จาก1ล้านเป็น500ล้านผมทำอย่างไร

จาก1ล้านเป็น500ล้านผมทำอย่างไร
เล่าประสบการณ์การลงทุนของผมที่นำไปใช้ได้ง่ายๆ

วันพุธที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2557

ปัจจัยที่ต้องระมัดระวังในการลงทุนช่วงนี้

ปัจจัยที่ต้องระมัดระวังในการลงทุนช่วงนี้

          ตลาดหุ้นไทยดูแข็งแรงมาก โดยไต่ระดับจาก 1,205.44 ณ วันที่ 6 มกราคมปีนี้ ขึ้นมาแถว 1,370 กว่าจุดในปัจจุบัน จากช่วง Shut down Bangkok ถึงปัจจุบันที่เลิก Shut down SET INDEX ขึ้นมาประมาณ 170 จุดคิดเป็น 14% ถือว่าเป็นการปรับตัวที่มาก เมื่อเหลียวมองดูปัจจัยต่างๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ผ่านมา และขึ้นมาได้เกินความคาดหมายของผมด้วย เราลองมาไล่ดูปัจจัยต่างๆ ที่เกิดขึ้นแล้วและกำลังจะเกิดขึ้นในเร็วๆ นี้กันดูนะครับ
1)    เสถียรภาพทางการเมืองในประเทศยังย่ำแย่อยู่ เรายังไม่สามารถคาดเดาไว้ว่าผลสรุปจะเป็นอย่างไร ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง
1.1)          การเลือกตั้ง สส.ที่ผ่านมา จะเป็นโมฆะไหม
1.2)          สถานภาพของรัฐบาลรักษาการจะสิ้นสุดลงเมื่อใด ถ้าสิ้นสุดแล้วใครจะบริหารประเทศต่อไป
1.3)          คดีต่างๆ ของคณะรัฐมนตรีชุดนี้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องจำนำข้าว พรก.ฉุกเฉิน ฯลฯ
1.4)          สถานภาพของ สว.ที่มีปัญหา
1.5)          กลุ่มเสื้อแดงที่กำลังรวมพลที่ไม่รู้ว่าจะก่อเหตุร้ายอะไรบ้าง โดยเฉพาะหลังจากองค์กรอิสระต่างๆ ประกาศคำวินิจฉัย ออกมาที่จะมีผลกระทบกับคณะรัฐมนตรี และพรรคเพื่อไทย ถ้าออกมาก่อความวุ่นวาย ทหารจะออกมาไหม
สิ่งเหล่านี้จะทำให้ต่างชาตินอกจากจะหยุดขยายกิจการในประเทศไทยแล้วเม็ดเงินลงทุนใหม่ๆ คงจะชะลอดูสถานการณ์กันก่อน นักลงทุนญี่ปุ่นเอง ที่ผ่านมาหลายวิกฤตการณ์ ไม่เคยออกปากว่าจะหยุดลงทุนในไทย แต่ครั้งนี้เราเริ่มได้ยินนักลงทุนชาตินี้พูดออกมาแล้วว่า อาจจะปรารถนาไปลงทุนในประเทศอื่นแทนประเทศไทย เศรษฐกิจภายในประเทศข่วงที่ผ่านมาก็ย่ำแย่มากพอดู พรรคพวกเพื่อนฝูงผมที่ทำธุรกิจอยู่ ก็บ่นประปอดกระแปดว่า ขายไม่ดี ช่วงนี้หลายธุรกิจต้องวิ่งแลกเช็คกันวุ่นวาย เมื่อเย็นวันจันทร์ผมไปทำธุระที่ห้างสรรพสินค้าใหญ่กลางสุขุมวิท ผมสังเกตเห็นว่ามีผู้คนจับจ่ายใช้สอยในห้างน้อยมาก เผลอๆ พนักงานร้านค้าในห้าง รวมกันแล้วยังมากกว่าคนที่มาเดินช้อปปิ้งเสียอีก และคนที่เดินๆ อยู่ ผมแทบจะไม่เห็นใครถือถุงช้อปปิ้งเลย จึงไม่น่าแปลกใจที่การประชุม กนง.ครั้งล่าสุดจึงตัดสินใจลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% ทำให้ธนาคารพาณิชย์ลดดอกเบี้ยตาม แต่ลดน้อยหน่อยคือลดประมาณ 0.13% เท่านั้น ซึ่งอัตราดอกเบี้ยที่ลดลงเพียงเล็กน้อย คงไม่สามารถกระตุ้นให้ผู้บริโภคหันมาจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น ในภาวะที่มีความไม่แน่นอนทั้งทางการเมืองและเศรษฐกิจก็ไม่ดี ผู้คนเลือกที่จะเอามือกุมกระเป๋าสตางค์เสียมากกว่า นักลงทุนก็คงไม่คิดที่จะขยายกำลังการผลิตหรือลงทุนใหม่ๆ ในช่วงนี้เช่นกัน นอกจากเม็ดเงินที่เข้ามาลงทุนโดยตรง (FDI) แล้ว เม็ดเงินลงทุนทางอ้อมที่เข้ามาลงทุนในสินทรัพย์ในประเทศไทยโดยเฉพาะตลาดหุ้น และตลาดเงินไม่ว่าจะเป็นหุ้นกู้หรือพันธบัตรจากอัตราดอกเบี้ยที่ลดลง และแนวโน้มการแข็งตัวของเงินเหรียญสหรัฐจะทำให้ตราสารหนี้ไทยมีเสน่ห์ลดลง ส่วนตลาดหุ้นไทย หลังจากประกาศผลประกอบการปี 2556 และนักวิเคราะห์หลายค่ายได้ปรับผลประกอบการปี 2557 ลงบ้างแล้ว รวมทั้ง Foreign Houses หลายๆ ค่ายได้ปรับคำแนะนำลงทุนในตลาดหุ้นไทยเป็น Neutral หรือ Underweight ลง น่าจะทำให้แรงผลักดันให้ SET INDEX ขึ้นไปต่อได้แรงๆ หรือมากกว่านี้ค่อนข้างยาก
2)    ประธาน FED คนใหม่ นาง JANET YELLEN ซึ่งมีนโยบายที่จะทยอยลดมาตรการ QE ลงไปเรื่อยๆ  โดยตลาดคาดหมายว่าอาจจะสิ้นสุดมาตรการ QE ภายในปีนี้ จะทำให้สภาพคล่องค่อยๆ ลดลง
3)    ปัญหาแหลมไครเมีย ซึ่งอาจจะเป็นขบวนแห่งความขัดแย้งครั้งยิ่งใหญ่ระหว่างยุโรปและสหรัฐกับรัสเซีย
4)    ประเทศเกิดใหม่หลายๆ ประเทศกำลังมีปัญหาทางเศรษฐกิจอย่างรุนแรง เช่น ตุรกี อาร์เจนตินา เป็นต้น
5)    ปัญหาหนี้ธุรกิจขนาดเล็กกลางใหญ่ของจีน หลังจากน้ำลดตอก็ผุด นายกรัฐมนตรีของจีน นายหลี่เค่อเฉียงได้เตือนให้นักลงทุนให้เตรียมพร้อมรับคลื่นการล้มละลาย หลังจากเพดานหนี้ที่สูงต่อเนื่อง โดยทางการจะไม่เข้าช่วยเหลือ เพราะกลัวว่าจะเป็นแบบญี่ปุ่นหลังจากประสบปัญหาฟองสบู่แตกในช่วงปลายทศวรรษ 80 และต้นทศวรรษ 90 ซึ่งทำให้เศรษฐกิจญี่ปุ่นซบเซาอยู่นาน 2 ทศวรรษ จนกลายเป็นคำพูด “The Two Lost Decades” ซึ่งปัญหาหนี้ของจีนนี้ เราไม่รู้ว่ามีธุรกิจจีนมากน้อยแค่ไหนที่กำลังมีปัญหา ถ้ามีมากจนทำให้เกิดผลกระทบกับเศรษฐกิจโดยรวมของจีนซึ่งเป็นประเทศเศรษฐกิจใหญ่อันดับ 2 ของโลก ก็จะมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกและไทย ปัจจุบันจีนเป็นคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของไทยถ้านับเป็นรายประเทศ
     ผมเขียนบทความนี้แทนที่จะมาต่อเรื่องธุรกิจเด่น-ดับในปี 2557 เพราะว่าอยากให้ท่านผู้อ่านระมัดระวังในการเข้าซื้อหุ้นในช่วงนี้ และอยากให้ทยอยลดพอร์ตการลงทุนลงบ้าง ให้มีสภาพคล่องเหลือไว้ซื้อหุ้นในช่วงไตรมาส 2 ซึ่งผมมั่นใจว่า ตลาดหุ้นน่าจะตกลงมาให้ท่านได้ซื้อของถูกครับ
         ติดตามแนวทางการลงทุนของผมได้ที่ 
กิติชัย เตชะงามเลิศ
                                                                                          19/03/57

Facebook : https://www.facebook.com/VI.Kitichai , 
Twitter     : http://twitter.com/value_talk , 
Instagram : Gid_Kitichai
Google+  : https://www.google.com/+KitichaiTaechangamlert
Youtube   : http://www.youtube.com/user/wittayu9  และ 
Blog         : http://kitichai1.blogspot.com


หรือหนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ทุกวันพุธหน้า B6 หรือหน้า B10 และนิตยสารคนรวยหุัน, Condo Guide, Me(Market Evolution) Glow และ Lisa ทุกเดือน
     



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น