จาก1ล้านเป็น500ล้านผมทำอย่างไร

จาก1ล้านเป็น500ล้านผมทำอย่างไร
เล่าประสบการณ์การลงทุนของผมที่นำไปใช้ได้ง่ายๆ

วันอาทิตย์ที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

ธปท.-กนง (ตอนที่ 3 ต้มยำกุ้ง (ต่อ)



                                                    ธปท.-กนง (ตอนที่ 3 ต้มยำกุ้ง (ต่อ)

               2 บทความที่แล้วนอกจากกล่าวถึงความเป็นมาของธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)และ คณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.) รวมถึงบทบาทของ ธปท.ในช่วงที่ไทยเกิดวิกฤติเศรษฐกิจต้มยำกุ้งในปี 2541 และผลกระทบต่อนักลงทุน นักเก็งกำไร และประชาชนทั่วไป โดยผมค้างไว้ถึงช่วงที่ผมต้องตัดขาดทุนขายหุ้นไปบางส่วน เพื่อล้างหนี้ MARGIN  เพื่อเก็บสภาพคล่องไว้กับตัวบางส่วน เพราะว่าไม่แน่ใจว่าวิกฤติต้มยำกุ้งจะคงอยู่กับประเทศไทยนานเพียงใด แต่จากที่ร่ำเรียนมา วัฏจักรเศรษฐกิจมีขาลงและขาขึ้น เพียงแต่ไม่ว่าช่วงเวลาที่ใช้ในการฟื้นตัวจะเป็นรูปตัว V หรือตัว U ที่ฐานแคบหรือกว้างก็ยังคาดเดาไม่ถูกในสมัยนั้น แต่คาดว่าน่าจะเป็นตัว U ฐานกว้าง แล้วก็เป็นจริง คือเราต้องจมอยู่ในภาวะเศรฐกิจถดถอยไปหลายปีเลยทีเดียว กว่าเศรฐกิจไทยจะโงหัวขึ้น ช่วงนั้นผมแทบจะหยุดกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการเก็งกำไรทุกชนิด รักษาเงินที่มีอยู่เอาไว้ไม่ให้เสียหายเพิ่มเติม ช่วงนั้นคิดอยู่อย่างเดียวคือ จะรอเอาคืนช่วงที่เศรษฐกิจฟื้นตัว ถ้าช่วงนั้นผมไม่ตัดสินใจขาย Cut loss หุ้น ผมคงล้มละลายไปแล้ว คิดดูสิครับ ช่วงที่ผมเข้าน่าจะประมาณ 1300-1400 จุด แล้ว SET Index ก็ไหลลงมาที่ 204 จุด หลายๆบริษัทที่ต้องล้มละลายกิจการไปทั้งๆที่เป็นบริษัทลูกของธนาคาร ไม่ว่าจะเป็น ธนสยาม ร่วมเสริมกิจ ศรีมิตร ฯลฯ และที่ล้มดังที่สุดก็คือกลุ่ม เอกธนกิจ(FIN I)ที่เป็นหุ้นขวัญใจทั้งนักลงทุน และนักเก็งกำไร เป็น Growth Stock ตัวหนึ่ง การเติบโตนอกจากเป็น Organic growth แล้วยังเกิดจากการไปไล่ Take Over กิจการอื่นๆเขามาอยู่ในเครือ จากการที่รายได้และกำไรที่มีการขยายตัวสูง นักลงทุนจึงยอมจ่ายเงินที่จะซื้อหุ้นตัวนี้ในราคาที่มีค่า P/E ที่สูง เมื่อ FIN I ไปซื้อกิจการที่มีค่า P/E ที่ต่ำกว่า แต่เมื่อนำรายได้และกำไรมารวมในเครือเดียวกัน นักลงทุนยอมจ่ายที่ค่า P/E ที่สูง FIN I ยิ่งไปเทคโอเวอร์กิจการอื่นๆมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้เป็นกิจการ Holding  ที่มีรายได้ กำไร และสินทรัพย์ โตเร็วอันดับต้นๆของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ จนนักลงทุนแทบจะคิดว่า FIN I นี่ TOO –BIG –TO –FALL  แต่ในที่สุดวิกฤตต้มยำกุ้งก็ปิดฉาก FIN I พร้อมกับบริษัทจดทะเบียนอีกหลายบริษัท โดยเฉพาะบริษัทที่กู้เงินตราต่างประเทศเข้ามาลงทุนและหรือเพื่อเก็งกำไร ลองคิดดูสิครับกู้มา 100 ล้าน $ ในตอนที่เริ่มกู้ ค่าเงินอยู่แถวๆ 26-27 บาท เพราะว่าในสมัยนั้นค่าเงินบาท PEG อยู่กับค่า.$.และเป็นอย่างนั้นมาช้านาน จนเอกชนไทยไม่ระมัดระวัง ไม่มีการซื้อ Forward เพื่อคุ้มครองความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นจากอัตราแลกเปลี่ยน แล้วบางบริษัทแย่กว่านั้น เดิมมีธุรกิจหลักที่ไม่เกี่ยวข้องกับอสังหาริมทรัพย์ ก็กู้เงินมาสร้างอาคารสำนักงานออกมาขายและให้เช่า หรือคอนโดมิเนียมเพื่ออยู่อาศัยออกมาขาย พอวิกฤติเศรษฐกิจ Demand หดหายไปอย่างรุนแรง ตึกเหล่านี้ก็ขายไม่ออก ไหนจะต้องจ่ายทั้งต้นและดอกเบี้ยให้กับเจ้าหนี้ แถมหนี้ที่เคยกู้มา 100 ล้านเหรียญ คิดเป็น 2,700 ล้านบาท แต่พอค่าเงินบาทอ่อนลงไปเรื่อยๆ ยิ่งช่วงที่ขึ้นไปที่ 50 กว่าบาท/$ เงินกู้จะกลายเป็น 5,000กว่าล้านบาททันที เจ้าหนี้ก็เร่งทวงหนี้ทั้งต้นทั้งดอก อย่างนี้ธุรกิจอะไรจะอยู่รอดได้ ถึงแม้อยากจะตัดขายอาคารเหล่านี้ทิ้ง ก็ขายยากเพราะ Demand แทบไม่มีในตลาดเลย เลยทำให้ราคาอาคารเหล่านี้ตกลงอย่างมาก โดยเฉพาะในแถบทำเลที่ไม่ค่อยดี ราคาลดลงเกินครึ่งหนึ่งเสียด้วยซ้ำ ในช่วงนั้นจะเห็นอาคารที่สร้างเสร็จและไม่เสร็จมากมาย หลายๆอาคารเมื่อมองในยามค่ำคืน จะเห็นห้องที่เปิดไฟมีเพียงไม่กี่ห้องเท่านั้น แสดงว่าคนที่ซื้ออยู่จริงน้อยกว่ากลุ่มนักลงทุนและนักเก็งกำไร  ส่วนประชาชนคนทำมาหากินที่ผ่อนบ้านเพื่ออยู่อาศัยเองก็ได้รับผลกระทบจากการที่บริษัทห้างร้านปลดพนักงานออกส่วนหนึ่ง เพราะว่ายอดขายลดลงอย่างมาก พนักงานกลุ่มนี้ รวมทั้งเจ้าของธุรกิจรายย่อยที่ธุรกิจแย่ลงจากผลกระทบของเศรษฐกิจที่ฝืดเคือง ทำให้รายได้ลดลง ตัวพนักงานเองถึงแม้บางรายที่โชคดีไม่ได้ถูกปลดออก แต่ก็ถูกลด OT ลง ทำให้มีผลกระทบต่อรายได้รวมที่ได้รับ เมื่อหักค่าใช้จ่ายต่างๆแล้ว ไม่พอส่งธนาคารเพื่อผ่อนบ้านดังกล่าว ทำให้มีบ้านทีถูกยึดในสมัยนั้นเยอะมาก แต่ว่าวิกฤตก็มีโอกาสให้ธุรกิจบางประเภทกลับรุ่งเรืองขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ธุรกิจนี้คืออะไร มาติดตามอ่านในบทความหน้าครับ

กิติชัย เตชะงามเลิศ
        29/11/58



ติดตามสาระดีๆทั้งไลฟ์สไตล์และการลงทุนได้ที่
 Facebook : https://www.facebook.com/VI.Kitichai
 Twitter : http://twitter.com/value_talk
 Instagram : Gid_Kitichai
 Blog : http://kitichai1.blogspot.com
 You Tube : http://www.youtube.com/user/wittayu9
 Google+ : https://www.google.com/+KitichaiTaechangamlert
 Linkedin : https://www.linkedin.com/in/homeproperty
 Pinterest : http://www.pinterest.com/kitichai/
 หรือ หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ทุกวันพุธหน้า B8หนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ และนิตยสารคนรวยหุัน, Condo Guide, Glow, และ Me(Market Evolution) ทุกเดือน 
ถ้าท่านชอบบทความผม ท่านสามารถสมัครสมาชิกโดยเอาเม้าส์ไปทางด้านขวามือจะมีแถบแสดงออกมา แล้วเลือกคลิกไอคอนที่เขียนว่าสมัครรับข้อมูล เมื่อผมมีบทความใหม่ ท่านก็จะทราบทันที


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น