จาก1ล้านเป็น500ล้านผมทำอย่างไร

จาก1ล้านเป็น500ล้านผมทำอย่างไร
เล่าประสบการณ์การลงทุนของผมที่นำไปใช้ได้ง่ายๆ

วันพุธที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2558

สถิติ SET INDEX ที่ท่านอาจไม่รู้ ตอนที่ 4

สถิติ SET INDEX ที่ท่านอาจไม่รู้ ตอนที่ 4

สัปดาห์นี้ผมจะจัดลำดับสถิติการขึ้นของ SET INDEX ที่มากที่สุดนับตั้งแต่มีการก่อตั้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยขึ้นมา
สถิติการขึ้นของ SET INDEX อย่างต่อเนื่องที่มากที่สุดคือ
1)      เริ่มจากเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2529 ซึ่งในขณะนั้น SET INDEX อยู่ที่ 127.26 จุด หลังจากนั้นก็ไต่ระดับในแนวโน้มขาขึ้นระยะยาว จนไปจบรอบขาขึ้นในเดือนมกราคม พ.ศ. 2537 ที่ 1,789.16 จุดซึ่งเป็นจุดสูงสุดในประวัติศาสตร์เลยทีเดียว โดยมีนักลงทุนและนักเก็งกำไรที่ติดยอดดอยตรงจุดนี้มหาศาลเลยทีเดียว และวันที่ทำจุดสูงสุดและเดือนนั้น เป็นวันและเดือนที่มีมูลค่าการซื้อขายมากที่สุดเมื่อนับถอยหลังไปจนถึงวันที่เริ่มก่อตั้งตลาดหลักทรัพย์ขึ้นมา ซึ่งผมคาดว่าปีนี้คงจะมีเที่ยวบินไปรับนักลงทุนกลุ่มนั้นลงมาจากดอย แล้วไม่รู้ว่าจะมีนักลงทุนกลุ่มใหม่ไปเป็นชาวดอยแทนหรือไม่ และถ้ามี ผมเชื่อว่ารอบนี้น่าจะมีจำนวนชาวดอยมากกว่าคราวที่แล้วอย่างมาก กลับมาดูผลตอบแทนของนักลงทุนที่ลงทุนในช่วงเดือนมิถุนายน 2529 แล้วไปขายที่เดือนมกราคม 2537 จะได้กำไรถึง 1,661.80 จุดหรือ 1,305.83% ภายในเวลา 7 ปี 7 เดือน คิดเป็นผลตอบแทนแบบทบต้นมากกว่า 40% ต่อปี นี่ยังไม่นำอัตราเงินปันผลอีกประมาณ 3-4% มาบวกเข้าไปอีก โดยช่วงนั้นเรามีนายกรัฐมนตรีดังนี้คือ
1.1)   ช่วงมิถุนายน 2529 – 4 สิงหาคม 2531 พลเอกเปรม ติณสูลานนท์
1.2)   ช่วง 4 สิงหาคม 2531 – 23 กุมภาพันธ์ 2534 พลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ ซึ่งเป็นช่วงที่เศรษฐกิจเฟื่องฟูมาก มีการเก็งกำไรที่ดินสูงมาก
1.3)   ช่วง 23 กุมภาพันธ์ 2534 – 1 มีนาคม 2534 มีการทำรัฐประหาร โดยคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (รสช) โดยมีพลเอกสุนทร คงสมพงษ์ (บิ๊กจ๊อด) เป็นหัวหน้าคณะ
1.4)   ช่วง 2 มีนาคม 2534 – 7 เมษายน 2535 นายอานันท์ ปันยารชุน
1.5)   ช่วง 7 เมษายน 2535 – 24 พฤษภาคม 2535 พลเอกสุจินดา คราประยูร ซึ่งในที่สุดต้องลาออกหลังจากเกิดการประท้วงครั้งใหญ่ที่เรียกว่า พฤษภาทมิฬ
1.6)   ช่วง 24 พฤษภาคม 2535 – 10 มิถุนายน 2535 นายมีชัย ฤชุพันธ์ รองนายกรัฐมนตรีรักษาการในตำแหน่ง
1.7)   ช่วง 10 มิถุนายน 2535 – 23 กันยายน 2535 นายอานันท์ ปันยารชุน เป็นนายกขัดตาทัพเพื่อจัดให้มีการเลือกตั้ง
1.8)   ช่วง 23 กันยายน 2535 – มกราคม 2537 นายชวน หลีกภัย หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ในสมัยนั้น สามารถเอาชนะพรรคชาติไทยไปได้ 2 เสียง จึงเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล นับเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 20 ของประเทศไทย (ประเทศที่มีการใช้นายกฯเปลืองที่สุดในโลก?)
2)    เริ่มจากเดือนมิถุนายน 2529 SET INDEX อยู่ที่ 127.26 จุด แล้วขึ้นไปทำ HIGH ที่ 1,143.78 จุด ในเดือนกรกฎาคม 2533 โดยขึ้นมาถึง 1,016.52 จุดหรือ 798.77% ภายในเวลา 4 ปี 1 เดือน คิดเป็นผลตอบแทนแบบทบต้นประมาณ 70% ต่อปี นี่ยังไม่นำอัตราเงินปันผลอีกประมาณ 3-4% มาบวกเข้าไปอีก นับว่าเป็นอัตราผลตอบแทนที่สุดแสนมหัศจรรย์จริงๆ 
3)    เริ่มจากเดือนพฤศจิกายน 2557 SET INDEX อยู่ที่ 380.05 จุด แล้วไต่ระดับขึ้นไปที่ 1,649.77 จุดในเดือนพฤศภาคม 2556 ขึ้นมา 1,269.72 จุด หรือ 334.09% ภายในเวลา 4 ปี 6 เดือน คิดเป็นผลตอบแทนแบบทบต้นเกือบ 40% ต่อปี นี่ยังไม่นำอัตราเงินปันผลอีกประมาณ 3-4% มาบวกเข้าไปอีก ซึ่งเป็นช่วงที่เรามีนายกรัฐมนตรีดังนี้คือ
3.1)    ช่วงพฤศจิกายน 2551 – 2 ธันวาคม 2551 นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ถูกออกจากตำแหน่ง เพราะคำวินิจฉัยของคณะตุลาการรัฐธรรมนูญ ให้ยุบพรรคพลังประชาชน
3.2)    ช่วง 2 ธันวาคม 2551 – 17 ธันวาคม 2551 นายชวรัตน์ ชาญวีรกุล รองนายกรัฐมนตรี รักษาการในตำแหน่ง
3.3)    ช่วง 17 ธันวาคม 2551 – 5 สิงหาคม 2554 นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์
3.4)    ช่วง 5 สิงหาคม 2554 – พฤษภาคม 2556 นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
4)              เริ่มจากเดือนพฤศจิกาจน 2533 SET INDEX อยู่ที่ 536.74 จุด แล้วไต่ระดับขึ้นไปที่ 1,789.16 ในเดือนมกราคม 2537 ขึ้นมา 1,252.42 จุด หรือ 233.34% ภายในเวลาเพียง 3 ปี 2 คิดเป็นผลตอบแทนแบบทบต้นมากกว่า 45% ต่อปี นี่ยังไม่นำอัตราเงินปันผลอีกประมาณ 3-4% มาบวกเข้าไปอีก
สัปดาห์หน้าผมจะมาจัดลำดับสถิติการลงของ SET INDEX ที่มากที่สุด ติดตามอ่านกันนะครับ
 

    กิติชัย เตชะงามเลิศ
           28/01/58

        ถ้าท่านชอบบทความผม ท่านสามารถสมัครสมาชิกโดยเอาเม้าส์ไปทางด้านขวามือจะมีแถบแสดงออกมา แล้วเลือกคลิกไอคอนที่เขียนว่าสมัครรับข้อมูล เมื่อผมมีบทความใหม่ ท่านก็จะทราบทันที




ติดตามสาระดีๆทั้งไลฟ์สไตล์และการลงทุนได้ที่

 Facebook : https://www.facebook.com/VI.Kitichai
 Twitter : http://twitter.com/value_talk
 Instagram : Gid_Kitichai
 Blog : http://kitichai1.blogspot.com
 You Tube : http://www.youtube.com/user/wittayu9
 Google+ : https://www.google.com/+KitichaiTaechangamlert
 Linkedin : https://www.linkedin.com/in/homeproperty
 Pinterest : http://www.pinterest.com/kitichai/

 หรือหนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ทุกวันพุธหน้า B6 และนิตยสารคนรวยหุัน, Condo Guide, Glow, และ Me(Market Evolution) ทุกเดือน รายการ Whats's up Spring ช่อง Spring News TV ทุกวันพุธ ช่วง What's up Money เวลา 10.15-11.00 น. ถ้าท่านชอบบทความผม ท่านสามารถสมัครสมาชิกโดยเอาเม้าส์ไปทางด้านขวามือจะมีแถบแสดงออกมา แล้วเลือกคลิกไอคอนที่เขียนว่าสมัครรับข้อมูล เมื่อผมมีบทความใหม่ ท่านก็จะทราบทันที หาอสังหาทั้งถูกและดีเพื่ออยู่เองหรือเพื่อการลงทุน ได้ที่ http://www.pantipmarket.com/mall/homeproperty

วันพุธที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2558

สถิติ SET INDEX ที่ท่านอาจไม่รู้ ตอนที่ 3

สถิติ SET INDEX ที่ท่านอาจไม่รู้ ตอนที่ 3


ในตอนที่ 1 ผมพูดถึงประวัติที่มาของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยและสถิติสูงสุดของ SET INDEX ที่ทำไว้ที่ 1,789.16 จุด เมื่อเดือนมกราคม 2537 ซึ่งสร้างผลตอบแทนให้กับนักลงทุนยุคนั้นร่วมๆ 20% เลยทีเดียว ที่ผมคิดแบบทบต้นนะครับ ถ้าคิดแบบเส้นตรงง่ายๆ SET INDEX ขึ้นมา 1,689.16% ภายในเวลา 18ปี 9เดือน เท่ากับขึ้นมาเฉลี่ยปีละ 90.08% นี่ยังไม่นับรวม DIVIDEND YIELD อีกประมาณ 3-4% โดยเฉลี่ย ส่วนตอนที่ 2 ผมได้พูดถึงช่วงวิกฤตต้มยำกุ้งที่ทำให้ SET INDEX จาก 1,789.16 จุด ลงไปที่ 204.59 จุดในเดือนกันยายน 2541 โดยลงไปถึง 1,584.57 จุด หรือ 88.60% ภายในเวลาเพียง 4ปี 8เดือน เสมือนกับผมพาท่านไปทัวร์สรรค์ในตอนที่ 1 และไปดูนรกในตอนที่ 2 สัปดาห์นี้เรามาดูสถิติ SET INDEX กันต่อครับ
สัปดาห์นี้ขอเริ่มจากสถิติของ SET INDEX ปี 2557 โดยเปิดฉากขึ้นจากจุดปิดที่ 1,298.71 เมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2556 ซึ่งเป็นวันทำการวันสุดท้ายของตลาดหลักทรัพย์ แล้ว SET INDEX ก็ไต่ระดับขึ้นไปตามแนวโน้มขาขึ้น โดยไปทำจุดสูงสุดของรอบที่ 1,602.21 จุด เมื่อวันที่ 29 กันยายน 2557 ขึ้นมาถึง 303.50 จุด คิดเป็น 23.37% ภายในเวลาประมาณ 9 เดือนเท่านั้น (แต่หากคิดจากจุดสูงสุดของปีที่ 1,603.89 จุด เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2557 ขึ้นมาถึง 305.18 จุด คิดเป็น 23.50% ภายในเวลาเกือบ 1 ปี) สร้างผลตอบแทนให้นักลงทุนได้ดีมาก ทั้งๆที่ช่วงครึ่งปีแรก เรามีการประท้วงรายวันบนท้องถนน ดัชนีความมั่นใจทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภคตกต่ำ นักท่องเที่ยวต่างชาติที่เข้ามาเที่ยวเมืองไทยลดลงอย่างมาก การส่งออกก็ติดลบ สร้างความประหลาดใจให้กับนักลงทุนและผู้สนใจอื่นๆทั่วไป ค่าเงินบาทก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงมากนัก โดยค่าเงินบาทเมื่อสิ้นปีพ.ศ. 2556 อยู่ที่ 32.57 บาทต่อดอลลาร์ แล้วแข็งค่ามากสุดที่ 31.64 บาทต่อดอลลาร์ในเดือนกรกฎาคม 2557 และอ่อนค่ามากที่สุดที่ 32.96 บาทต่อดอลลาร์ ในเดือนมกราคม 2557 ไปปิดวันทำการสุดท้ายที่ 32.81 บาทต่อดอลลาร์ (หมายเหตุ ผมใช้อัตราซื้อถัวเฉลี่ยของเงินโอนมาอ้างอิง) แต่หลังจากที่ SET INDEX ขึ้นไปทำจุดสูงสุดที่ 1,602.21 จุด ก็มีการปรับตัวลงทำ LOW ที่ 1,519.76 จุด เมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2557 หลังจากนั้น SET INDEX ก็ค่อยๆปรับตัวขึ้นไปทำจุดสูงสุดของปี 2557 ที่ 1,603.89 จุด เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2557 แต่ SET INDEX วันนั้นปิดเกือบ LOW ของวันโดยปิดที่ 1,575.55 จุด ขึ้นมาจากจุดต่ำสุดของวันที่ 1,573.49 จุด หลังจากวันนั้น SET INDEX ก็ไหลลงมาตลอดจนถึงวันที่ 15 ธันวาคม 2557 ซึ่งนับว่าเป็นวันมหาวิปโยคของนักลงทุนทั้งหลายที่มีหุ้นไทยอยู่ในพอร์ต เพราะว่า SET INDEX ได้ลงจาก 1,514.95 จุด ซึ่งเป็นดัชนี ณ สิ้นวันที่ 12 ธันวาคม 2557 ไปทำจุดต่ำสุดที่ 1,375.99 จุด โดยลงไป 138.96 จุด คิดเป็น 9.17% ก่อนขึ้นมาปิดที่ 1,478.49 จุด รีบาวน์ขึ้นมาจากจุดต่ำสุดของวันถึง 102.50 จุด คิดเป็นการดีดตัวขึ้นถึง 7.45% จากการที่ราคาน้ำมันลดลงอย่างมาก กลุ่มพลังงานและปิโตรเคมีซึ่งถ่วงน้ำหนักใน SET INDEX พอสมควร เมื่อราคาหุ้นกลุ่มเหล่านี้ตกลงทำให้ดัชนีตกลงตาม พลอยทำให้สภาวะตลาด (SENTIMENT) เสียไป นักลงทุนจึงเทขายหุ้นทั้งกระดาน กอปรกับหุ้นได้ตกลงมาก่อนหน้านี้หลายวันแล้ว ทำให้นักลงทุนที่ใช้ MARGIN โดน FORCE SELL บวกกับการเทขายของกลุ่มนักลงทุนที่ใช้ TRADING PROGRAM เมื่อหุ้นตกลงมาถึงจุดหนึ่งโปรแกรมก็สั่งขาย แรงขายของผรั่งที่วันนั้น NET SELL เกือบ 5,000 ล้านบาทและข่าวลืออัปมงคลผสมโรงอีก

ลองคิดดูสิครับ ถ้าท่านไปตัดขาดทุน (CUT LOSS) ในช่วงที่เป็นจุดต่ำสุดแล้วมาดูราคาปิด คงช้ำใจน่าดู เพราะว่ามีหุ้นหลายตัวที่ลงไปมากกว่า 20% แล้วขึ้นมาปิดที่ราคาลดลงเหลือเพียง 3-4% หลายตัวเลยทีเดียว ที่น่าเห็นใจที่สุดก็คือกลุ่มนักลงทุนที่ใช้ MARGIN ที่โดน FORCE SELL แล้วบังเอิญโบรคเกอร์จับขายช่วงที่หุ้นเหล่านั้นไปทำจุดต่ำสุดหรือใกล้จุดต่ำสุดของวัน ซึ่งหลังจากนั้นอีกไม่กี่วันถัดมา SET INDEX ก็ขึ้นไปทำ HIGH ที่ 1,539.23 จุดเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2557 ขึ้นมาจาก LOW วันที่ 15 ธันวาคม 2557 ถึง 163.24 จุดคิดเป็น 11.86% และ SET INDEX ก็ไปปิดที่ 1,497.67 จุด ขึ้นมาจากจุดปิด ณ วันสิ้นปีที่แล้ว (ปี 2556) ถึง 198.96 จุด คิดเป็น 15.32% เมื่อรวมกับ DIVIDEND YIELD ที่ประมาณ 3-4% ผลตอบแทนจากการลงทุนในตลาดหุ้นเมื่อปีที่แล้วประมาณ 19% นับว่าไม่น้อยเลยทีเดียว เมื่อเทียบกับผลตอบแทนจากการลงทุนในตลาดหุ้นอื่นๆทั่วโลก รวมทั้งการลงทุนในสินทรัพย์ประเภทอื่นๆ ทั้งๆที่สภาวะทางเศรษฐกิจและการเมืองที่ไม่ดีเอาเสียเลย ฉบับหน้าเรามาดูสถิติย้อนหลังการขึ้นและลงของดัชนีตลาดหลักทรัพย์ที่มากที่สุดตั้งแต่มีการก่อตั้งตลาดหลักทรัพย์ขึ้นมากันต่อครับ


    กิติชัย เตชะงามเลิศ
           21/01/58

        ถ้าท่านชอบบทความผม ท่านสามารถสมัครสมาชิกโดยเอาเม้าส์ไปทางด้านขวามือจะมีแถบแสดงออกมา แล้วเลือกคลิกไอคอนที่เขียนว่าสมัครรับข้อมูล เมื่อผมมีบทความใหม่ ท่านก็จะทราบทันที
ติดตามสาระดีๆทั้งไลฟ์สไตล์และการลงทุนได้ที่ Facebook : https://www.facebook.com/VI.Kitichai Twitter : http://twitter.com/value_talk Instagram : Gid_Kitichai Blog : http://kitichai1.blogspot.com You Tube : http://www.youtube.com/user/wittayu9 Google+ : https://www.google.com/+KitichaiTaechangamlert Linkedin : https://www.linkedin.com/in/homeproperty Pinterest : http://www.pinterest.com/kitichai/ หรือหนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ทุกวันพุธหน้า B6 หนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ และนิตยสารคนรวยหุัน, Condo Guide, Glow, และ Me(Market Evolution) ทุกเดือน รายการ Whats's up Spring ช่อง Spring News TV ทุกวันพุธ ช่วง What's up Money เวลา 10.15-11.00 น. ถ้าท่านชอบบทความผม ท่านสามารถสมัครสมาชิกโดยเอาเม้าส์ไปทางด้านขวามือจะมีแถบแสดงออกมา แล้วเลือกคลิกไอคอนที่เขียนว่าสมัครรับข้อมูล เมื่อผมมีบทความใหม่ ท่านก็จะทราบทันที หาอสังหาทั้งถูกและดีเพื่ออยู่เองหรือเพื่อการลงทุน ได้ที่ http://www.pantipmarket.com/mall/homeproperty

วันจันทร์ที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2558

สถิติ SET INDEX ที่ท่านอาจไม่รู้ ตอนที่ 2



สัปดาห์นี้เรามาดูสถิติของ SET INDEX กันต่อครับ หลังจากที่ SET INDEX ขึ้นไปสร้างจุดสูงสุดที่ 1,789.16 จุด เมื่อเดือนมกราคม 2537 ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ก็เปลี่ยนทิศทางเป็นขาลงหลังจากที่มีแนวโน้มเป็นขาขึ้นมาตลอดช่วงเวลา 18 ปี 9 เดือน โดยลงไปถึง 204.59 จุด ในเดือนกันยายน 2541 คือลงไปถึง 1,584.57 จุด หรือ 88.60% ภายในเวลาเพียง 4 ปี 8 เดือน ลองคิดเล่นๆดูสิครับ ว่าถ้าท่านอยู่ในตลาดหุ้นในช่วงเวลานั้น ชีวิตของท่านจะเป็นอย่างไร เงินลงทุนของท่าน สมมติว่า 1 ล้านบาท จะเหลือเพียง 114,000 บาท มีนักลงทุนที่ฆ่าตัวตายทั้งที่เป็นข่าวและไม่เป็นข่าวหลายคนเลยทีเดียว สุภาษิตบทหนึ่งที่เขียนไว้เตือนใจนักลงทุนก็คือ อย่าเอาไข่ใส่ไว้ในตะกร้าใบเดียว เพราะว่ามันจะแตกง่าย ถ้าช่วงนั้นท่านนำทรัพย์สินทั้งหมดมาลงทุนในตลาดหุ้น นั่นหมายถึงเงินออมที่อดออมมาจากน้ำพักน้ำแรงที่ท่านอุตสาหะ ต้องแทบจะหมดสิ้นเนื้อประดาตัวกันเลยทีเดียว ผมจึงย้ำแล้วย้ำอีกว่า ควรจะมีการจัดสรรเงินลงทุนลงในสินทรัพย์หลายประเภท ซึ่งในหนังสือ ออมจากน้อยเป็นร้อยล้าน ผมได้เขียนถึงสินทรัพย์ในแต่ละประเภทที่ท่านควรจะลงทุนและสัดส่วนที่เหมาะสมของสินทรัพย์ในแต่ละประเภทตามช่วงวัย ขนาดของเงินลงทุน อุปนิสัยส่วนตัว ความสามารถในการยอมรับความเสี่ยง ฯลฯ สาเหตุที่ SET INDEX ถึงได้ลงวินาศสันตะโรขนาดนั้น เกิดจากวิกฤติต้มยำกุ้งที่เริ่มต้นจากประเทศไทยแล้วแพร่ระบาดไปในหลายๆประเทศใน ASEAN ไม่ว่าจะเป็น ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย ฯลฯ แม้กระทั่งเกาหลีเองก็โดนผลกระทบวิกฤตนี้จนแทบจะไม่สามารถที่จะรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและการเงินไว้ได้ ค่าเงินบาทที่เคยผูกไว้กับเงินดอลลาร์สหรัฐที่ 27 บาทต่อดอลลาร์ก็อ่อนปวกเปียกจนไปถึงเกือบ 60 บาทต่อดอลลาร์ ผมยังจำได้ว่าผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยในยุคนั้นได้นำทุนสำรองไปสู้กับนักเก็งกำไรค่าเงินตัวเป้งเลยก็คือ นาย George Soros ซึ่งคนไทยยุคนั้นไม่เคยลืม มีการเปิดแชมเปญฉลองกัน นึกว่าเราจะชนะและรักษาค่าเงินบาทไว้ได้ ที่ไหนได้เราแพ้และสูญเสียทุนสำรองเป็นจำนวนมากและค่าเงินบาทก็อ่อนปวกเปียก เศรษฐกิจไทยตกต่ำ คนตกงานเต็มไปหมด คล้ายๆกับวิกฤตรัสเซียและค่าเงินรูเบิลในช่วงนี้ ในสมัยนั้นมีนักท่องเที่ยวและคนไทยที่มีฐานะ ก็ใช้โอกาสนี้ในการช้อปปิ้งสินค้านำเข้าราคาแพงๆ เช่นนาฬิกาสวิส ไวน์แพงๆ รถยนต์นำเข้า ฯลฯ ที่ยังไม่ได้ปรับราคาขึ้นตามค่าเงิน หลายๆคนก็ตุนเงินดอลลาร์ไว้เพราะว่าเห็นค่าเงินบาทที่อ่อนตัวลงเรื่อยๆ พฤติกรรมก็คล้ายคนรัสเซียในช่วงนี้ที่แห่ซื้อสินค้านำเข้าราคาแพงรวมไปถึงเครื่องครัวนำเข้าราคาแพง จนร้าน IKEA ต้องหยุดการจำหน่ายสินค้าดังกล่าวชั่วคราว เพื่อรอดูแนวโน้มที่ชัดเจนของค่าเงินรูเบิล ช่วงนี้ถ้าไม่ติดว่าเป็นฤดูหนาวที่อุณหภูมิติดลบที่รัสเซียและผมเพิ่งกลับจากเที่ยวทริปเมืองจีน 22 วัน ผมจะเตรียมเงินไปช้อปปิ้งที่มอสโคว์และท่องเที่ยวในรัสเซียในฐานะที่เป็นประเทศที่ผมไม่เคยไปเที่ยวมาก่อน ค่าใช้จ่ายต่างๆไม่ว่าจะเป็นค่าโรงแรม (ถ้าโรงแรมในรัสเซียไม่ชาร์จจาก RATE ของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ) ค่ากิน ค่าเที่ยว ค่าเดินทางภายในรัสเซียน่าจะประหยัดเงินได้มากโขอยู่ จากการที่รัสเซียเป็นเมืองที่ขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองที่มีค่าใช้จ่ายในการท่องเที่ยวแพงติดอันดับโลก ผมยังชั่งใจว่าจะไปเที่ยวรัสเซียช่วงสงกรานต์ ไม่รู้ว่าค่าเงินรูเบิลในช่วงเวลานั้นยังจะอ่อนค่าเหมือนในปัจจุบันหรือไม่ คงต้องติดตามดูราคาพลังงานทั้งน้ำมันและแก๊ส ซึ่งเป็นสินค้าส่งออกที่มีมูลค่าสูงที่สุดของรัสเซีย และปัญหาการเมืองระหว่างประเทศในยูเครน ซึ่งจะส่งผลต่อเศรษฐกิจและค่าเงินรูเบิลของรัสเซีย

 ยังมีสถิติ SET INDEX ที่น่าสนใจ ที่ผมจะนำมาเล่าสู่กันฟังอีกในสัปดาห์หน้า ติดตามอ่านกันนะครับ

    กิติชัย เตชะงามเลิศ
           14/01/58

        ถ้าท่านชอบบทความผม ท่านสามารถสมัครสมาชิกโดยเอาเม้าส์ไปทางด้านขวามือจะมีแถบแสดงออกมา แล้วเลือกคลิกไอคอนที่เขียนว่าสมัครรับข้อมูล เมื่อผมมีบทความใหม่ ท่านก็จะทราบทันที

ติดตามสาระดีๆทั้งไลฟ์สไตล์และการลงทุนได้ที่ Facebook : https://www.facebook.com/VI.Kitichai Twitter : http://twitter.com/value_talk Instagram : Gid_Kitichai Blog : http://kitichai1.blogspot.com You Tube : http://www.youtube.com/user/wittayu9 Google+ : https://www.google.com/+KitichaiTaechangamlert Linkedin : https://www.linkedin.com/in/homeproperty Pinterest : http://www.pinterest.com/kitichai/ หรือหนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ทุกวันพุธหน้า B6 และนิตยสารคนรวยหุัน, Condo Guide, Glow, และ Me(Market Evolution) ทุกเดือน รายการ Whats's up Spring ช่อง Spring News TV ทุกวันพุธ ช่วง What's up Money เวลา 10.15-11.00 น. ถ้าท่านชอบบทความผม ท่านสามารถสมัครสมาชิกโดยเอาเม้าส์ไปทางด้านขวามือจะมีแถบแสดงออกมา แล้วเลือกคลิกไอคอนที่เขียนว่าสมัครรับข้อมูล เมื่อผมมีบทความใหม่ ท่านก็จะทราบทันที หาอสังหาทั้งถูกและดีเพื่ออยู่เองหรือเพื่อการลงทุน ได้ที่ http://www.pantipmarket.com/mall/homeproperty

วันพุธที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2558

สถิติ SET INDEX ที่ท่านอาจไม่รู้ ตอนที่ 1


พัฒนาการของตลาดทุนไทย  เริ่มต้นเมื่อเดือนกรกฏาคม 2505  โดยได้มีการจัดตั้งตลาดหุ้นกรุงเทพ (BANGKOK STOCK EXCHANGE)  ซึ่งเริ่มต้นจากจดทะเบียนในรูปห้างหุ้นส่วนจำกัด  แล้วมาจดทะเบียนเปลี่ยนเป็นรูปบริษัทจำกัดในปีต่อมา   โดยในสมัยนั้นมีมูลค่าซื้อชายที่น้อยมาก  เนื่องจากไม่ได้รับความสนใจ  จนปี พ.ศ.2511  มีมูลค่าการซื้อขายทั้งปีเป็นจำนวนเงิน 160 ล้านบาท  แล้วค่อยๆลดลงไปเรื่อยๆ จนเหลือเพียง 28 ล้านบาทในปีพ.ศ. 2513  จนในที่สุดตลาดหุ้นกรุงเทพก็ปิดตัวลงในปี พ.ศ. 2515  โดยมีมูลค่าซื้อขายในปีนั้นเพียง 26 ล้านบาทเท่านั้นเทียบกับมูลค่าซื้อขายในปัจจุบันซึ่งตกวันละประมาณ 40,000-60,000 ล้านบาทต่อวัน เหมือนดูหนังคนละม้วนเลยทีเดียว การที่ตลาดหุ้นกรุงเทพไม่ประสบความสำเร็จ น่าจะเป็นเพราะประชาชนในสมัยนั้นยังขาดความรู้และความเข้าใจในเรื่องตลาดหุ้น  อีกทั้งยังขาดการสนับสนุนจากภาครัฐ
แม้ว่าตลาดหุ้นกรุงเทพจะไม่ได้รับความนิยมก็ตาม  แต่ภาครัฐก็เริ่มเล็งเห็นความสำคัญของตลาดทุน  จะเห็นได้จากแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2510-2514)  ซึ่งได้เสนอแผนจัดตั้งตลาดหลักทรัพย์  โดยให้มีมาตรการในการกำกับดูแลและเครื่องมืออำนวยความสะดวกต่างๆ  จนกระทั้งปี พ.ศ 2517 จึงได้มีประกาศใช้ พรบ.ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย  โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้เป็นสถานที่สำหรับซื้อขายหลักทรัพย์  เพื่อส่งเสริมการระดมทุนแก่  ธุรกิจที่ต้องการเงินทุนในการประกอบการ และเป็นช่องทางให้ประชาชนที่ต้องการนำเงินออมมาลงทุนในตลาดทุน  และตลาดหลักทรัพย์ได้เปิดทำการวันแรกเมื่อวันที่ 30 เมษายน 2518  โดยชื่อภาษาอังกฤษในขณะนั้นคือ THE SECURITIES EXCHANGE OF THAILAND ซื่งต่อมาได้เปลี่ยนเป็น THE STOCK EXCHANGE OF THAILAND (SET)  เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2534
เมื่อเรารู้จักที่มาที่ไปของตลาดหลักทรัพย์กันแล้ว  เรามาดูสถิติย้อนหลังที่น่าสนใจว่ามีการขึ้นลงอย่างไรกันครับ

1.                   SET INDEX  ที่เริ่มตันจากฐานที่ 100 จุด เมื่อวันแรกเปิดตลาด  ได้ไปสร้างจุดสูงสุดที่ 1,789.16 จุด  ในเดือนมกราคม 2537  นับว่าเป็นการขึ้นที่ดีมาก คือขึ้นไปถึง  1,689.16 จุดภายในเวลา 18 ปี 9 เดือน  เท่านั้น   คิดเป็นผลตอบแทนในการลงทุนแบบทบตันประมาณ 16.50 %  นั่นหมายความว่าถ้าท่านลงทุนในช่วงเวลาดังกล่าวแล้ว   สามารถสร้างผลกำไรตอบแทนจากการลงทุนได้เทียบเท่าการขึ้นมาของดัชนีตลาดหลักทรัพย์  ก็จะได้รับผลตอบแทนดังกล่าว  บวกกับ อัตราเงินปันผลที่ท่านได้รับจากการถือครองหุ้นเหล่านี้อีก  ซึ่งปกติ DIVIDEND YIELD เฉลี่ยจะอยู่ที่ประมาณ  3-4%  ดังนั้นผลตอบแทนรวมที่ท่านได้รับจะเท่ากับ 20%  (แบบทบต้น)  โดยประมาณ  และถ้าท่านสามารถบริหารพอร์ทการลงทุนของท่านได้ดี  โดยสร้างผลตอบแทนจาการลงทุนได้ดีกว่า SET INDEX ที่ผมใช้เป็น BENCHMARK ผลตอบแทนยิ่งจะสูงขึ้นไปอีก  นี่จึงเป็นสาเหตุหนึ่งที่ดึงดูดผู้มีเงินออมให้นำเงินออมมาลงทุนในตลาดหุ้นทั้งทางตรง  (ลงทุนซื้อหุ้นเอง)  และทางอ้อม (ลงทุนผ่านกองทุนรวมที่ลงทุนในตราสารทุน)  แม้ว่าในช่วงเวลาดังกล่าว  จะครอบคลุมไปถึงเหตุการณ์ BLACK MONDAY  (ตุลาทมิฬ)  ที่สร้างความเสียหายให้แก่นักลงทุนทั่วโลกรวมทั้งไทย ที่มีจุดเริ่มตันจากสหรัฐอเมริกาที่มีการเทขายอย่างหนักหน่วง  ทำให้ตลาดหุ้นอเมริกาตกระเนระนาดพลอยทำให้ตลาดอื่นๆ ทั่วโลก  ต้องพลอยถูกแรงขายเทกระหน่ำ  ราวกับว่าตลาดหลักทรัพย์จะเจ๊ง  โดยเฉพาะ SET INDEX ของเราลงจาก 472.86 จุด  ไปทำจุดต่ำสุดที่ 243.97  จุด  คิดเป็น 48.41 % ภายในเวลาเพียง 2 เดือน  ลองคิดดูเล่นๆครับ  ถ้าท่านมีพอร์ดลงทุน 1 ล้านบาท  ท่านจะขาดทุนเท่าใด ลองเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นอุทาหรณ์เตือนใจในการลงทุนครั้งต่อๆ ไปของท่าน  เพื่อให้การลงทุนของท่านมีความระมัดระวัง  และรอบคอบมากขึ้น  และลงทุนไม่เกินตัว   สำหรับนักลงทุนมาร์จิน  ถ้าเจอสภาพแบบนี้เงินลงทุนของท่านจาก 1 ล้านซื้อหุ้นไป 2 ล้านบาท  (ใช้วงเงินมาร์จินจากโบรคเกอร์อีก 1 ล้าน)  หุ้นตก 48.41 %  เท่ากับขาดทุนไป 968,200  เมื่อบวกกับดอกเบี้ยเงินกู้มาร์จิน   ท่านแทบจะไม่เหลือเงินเลย   นั่นหมายถึงการสูญเงินลงทุนทั้งจำนวนภายในเวลา 2 เดือนเลยครับ  เห็นอย่างนี้แล้วรู้สึกอย่างไรกันครับ  ฉบับหน้าผมจะนำสถิติของ SET INDEX มาเล่าให้ฟังกันต่อครับ


    กิติชัย เตชะงามเลิศ
           07/01/58

        ถ้าท่านชอบบทความผม ท่านสามารถสมัครสมาชิกโดยเอาเม้าส์ไปทางด้านขวามือจะมีแถบแสดงออกมา แล้วเลือกคลิกไอคอนที่เขียนว่าสมัครรับข้อมูล เมื่อผมมีบทความใหม่ ท่านก็จะทราบทันที

       เพียงคุณออมแบบผมทุกเดือนๆละ 8,333 บาทผ่านไป 30 ปีคุณจะกลายเป็นเศรษฐี 100 ล้านแบบง่ายๆ รายละเอียดอยู่ในหนังสือ"ออมจากน้อยเป็นร้อยล้าน"ซึ่งวางจำหน่ายแล้วตามร้านหนังสือชั้นนำทั่วไปครับ
หนังสือ "จาก 1 ล้านเป็น 500 ล้าน ผมทำอย่างไร" ยอดขายขื้นอันดับหนื่งตั้งแต่วันแรกจำหน่ายและครองอันดับ 1 ติดต่อกันมานาน
    ติดตามสาระดีๆทั้งไลฟ์สไตล์และการลงทุนได้ที่
 Facebook : https://www.facebook.com/VI.Kitichai
 Twitter : http://twitter.com/value_talk
 Instagram : Gid_Kitichai
 Blog : http://kitichai1.blogspot.com
 YouTube : http://www.youtube.com/user/wittayu9
 Google+ : https://www.google.com/+KitichaiTaechangamlert
 Linkedin : https://www.linkedin.com/in/homeproperty
 Pinterest : http://www.pinterest.com/kitichai/
   หรือหนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ทุกวันพุธหน้า B6 หนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ และนิตยสารคนรวยหุัน, Condo Guide, Glow, และ Me(Market Evolution) ทุกเดือน รายการ Whats's up Spring ช่อง Spring News TV ทุกวันพุธ ช่วง What's up Money เวลา 10.15-11.00 น. ถ้าท่านชอบบทความผม ท่านสามารถสมัครสมาชิกโดยเอาเม้าส์ไปทางด้านขวามือจะมีแถบแสดงออกมา แล้วเลือกคลิกไอคอนที่เขียนว่าสมัครรับข้อมูล เมื่อผมมีบทความใหม่ ท่านก็จะทราบทันที
   หาอสังหาทั้งถูกและดีเพื่ออยู่เองหรือเพื่อการลงทุน ได้ที่ http://www.pantipmarket.com/mall/homeproperty

วันจันทร์ที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2558

สิ่งที่ควรทำช่วงปลายปี ตอนจบ

   
       

สัปดาห์ที่แล้วผมได้พูดถึงสิ่งที่ควรทำช่วงปลายปีไป 4 ข้อแล้วสัปดาห์นี้เรามาต่ออีก 3 ข้อที่เหลือกันเลยครับ
5).อย่าลืมนำเงินปันผลมาเครดิตภาษี และตรวจสอบดูว่าสามารถนำค่าใช้จ่ายอะไรบ้างที่นำมาลดหย่อนภาษีได้ เช่นดอกเบี้ยกู้ซื้อที่อยู่อาศัยตามที่จ่ายจริงแต่ไม่เกิน 100,000 บาท เงินบริจาคแก่สถานศึกษา ลดหย่อนภาษีได้ 2 เท่า เงินบริจาคแก่วัดวาอาราม มูลนิธิ ลดหย่อนภาษีได้ตามจริง แต่ไม่เกิน 10% ของรายได้หลังหักลดหย่อนค่าใช้จ่ายอื่นๆแล้ว และค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตร บิดามารดา คนพิการ เบี้ยประกันสุขภาพบิดามารดาของผู้มีเงินได้และคู่สมรส ซึ่งมีเงื่อนไขบางประการ ลองศึกษาดูจากคู่มือวิธีการกรอกแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเพิ่มเติมครับ
6). ตรวจสุขภาพประจำปี โดยเฉพาะท่านที่มีอายุ 40 ปี ขึ้นไปควรจะตรวจทุกๆ ปี และท่านที่มีอายุ 60 ปี ขึ้นไปควรจะตรวจปีละ 2 ครั้ง ทำให้เราทราบว่า ช่วงเวลาที่ผ่านมา ลักษณะการใช้ชีวิตเราเป็นการส่งเสริมหรือทำลายสุขภาพของเราเอง ถ้าท่านมีกำลังทรัพย์มากหน่อย การตรวจดูว่าร่างกายท่านมีแร่ธาตุ วิตามิน ฮอร์โมนต่างๆ มากหรือน้อยเกินไป อะไรที่ขาดก็พยายามทานผักผลไม้ที่ให้แร่ธาตุ วิตามิน ที่ขาด หรืออาจทานอาหารเสริมตัวที่ขาด และลดหรือหลีกเลี่ยงการทานอาหารที่มีแร่ธาตุ วิตามินตัวที่ร่างกายมีมากเกินไป และตรวจเสริมดูว่าร่างกายเราแพ้อาหารชนิดใด จะได้หลีกเลี่ยงอาหารประเภทนั้น มิฉะนั้นจะทำให้เกิดการอักเสบขึ้นภายในร่างกาย การเกิดขึ้นบ่อยๆ จะเป็นการสะสม ทำให้เกิดโรคร้ายแรงในภายหลังได้ ยึดหลักง่ายๆคือ รับประทานอย่างไรได้อย่างนั้น ควรรับประทานอาหารในปริมาณพอเหมาะ เลือกทานอาหารสดใหม่ได้โภชนาการ ทานผักผลไม้ให้ได้หลายสีสัน ทานปลาและเนื้อสัตว์ต่างๆ ลดการทานน้ําตาลและคาร์โบไฮเดรต การป้องกันดีกว่าการรักษา ต้นทุนของการป้องกันนั้นถูกกว่าค่ารักษาพยาบาลมาก ปัจจุบันค่ารักษาพยาบาลโดยเฉพาะในโรงพยาบาลเอกชนสูงมาก ดังนั้นการที่มีสุขภาพที่แข็งแรงทำให้ท่านประหยัดค่าใช้จ่ายด้านนี้ไปได้มาก ทำให้ท่านมีเงินเหลือที่จะไปลงทุนเพื่อสร้างผลตอบแทนและเสริมความมั่นคงให้กับชีวิตของท่าน
7). วางแผนทั้งด้านการลงทุนและการใช้ชีวิตในปีหน้าว่าจะดำเนินไปในทางใด โดยปกติช่วงปลายปีผมจะคิดว่าปีใหม่นี้ผมควรจะกำหนด New Year Resolution ไว้ ซึ่งปีนี้ New Year Resolution ของผมจะให้ความสำคัญทั้งร่างกายและจิตใจ โดยผมตั้งใจจะทำดังนี้
            ก.  นอนหลับให้เร็วขึ้น ตั้งใจจะนอนก่อน 22.30 น.เพราะว่าช่วงเวลา 22.00—01.00น. ร่างกายคนเราจะหลั่ง Melatonin เพื่อไปกระตุ้นต่อมใต้สมองให้ผลิต Growth Hormone เพื่อซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ อันมีผลให้มีสุขภาพที่แข็งแรง
          ข. จะลุกจากเก้าอี้ทำงานเพื่อเปลี่ยนอิริยาบถทุก 1-2 ชั่วโมง เพื่อลดอาการ Office Syndrome
            ค.  ออกกำลังกายและฝึกโยคะ สัปดาห์ละไม่ต่ำกว่า 3 ครั้ง นอกจากทำให้สุขภาพแข็งแรงแล้ว ยังช่วยลดอาการเจ็บปวดจากอาการ Office Syndrome ได้เป็นอย่างดี และการออกกําลังกายสามารถช่วยเพิ่มระดับฮอร์โมนที่กันแก่ชราได้
            ง.  เดินสูดอากาศและรับแดดยามเช้าช่วงเวลา 7.00-8.00 น. สัปดาห์ละไม่น้อยกว่า  1 ครั้งที่สวนสาธารณะ เพื่อฟอกปอดและช่วยให้ร่างกายสร้าง Vitamin D ทำให้กระดูกแข็งแรง ลดโอกาสเป็นโรคกระดูกพรุน
            จ.  เลือกทานอาหารเพื่อสุขภาพ(ดีกว่าต้องมาทานยา) ลดและพยายามเลิกทานอาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพ
            ฉ.  เดินทางท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศบ่อยขึ้น เป็นการให้รางวัลชีวิตที่ดีมาก สุขภาพจิตก็จะดีตามไปด้วย เดินทางท่องเที่ยวบางครั้งยังทำให้ผมได้ไอเดียบางอย่างเพื่อประกอบการตัดสินใจในการลงทุนด้วยเช่นกัน
          จะเห็นว่าผมเน้นในเรื่องสุขภาพทั้งร่างกายและจิตใจ เพราะว่าปัจจุบันค่ารักษาพยาบาลสูงมาก ต้นทุนของการดูแลสุขภาพนั้นถูกกว่าค่ารักษาพยาบาลเป็นอย่างมาก และสุขภาพที่ไม่ดีจะเป็นตัวลดความมั่งคั่งของท่านอย่างมาก อย่าให้การมีอายุยืนกลายเป็นความเสี่ยงของชีวิต บทความนี้ขอส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ขอให้ท่านผู้อ่านประสบความสำเร็จในการลงทุนมีสุขภาพทั้งร่างกายและจิตใจที่แข็งแรงและเฮงๆรวยๆกันถ้วนหน้านะครับ



    กิติชัย เตชะงามเลิศ
           31/12/57

   ถ้าท่านชอบบทความผม ท่านสามารถสมัครสมาชิกโดยเอาเม้าส์ไปทางด้านขวามือจะมีแถบแสดงออกมา แล้วเลือกคลิกไอคอนที่เขียนว่าสมัครรับข้อมูล เมื่อผมมีบทความใหม่ ท่านก็จะทราบทันที

ติดตามสาระดีๆทั้งไลฟ์สไตล์และการลงทุนได้ที่ Facebook : https://www.facebook.com/VI.Kitichai Twitter : http://twitter.com/value_talk Instagram : Gid_Kitichai Blog : http://kitichai1.blogspot.com You Tube : http://www.youtube.com/user/wittayu9 Google+ : https://www.google.com/+KitichaiTaechangamlert Linkedin : https://www.linkedin.com/in/homeproperty Pinterest : http://www.pinterest.com/kitichai/ หรือหนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ทุกวันพุธหน้า B6 และนิตยสารคนรวยหุัน, Condo Guide, Glow, และ Me(Market Evolution) ทุกเดือน รายการ Whats's up Spring ช่อง Spring News TV ทุกวันพุธ ช่วง What's up Money เวลา 10.15-11.00 น. ถ้าท่านชอบบทความผม ท่านสามารถสมัครสมาชิกโดยเอาเม้าส์ไปทางด้านขวามือจะมีแถบแสดงออกมา แล้วเลือกคลิกไอคอนที่เขียนว่าสมัครรับข้อมูล เมื่อผมมีบทความใหม่ ท่านก็จะทราบทันที หาอสังหาทั้งถูกและดีเพื่ออยู่เองหรือเพื่อการลงทุน ได้ที่ http://www.pantipmarket.com/mall/homeproperty