทันที เพราะว่าอนาคตเริ่มไม่ค่อยจะสดใสเสียแล้ว


กิติชัย เตชะงามเลิศ
        26/2/59



1.หนังสือ "จาก1ล้านเป็น500ล้านผมทำอย่างไร" เล่าประสบการณ์การลงทุนของผมที่นำไปใช้ได้ง่ายๆ
2.หนังสือ "ออมจากน้อยเป็นร้อยล้าน" แนะวิธีออมเงินเพียงเดือนละหลักพัน ก็เป็นเศรษฐี 100 ล้าน ก่อนอายุ 50 ปี!
 
      ติดตามสาระดีๆทั้งไลฟ์สไตล์และการลงทุนได้ที่

 Facebook : https://www.facebook.com/VI.Kitichai
 Twitter : http://twitter.com/value_talk
 Instagram : Gid_Kitichai
 Blog : http://kitichai1.blogspot.com และ http://money.sanook.com/kitichai/
 You Tube : http://www.youtube.com/user/wittayu9
 Google+ : https://www.google.com/+KitichaiTaechangamlert
 Linkedin : https://www.linkedin.com/in/homeproperty
 Pinterest : http://www.pinterest.com/kitichai/
 
     หรือ

1.หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ทุกวันพุธหน้า A10 ในคอลัมน์ "เขียนอย่างที่คิด"   
2.หนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจหน้า 15 เดือนละครั้ง ในคอลัมน์ “จับช่องลงทุน”
3.นิตยสาร Condo Guide ทุกเดือน
4.นิตยสาร คนรวยหุัน  Me(Market Evolution) และ วารสารเภตรา ทุกไตรมาส


         

วันพุธที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

บรรษัทภิบาลกับบลจ.




                                                                        บรรษัทภิบาลกับบลจ.          

               เมื่อเร็วๆนี้ ข่าวที่เป็นที่น่าสนใจของนักลงทุนทั่วไป คือ การที่ผู้บริหารระดับสูงสุดหลายท่านของบริษัทจดทะเบียนขนาดใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์ ถูกกล่าวหาว่ามีการใช้ข้อมูลภายในเพื่อการหาผลประโยชน์ในการซื้อขายหุ้น จนถูกสั่งปรับโดย กลต.  ซึ่งสังคมนักลงทุนส่วนใหญ่มีความเห็นว่าเป็นบทลงโทษที่เบาเกินไป จนล่าสุด กลต ได้เขียนบทลงโทษให้หนักหนาขึ้นคือ นอกจากการปรับเป็นตัวเงินแล้ว ยังต้องให้กรรมการที่ไม่มีบรรษัทภิบาลที่ดีต้องลาออกจากการเป็นกรรมการด้วย ไม่นานมานี้คณะกรรมการตรวจสอบของบริษัทดังกล่าว เพิ่งประชุมเสร็จ แล้วมีความเห็นสรุปได้ว่า " การกระทำดังกล่าวของผู้บริหารระดับสูงดังกล่าว เกิดจากการกระทำที่ไม่รอบคอบโดยไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้ในกฏเกณฑ์ กลต. และได้ยอมรับการปรับตามบทลงโทษของกลต ไปแล้ว อีกทั้งที่ผ่านมา กรรมการบริษัทดังกล่าวไม่เคยมีประวัติด่างพร้อยที่แสดงให้เห็นถึงพฤติกรรมการขาดธรรมาภิบาล จึงเชื่อว่าเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นโดยไม่ใช่เจตนาของบุคคลดังกล่าว ดังนั้นการชำระเบี้ยปรับและบทลงโทษของกลต. ถือเป็นบทเรียนสำคัญแล้วรวมทั้งได้กำชับตัดเตือนถึงการกระทำดังกล่าว" นอกจากนี้บอร์ดเห็นชอบตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมการตรวจสอบและกรรมการอิสระ ที่ควรให้โอกาสแก่คณะกรรมการดังกล่าว และให้แต่งตั้งคณะกรรมการบรรษัทภิบาลเพื่อเพิ่มความรัดกุมมากขึ้นทางด้านจริยธรรม และธรรมาภิบาลในทุกๆด้าน
               อ่านจบแล้วนึกถึงคำพูดใครบางคนที่ว่า " บกพร่องโดยสุจริต " ยังไงไม่รู้ และหวังว่าหลักสูตรทางด้าน Good Governance ของ COD จะเน้น  CG มากขึ้น อนึ่งการใช้ข้อมูลภายในเพื่อการซื้อขายของกรรมการบริหารบริษัทดังกล่าวครั้งนี้สร้างความสนใจไม่เพียงนักลงทุนเท่านั้น สังคมก็เกิดคำถามขึ้นมามากมาย นับว่าเป็นนิมิตหมายที่ดีที่คนส่วนใหญ่เริ่มให้ความสนใจและให้ความสำคัญกับการมีบรรษัทภิบาลที่ดี บริษัทจดทะเบียนขนาดใหญ่หลายๆบริษัทมีการตื่นตัวในเรื่องนี้เป็นอย่างมาก ฝั่งสถาบันภายในประเทศไม่ว่าจะเป็นสมาคม บลจ. คปภ. บริษัทประกันภัยและประกันชีวิต กองทุนประกันสังคม รวมตัวกันเหนียวแน่น เพื่อกดดันบริษัทต่างๆที่ไม่มี CG ที่ดี โดยวันที่ 18 กุมภาพันธ์ นี้ สมาคม บลจ.จะมีการประชุมเพื่อกำหนดแนวทางของสมาคมเพื่อให้สมาชิกปฏิบัตต่อกรณีดังกล่าว ผมเองในฐานะเป็นทั้งนักลงทุนรายย่อยในตลาดหลักทรัพย์ และผู้ถือหน่วยลงทุนของกองทุนต่างๆ อยากให้ทาง บลจ.ซึ่งเป็นหน่วยงานที่รวบรวมเงินจากนักลงทุน ผู้ออมเงินทั้งรายย่อยและรายใหญ่ ควรจะต้องทำตัวเป็นตัวแทนของผู้ถือหน่วยลงทุน และสังคมในการตรวจสอบพฤติกรรมของผู้บริหาร และผู้ถือหุ้นใหญ่ไม่ให้เอาเปรียบนักลงทุนและผู้ออมเงิน ไม่ว่าจะเป็นช่องทางใดๆดังต่อไปนี้
 1. Insider Trading
2. ให้ข่าวหรือให้ข้อมูลที่ไม่เป็นจริง
3.ซื้อหรือขายสินทรัพย์สูง หรือต่ำกว่าราคาตลาด หรือราคาที่เหมาะสม เป็นจำนวนมาก
4. การออก ESOP ในราคาที่ต่ำกว่าราคาตลาดมากและหรือจำนวนหุ้นที่ออกมากเกินไป
5.การออกหุ้นขาย PP ในราคาที่ต่ำกว่าราคาตลาดมากๆให้กับกลุ่มบุคคลที่ไม่สามารถแสดงเหตุผลได้ชัดเจนว่า จะสร้างประโยชน์ให้กับบริษัทได้อย่างไร
6. การผ่องถ่ายกำไรให้กับบริษัทในเครือ จากการที่มีรายการซื้อขายกับบริษัทในเครือในราคาที่ไม่ใช่ราคาตลาด 7.การทำ Treasury Stock โดยผู้ถือหุ้นใหญ่ได้ซื้อหุ้นไว้ในตลาดก่อนหน้าแล้วมาขออนุมัติการทำ Treasury Stock แล้วเอาเงินบริษัทมาซื้อหุ้นตัวเองในตลาด
8. การบิดเบือนผลประกอบการ เพื่อผลประโยชน์ของการสร้างราคาหุุ้นทั้งขึ้นและลง ซึ่งสร้างความเสียหายอย่างมาต่อนักลงทุนที่ลงเชื่อตามงบการเงิน และเหตุผลประกอบการงบการเงินที่บิดเบือน 9.การ Takeover บริษัทอื่นๆในราคาที่ไม่สมเหตุสมผล ฯลฯ
               ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่าการประชุมวันที่ 18 กุมภาพันธ์ นี้ ของสมาคม บลจ. คงจะสร้างความเป็นบรรษัทภิบาลที่ดีในสังคมการลงทุน เพราะว่าถ้า บลจ.ทุกบริษัทจับมือให้ความร่วมมือกันเหนียวแน่นที่จะไม่ลงทุนทั้งตราสารทุน และตราสารหนี้ ของบริษัทที่มีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม น่าจะทำให้บริษัทต่างๆคงต้องระมัดระวังพฤติกรรมที่อาจเข้าข่ายการไม่มี Good Governance มิฉะนั้นราคาหุ้นก็จะต่ำกว่าที่ควรจะเป็น หุ้นกู้ก็ต้องยอมจ่ายดอกเบี้ยที่สูงกว่าปกติ 

กิติชัย เตชะงามเลิศ
        17/2/59



ติดตามสาระดีๆทั้งไลฟ์สไตล์และการลงทุนได้ที่

 Facebook : https://www.facebook.com/VI.Kitichai
 Twitter : http://twitter.com/value_talk
 Instagram : Gid_Kitichai
 Blog : http://kitichai1.blogspot.com และ http://money.sanook.com/kitichai/
 You Tube : http://www.youtube.com/user/wittayu9
 Google+ : https://www.google.com/+KitichaiTaechangamlert
 Linkedin : https://www.linkedin.com/in/homeproperty
 Pinterest : http://www.pinterest.com/kitichai/
หรือ
              1.หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ทุกวันพุธหน้า A10 ในคอลัมน์ "เขียนอย่างที่คิด" 
              2.หนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจหน้า 15 เดือนละครั้ง ในคอลัมน์ “จับช่องลงทุน”
              3.นิตยสาร Condo Guide ทุกเดือน
              4.นิตยสาร คนรวยหุัน  Me(Market Evolution) และ วารสารเภตรา ทุกไตรมาส

วันพุธที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

ผลตอบแทนหุ้น (ตอนที่3)



                                            ผลตอบแทนหุ้น (ตอนที่3

            ในบทความตอนที่ 1 ผมได้กล่าวถึงผลตอบแทนของ SET INDEX และกลุ่มพลังงาน ในปี 2558 ส่วนในตอนที่ 2 เป็นเรื่องของผลตอบแทนของกลุ่มธนาคาร ที่ย่ำแย่ ซึ่งให้ผลตอบแทน SET INDEX ติดลบ รวมทั้งการทำ ASSET ALLOCATION ที่ช่วยลดความเสี่ยงในการลงทุน ส่วนบทความตอนที่ 3 นี้จะมาดูกลุ่มถัดไปที่มีส่วนทำให้ผลตอบแทน SET INDEX ติดลบไปมากคือ กลุ่มสื่อสาร (ICT) โดยเมื่อสิ้นปี 2557 กลุ่มสื่อสารได้ปิดไปที่ 231.31จุด แล้วจากนั้นก็เป็นขาลง โดยลงไปทำจุดต่ำสุดที่ 124.24 จุด เมื่อวันที่ 6 มกราคม ที่ผ่านมา ปรับตัวลงไปทั้งสิ้น 107.07 จุด คิดเป็น 46.29% นับว่าเป็นกลุ่มที่มี MARKET CAP สูงที่ลงมามากที่สุด เมื่อเทียบกับกลุ่มธนาคารที่ลงไป 32.73% ทั้งๆที่ NPL เพิ่มขึ้นมาก และกลุ่มพลังงานที่ลงไป 29.05% ในขณะที่ราคาน้ำมัน และ GAS ก็ลงไปมาก ที่เป็นเช่นนั้นก็มาจากการประมูลคลื่น 1,800 และ 900 MHZ เมื่อเร็วๆนี้ โดยมีรายละเอียดการประมูลดังนี้คือ
            1.คลื่น 1,800 MHZ 2 ใบอนุญาต โดยใบอนุญาตแต่ละใบมีอายุ 18 ปี และขนาดของคลื่น 15 MHZ โดยใบอนุญาตชุดที่ 1 ผู้ชนะการประมูลคือ บริษัท ทรูมูฟเอช ยูนิเวอร์แซล คอมมิวนิเคชั่น จำกัด เสนอราคาสุดท้ายที่ 39,792 ล้านบาท มีบริษัทแจสโมบายบรอดแบนด์จำกัด เสนอราคาสุดท้ายที่ 38,996 ล้านบาท ในขณะที่ชุดที่ 2 ผู้ชนะการประมูลได้คือ บริษัท แอดวานซ์ไวร์เลสเน็ทเวอร์คจำกัด เสนอราคาสูงสุดที่ 40,986 ล้านบาท คิดเป็นค่าใบอนุญาติ/ปี ที่ 2,210.66 ล้านบาท และ 2,166.44 ล้านบาทตามลำดับ
                        2. คลื่น 900 MHZ 2 ใบอนุญาต โดยใบอนุญาตแต่ละใบมีอายุ 15 ปี และขนาดของคลื่นเพียง 10 MHZ โดยใบอนุญาตชุดที่ 1 สามารถใช้งานได้จริงเพียง 7.50 MHZ เพราะมีปัญหารบกวนจากคลื่นความถี่ย่านใกล้เคียง ผลประมูลจบลงโดย บริษัทแจสโมบาย บรอดแบนด์จำกัด ชนะการประมูลไปที่ 75,654 ล้านบาท คิดเป็นค่าใบอนุญาตต่อปีที่ 5,046.60 ล้านบาท/ปี โดยบริษัทแอดวานซ์ไวร์เลสเน็ตเวอร์ค จำกัด เสนอราคาสูงสุดที่ 75,976 ล้านบาท แต่ขอยกเลิกไป ส่วนใบอนุญาตที่ 2 มีบริษัท ทรูมูฟเอช ยูนิเวอร์แซลคอมมิวนิเคชั่น จำกัด ได้ไปที่ 76,298 ล้านบาท โดยบริษัทดีแทค เข้าสู้ประมูลคลื่น 900MHZ ไล่ไปถึงราคา 70,180 ล้านบาท
            ราคาของหุ้นกลุ่ม ICT ไหลลงรุนแรงตั้งแต่การประมูลคลื่น 1,800 MHZ หลังจากเห็นกลุ่ม JAS เข้าประมูลไล่ราคาอย่างบ้าเลือด ถึงแม้จะพ่ายแพ้ให้กับกลุ่ม TRUE กับ ADVANC ก็ตาม แต่ทำให้นักลงทุนเกรงว่า เมื่อมีการประมูลคลื่น 900 MHZ แล้วกลุ่ม JAS ชนะ อุตสาหกรรมนี้จะเปลี่ยนไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง จากเดิมที่มีผู้เล่น 3 รายจะกลายเป็น 4 ราย และแน่นอนผู้เล่นรายใหม่ที่ยังไม่มีลูกค้าอยู่เลยคงต้องอัดโปรโมชั่นลดแลกแจกแถมอย่างรุนแรง เพื่อที่จะดึงดูดลูกค้าของค่ายอื่นให้มาใช้บริการของตน นั้นหมายถึงกำไรในอนาคตชองทุกบริษัทในอุตสาหกรรมนี้จะลดลง เพราะทุกรายต้องลงมาแข่งขันกันทั้งด้านบริการ และราคา เมื่อเร็วๆนี้ เราก็เริ่มเห็นโปรโมชั่น 4G ของ 3 ค่ายเก่าที่ออกมาใหม่เพื่อเตรียมตัวรับน้องใหม่กันแล้ว ซึ่งก็มีราคาถูกลงเมื่อเทียบต่อปริมาณการใช้ ต่อมาก็เริ่มมีความไม่แน่นอนว่า กลุ่ม JAS จะสามารถหาสถาบันการเงินที่จะมาทำ BANK GUARANTEE ให้ได้หรือไม่ โดยที่ BBL ซึ่งคาดว่าจะเป็นธนาคารที่จะสนับสนุนทางด้านการเงินหลัก มีท่าทีจะไม่สนับสนุน ถ้ากลุ่ม JAS ไม่เพิ่มทุน KBANK เองก็อิดออดที่จะร่วมทำ BANK GUARANTEE ให้กลุ่ม JAS ผู้บริหาร JAS เองก็เคยยืนยันว่าจะไม่เพิ่มทุน ในขณะที่สถาบันการเงิน 5แห่งกลับร่วมกันสนับสนุน.ให้กลุ่ม TRUE โดย TRUE ได้ประกาศเพิ่มทุนแล้ว ราคากลุ่ม ICT ก็เริ่มทยอยปรับตัวขึ้น โดยมี ADVANC วิ่งนำเป็นจ่าฝูง โดยปรับตัวขึ้นมาจากจุดต่ำสุดที่ 128 บาทเมื่อวันที่ 6/1/59 มาทำจุดสูงสุดที่ 174.50 เมื่อ 1/2/59 ขึ้นมา 46.50 บาท คิดเป็น 36.33%
            ล่าสุด กสทช. ก็ให้สัมภาษณ์ว่าจะขอคลื่น 2,600 MHZ ที่ MCOT ถืออยู่ 144MHZ โดยขอคืนมาบางส่วนเพื่อจะนำออกประมูล โดยคาดว่าจะมีการประมูลในต้านปี 2560 ซึ่งแต่เดิมคาดว่าจะมีการประมูลคลื่น 800MHZ ในปี 2561 ผมไม่เข้าใจว่าทำไม กสทช. ไม่เก็บเรื่องนี้ไว้ก่อน จนกว่าจะได้รับเงินประมูลรอบแรก และ BANK GUARANTEE จากผู้ประมูลทุกรายเสียก่อน ในเมื่อจะมีประมูลคลื่น 2,600 MHZ ในต้นปีหน้า 2 รายที่พ่ายแพ้การประมูลที่ผ่านมาทั้ง ADVANC และ DTAC มีโอกาสแก้มือ และรอบนี้อาจจไม่มีการไล่ราคากันสูงปรี้ดอย่างคราวที่แล้ว เพราะ TRUE ก็มีคลื่นในมือมากแล้ว ส่วน JAS ก็มีหนี้สิน และภาระมากมายจากการประมูลครั้งล่าสุด
            ถ้าเป็นแบบนี้ ถ้าคุณเป็น JAS คุณจะทิ้งเงินประมูลหรือต่อสู้ต่อ ถ้าคุณเป็น BBL คุณจะสนับสนุน JAS ไหม ในเมื่อได้รับบทเรียนสดๆร้อนๆจาก DIGITAL TV มาแล้ว ถ้า JAS ทิ้งประมูล จะเพียงแค่โดนยึดเงินมัดจำเท่านั้น หรือว่าจะต้องมีบทลงโทษอื่นๆอีกหรือไม่ อย่างไร ผมว่าถ้า JAS โยนผ้าจริงๆ ส่วนหนึ่งก็เป็นความผิดของ JAS เองที่ประมูลราคาบ้าเลือดขนาดนั้น และอีกส่วนหนึ่งก็ต้องโทษ กสทช.ที่ทำไมมาออกข่าวว่าจะมีการประมูลคลื่น 2,600 ในช่วงเวลาเข้าด้ายเข้าเข็มอย่างนี้


ผลตอบแทนหุ้น (ตอนที่2)  http://kitichai1.blogspot.com/2016/01/2.html
 

กิติชัย เตชะงามเลิศ
        10/2/59



ติดตามสาระดีๆทั้งไลฟ์สไตล์และการลงทุนได้ที่

 Facebook : https://www.facebook.com/VI.Kitichai
 Twitter : http://twitter.com/value_talk
 Instagram : Gid_Kitichai
 Blog : http://kitichai1.blogspot.com
 You Tube : http://www.youtube.com/user/wittayu9
 Google+ : https://www.google.com/+KitichaiTaechangamlert
 Linkedin : https://www.linkedin.com/in/homeproperty
 Pinterest : http://www.pinterest.com/kitichai/
หรือ
              1.หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ทุกวันพุธหน้า A10 ในคอลัมน์ "เขียนอย่างที่คิด" 
              2.หนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจหน้า 15 เดือนละครั้ง ในคอลัมน์ “จับช่องลงทุน”
              3.นิตยสาร Condo Guide, Glow ทุกเดือน
              4.นิตยสาร คนรวยหุัน  Me(Market Evolution) และ วารสารเภตรา ทุกไตรมาส