จาก1ล้านเป็น500ล้านผมทำอย่างไร

จาก1ล้านเป็น500ล้านผมทำอย่างไร
เล่าประสบการณ์การลงทุนของผมที่นำไปใช้ได้ง่ายๆ

วันอังคารที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2556

ภาวะเศรษฐกิจและการส่งออก


ภาวะเศรษฐกิจและการส่งออก

          กระทรวงพาณิชย์เพิ่งประกาศตัวเลขส่งออกเดือนมกราคม  ที่ทำได้ค่อนข้างดีทีเดียวมีมูลค่า 18,629 ล้านเหรียญสหรัฐโตขึ้น 16.09% ขณะที่ตัวเลขนำเข้า 23,756 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 40.87% ส่งผลให้เดือนมกราคม ขาดดุลการค้า 5,487 ล้านเหรียญ   โดยในเดือนมกราคมมีการนำเข้าเครื่องบินมูลค่า 600 ล้านเหรียญ บวกกับการนำเข้าทองคำมูลค่า  2,700  ล้านเหรียญ ถ้าหัก 2 รายการนี้ออกไป  ยอดขาดดุลการค้าก็จะเหลือเพียง 2,150 ล้านเหรียญ แต่ยังไม่น่าหนักใจ เพราะสินค้านำเข้าอื่นๆ ส่วนใหญ่จะเป็นสินค้าทุนเครื่องจักร และวัตถุดิบ เพื่อนำมาใช้ในการผลิตสินค้า ส่วนหนึ่งน่าจะเป็นค่าบาท ที่แข็งขึ้นอย่างรวดเร็ว จึงทำให้มีการเร่งนำเข้าสินค้าดังกล่าวมากขึ้น กอรปกับราคาทองในตลาดโลกที่ต่ำลง จึงมีการนำเข้ามาค่อนข้างมาก โดยเฉพาะเป็นช่วงเวลาใกล้เทศกาลตรุษจีน  ซึ่งทั้งคนไทยและคนไทยเชื้อสายจีน นิยมมาซื้อทองในช่วงเวลานี้  ส่วนตลาดส่งออกจะเห็นได้ว่าตลาดหลักๆ มีการขยายตัวค่อนข้างดีทีเดียว  โดยสหรัฐขยายตัว 16.70% สภาพยุโรปขยายตัว 24.5% ทั้งๆ ที่เศรษฐกิจหลายประเทศในสภาพนี้ มีปัญหาเศรษฐกิจอยู่  ASEAN ขยายตัว 18%  จีน 19.40%  อินเดียขยายตัวน้อยมากเพียง 5.90% ขณะที่ฮ่องกงขยายตัวถึง 74.10% และเกาหลีขยายตัว 24.70%  โดยสินค้าอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น 20.90% โดยมียานยนต์และชิ้นส่วนเป็นพระเอกขยายตัวมากขึ้น 40.30%  ขณะที่กลุ่มอิเล็กทรอนิคส์ขยายตัว  20.80% และกลุ่มผลิตภัณฑ์พลาสติกขยายตัว 22.80% ส่วนด้านสินค้าเกษตรกรรมขยายตัวเพียง 7.20% โดยมีข้าวเป็นพระเอกขยายตัวถึง 31.30% เพราะว่าปี 2554 เราส่งออกข้าวลดลง จากราคาข้าวของเราที่ตั้งราคาสูงมาก ทำให้คู่แข่งของเราโดยเฉพาะเวียดนามแย่งตลาดข้าวของเราไปมาก รองลงมาเป็นผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังขยายตัวถึง 26.50% กลุ่มอาหารทะเลเพิ่มขึ้น  17.10% ขณะที่ผู้ร้ายก็คือ  น้ำตาล ส่งออกลดลงถึง 36.60%
          หันมาดูสินค้านำเข้าหมวดเชื้อเพลิงเพิ่มขึ้นถึง 61% โดยน้ำมันสำเร็จรูปเพิ่มขึ้น 135.10% น้ำมันดิบเพิ่มขึ้น 42.40% เรามาคอยดูตัวเลขนำเข้าสินค้าหมวดนี้กันทุกเดือน ดูว่าจะมีการนำเข้าเพิ่มขึ้นแค่ไหน นโยบายรถคันแรกมีทั้งข้อดีและข้อเสียมากมาย ข้อดีคือกระตุ้นการใช้จ่าย ทำให้กลุ่มอุตสาหกรรมรถยนต์และชิ้นส่วนมียอดขายดีขึ้น เศรษฐกิจก็ดีขึ้น เมื่อยอดขายมากขึ้นก็กระตุ้นให้เกิดการขยายกำลังการผลิต มีเม็ดเงินลงทุนมากขึ้น การสร้างงานมากขึ้นรายได้ของคนงานก็มากขึ้นไปด้วยคนมีงานทำมากขึ้น แต่ข้อเสียก็คือทำให้ต้องมีการนำเข้าชิ้นส่วนบางอย่างที่ประเทศไทยผลิตไม่ได้ทำให้รถติดมากขึ้น มีการเผาผลาญพลังงานมากขึ้น  การสูญเสียเงินตราต่างประเทศในการนำเข้าน้ำมันมากขึ้นจากตัวเลขนำเข้าน้ำมันเดือนมกราคม  ก็เริ่มเห็นสัญญาณดังกล่าวได้เงินเกือบแสนล้านสำหรับโครงการถคันแรก  สามารถไปทำส่วนขยายรถไฟฟ้าได้ 3-4 สาย
          กระทรวงพาณิชย์คาดว่าการส่งออกของไทยปีนี้น่าจะโตประมาณ 8-9% โดยจะมียอดส่งออกทั้งปี ประมาณ 250,410 ล้านเหรียญ โดยคาดว่ากลุ่มนี้จะมีการเติบโตที่ดีคือ กลุ่มรถยนต์และชิ้นส่วน กลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้า ผลิตภัณฑ์ยาง อาหารทะเล และไก่แปรรูป โดยจะพยายามขยายตลาดในอินเดียและแอฟริกามากขึ้น ซึ่งผมเชื่อว่ามีโอกาสเป็นไปได้สูง ถ้าค่าบาทไม่แข็งไปถึง 28 บาท/เหรียญสหรัฐ ตามที่ BoAML (แบงค์ออฟอเมริกาเมอร์ริลรินซ์) ทำนายไว้  ซึ่ง BoAML ยังทำนายอีกว่า ปีหน้า ค่าเงินบาทจะแข็งไปถึง 27 บาท  ผู้ส่งออกทั้งหลายควรจะทำฟอร์เวิร์ดไว้บ้างก็จะดีนะครับ มิฉะนั้นหลังจากส่งของไปแล้วพอเรียกเก็บเงิน  แลกกลับมาเป็นเงินบาท จะได้เป็นจำนวนเงินที่น้อยกว่าที่คำนวณไว้แต่แรก  ทำให้กำไรลดลงได้
          ส่วนดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม  ซึ่งรายงานโดยสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ) คาดว่าปีนี้จะขยายตัว 5-6% โดยเดือนมกราคมดัชนีดังกล่าวอยู่ที่ 175.97 เพิ่มขึ้น 10.10% YOY เพราะต้นปี 2555 เรายังได้รับผลกระทบของภาวะน้ำท่วมใหญ่เมื่อปลายปี 2554 ทำให้ผลผลิตอยู่ในระดับต่ำ โดยอุตสาหกรรมยานยนต์มีการผลิตถึง  236,025 คัน โตขึ้น 68.10%  โดยคาดว่าไตรมาส 1 ปีนี้  จะผลิตได้ 711,662 คัน โดขึ้น 42.51% ทั้งปีจะอยู่ที่ 2.80 ล้านคัน โตขึ้น 14.80% โดยขายในประเทศ 1.60 ล้าน ส่งออก 1.20 ล้านคัน  
          แต่ว่าตัวเลขที่ (สศอ) ทำนายไว้จะเป็นจริงหรือเปล่ายังน่าสงสัยนะครับ โดยเฉพาะตัวเลขยอดขายในประเทศ  เพราะโตโยต้า เจ้าตลาดรถยนต์ในไทย คาดว่ายอดขายรถยนต์ในประเทศน่าจะอยู่ที่ 1.20 ล้านคันเท่านั้นจากยอดขายปีที่แล้วที่ 1.43 ล้านคัน ซึ่งผมเชื่อในคาดการณ์ของโตโยต้ามากกว่า เพราะว่ายอดขายปี 2555 เป็นยอดขายซึ่งเกิดจากการรวม DEMAND ของไตรมาส 4 ปี 2554 ช่วงน้ำท่วมบวกกับ DEMAND ของปี 2555 เอง และบวกกัน DEMAND ส่วนหน้าของปี 2555 และ DEMAND จากโครงการรถคันแรก จึงเป็นยอดขายผิดปกติ  ซึ่งอาจทำให้ยอดขาย 4-5 เดือนแรกของปีนี้ยังอยู่ดีอยู่  จากการส่งมอบรถให้แก่ผู้จองเมื่อปลายปีที่แล้ว เราจะเห็นการขยายตัวแบบติดลบในครึ่งปีหลังของปีนี้แน่นอน

          กลับมาดูที่ตลาดหุ้น  ยิ่งสูงก็ยิ่งหนาวนะครับ ผมยังมั่นใจว่าจะเห็นการปรับตัวลงระดับ 100 จุดขึ้นไปในเดือนมีนาคมนี้ ท่านที่ยังไม่ได้ซื้อหุ้น เอามือกุมกระเป๋าสตางค์ของท่านไว้ก่อน รอการปรับตัวที่จะเกิดขึ้นเร็วๆ นี้ แล้วค่อยเลือกดูว่าจะซื้อหุ้นตัวไหนลงทุนนะครับ ขอให้ท่านผู้อ่านโชคดีในการลงทุนนะครับ


ติดตามแนวทางการลงทุนของผมได้ที่ 
https://www.facebook.com/VI.Kitichai , http://twitter.com/value_talk , http://www.youtube.com/user/wittayu9 และ http://kitichai1.blogspot.com

หรือหนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ทุกวันพุธหน้า B6 หรือหน้า B10 และนิตยสารคนรวยหุัน, Condo Guide, Stock Review, Me(Market Evolution), Glow และ Lisa  ทุกเดือน
     
สนใจซื้ออสังหาเพื่ออยู่เองหรือเพื่อการลงทุน ลองเข้า http://www.pantipmarket.com/mall/homeproperty

กิติชัย เตชะงามเลิศ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น