จาก1ล้านเป็น500ล้านผมทำอย่างไร

จาก1ล้านเป็น500ล้านผมทำอย่างไร
เล่าประสบการณ์การลงทุนของผมที่นำไปใช้ได้ง่ายๆ

วันอังคารที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

ธุรกิจ Health care ดีจริงหรือ? (ตอนที่ 1)

ธุรกิจ Health care ดีจริงหรือ? (ตอนที่ 1)

          จากวิทยาการที่ก้าวหน้าในหลายๆ ด้านในปัจจุบัน รวมถึงธุรกิจ Health care และความรู้ที่ประชากรโลกมีต่อโรคภัยไข้เจ็บ และโภชนาการที่ดีขึ้น ทำให้อายุขัยของคนในยุคปัจจุบันยืนยาวขึ้น ทำให้ประชากรทั่วโลกที่กำลังเข้าสู่วัยชรามีสัดส่วนสูงขึ้นเรื่อยๆ โดยประชากรที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป มีจำนวนเพิ่มขึ้น 3 เท่าในทุกๆ  50 ปี โดยคาดว่าจะมีจำนวนถึง 2,000 ล้านคนในปี พ.ศ. 2593 หรืออีก 36 ปีข้างหน้า จากปัจจุบันที่มีประชากรประมาณ 800 ล้านคนที่มีอายุ 60 ปี หรือคิดเป็น 11% ของประชากรโลกที่มีอยู่มากกว่า 7,250 ล้านคน โดยมีประเทศจีนเป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุดคือ 1,394 ล้านกว่าคน ตามมาติดๆ คือ อินเดีย ซึ่งมีจำนวนประชากรอยู่ที่ 1,268 ล้านคน คาดว่าอีกไม่กี่ปี อินเดียจะเป็นประเทศที่มีจำนวนประชากรมากที่สุดในโลก จากอัตราการเพิ่ม (เกิดใหม่-ตายไป) สูงกว่าของประเทศจีน ที่มีอัตราการเกิดต่ำ จากนโยบายลูกคนเดียว แต่ความที่คนจีนมีอายุยืนมากขึ้น ปัจจุบันคนจีนที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไปมี 129 ล้านคนคิดเป็น 9.60% ของประชากร ทำให้สัดส่วนประชากรผู้สูงอายุของคนจีนสูง รัฐบาลจีนเริ่มตระหนักถึงปัญหาข้อนี้อยู่เข่นกัน เมื่อสัปดาห์ที่แล้วผมได้รับเชิญจากธนาคารซิตี้แบงค์ เข้าฟัง Dinner talk มีหัวข้อหนึ่งในสัมมนาที่น่าสนใจคือ ธุรกิจ Health care โดยมีผู้บริหารจาก บลจ.กรุงศรีอยุธยาเป็นวิทยากร รู้สึกได้ความรู้มากมาย จึงอยากนำเนื้อหาบางส่วนมาแบ่งปันให้กับท่านผู้อ่าน ระหว่างที่ผมเขียนบทความอยู่นี้ผมได้เข้า  www.worldometers.info/world-population/ นั่งดูตัวเลขแล้วเพลินดี เพราะว่าจำนวนประชากรเพิ่มขึ้นทุกเสี้ยววินาทีแบบ Real time เลยทีเดียวอดสงสัยไม่ได้ว่า ทำไมเว็บไซต์นี้ถึงได้รู้ดี และ Update ได้แบบนี้ ผมคาดว่าน่าจะเป็นการคาดการณ์ว่ามีเด็กเกิดใหม่ในปีนี้กี่คนแล้วก็มาหารเฉลี่ยต่อวินาทีกระมัง
          อัตราการเพิ่มขึ้นของผู้สูงอายุอยู่ที่ 1.90% ในขณะที่การเพิ่มขึ้นของประชากรรวมเพียง 1.20% นี่คือเหตุผลที่สัดส่วนประชากรผู้สูงอายุในโลกนี้มีมากขึ้น อายุขัยเฉลี่ยของประชากรโลกเท่ากับ 73.70 ปีในปี พ.ศ. 2560 จากเดิม 72.60 ปีเมื่อปี พ.ศ.2555 เมื่อคนเรามีอายุมากขึ้น ความต้องการในด้าน Health care ก็ต้องสูงขึ้นตามไปด้วยอย่างแน่นอน ปัจจุบันยุโรปเป็นทวีปที่มีอัตราส่วนผู้สูงอายุมากที่สุดในโลก คาดว่า 37% ของประชากรทั้งหมดจะมีอายุ 60 ปีขึ้นไปในปี พ.ศ. 2593 ในขณะที่ญี่ปุ่นเป็นประเทศแรกๆ ในเชียที่เข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างสมบูรณ์แบบคือมีประชากรถึง 1 ใน 4 ที่มีอายุมากกว่า 65 ปีขึ้นไปและคาดว่าจะมีจำนวนถึง 35 ล้านคนในปี พ.ศ. 2568 จากโครงสร้างของประชากรแบบนี้บางประเทศในยุโรป เช่น เยอรมัน ก็มีการเกษียณงานตอนอายุ 65 ปี มากขึ้น ซึ่งผมเห็นด้วยอย่างยิ่งถ้าทำแบบสมัครใจ เพราะว่าบางท่านอาจจะยังอยากทำงานต่อ กลัวว่าหลังเกษียณแล้วจะเหงา ในขณะที่บางท่านก็รอวันเกษียณ เพื่อจะได้ไปเที่ยว หรือพักผ่อนเสียที อย่างน้อยวิธีนี้ก็เป็นวิธีทำให้ปริมาณคนในวัยทำงาน ไม่ลดลง ซึ่งมีผลต่อปริมาณผลิตผลของชาติ ซึ่งแน่นอนกระทบกับอัตราการเจริญเติบโตของประเทศหรือ GDP นั่นเอง ส่วนญี่ปุ่นเอง รัฐบาลเคยมีความคิดที่จะมีการเปิดให้มีการนำเข้าแรงงานที่มีคุณภาพ แต่ด้วยความที่เป็นเชื้อชาตินิยมอย่างแรงกล้า ไม่อยากให้มีสายเลือดจากชนชาติอื่นมาปะปน จึงต้องพับเก็บความคิดนี้ไว้
          นอกจากประเทศพัฒนาแล้ว มีการคาดว่าประเทศเกิดใหม่ไม่ว่าจะเป็นจีน อินเดีย อินโดนีเซีย รัสเซีย และแม็กซิโกจะมีการใช้จ่ายด้านสุขภาพเพิ่มขึ้นอย่างมากในอีก 5 ปีข้างหน้า จากจำนวนประชากรที่เพิ่มมากขึ้น พร้อมกับรายได้ต่อหัวที่สูงขึ้น เมื่อปี 2548 ค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพของทั้งโลกอยู่ที่ 605,000 ล้าน$ โดยมีสหรัฐเป็นชาติที่มีสัดส่วนมากสุดคือ 41% แคนาดา 2 % ยุโรป 27% ญี่ปุ่น 11% ที่เหลืออีก 19% เป็นประเทศ Emerging และประเทศกำลังพัฒนาอื่นๆ แต่ปีหน้า (พ.ศ.2558) ค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพของทั้งโลกคาดว่าจะขึ้นไปถึง 1,100,000 ล้าน$ (นับตัวเลขไม่ถูกเลย) หรือเพิ่มขึ้นเกือบ 82% ภายในเวลา 10 ปีเท่านั้น โดยสัดส่วนค่าใช้จ่ายจะเริ่มมีการผ่องถ่ายไปยังประเทศ Emerging มากขึ้น คือ สหรัฐจะมีสัดส่วนลดลงเหลือ 31% ยุโรปเหลือ 19% ญี่ปุ่นยังคง 11% แคนาดา 2% ที่เหลืออีก 29% เป็นประเทศ Emerging และประเทศกำลังพัฒนาอื่นๆ

          กำลังสนุกอยู่เลย แต่เนื้อที่หมดขอยกยอดไปต่อตอนที่ 2 ในสัปดาห์หน้าแต่ขอเตือนนักลงทุนให้ระมัดระวังในการลงทุนในช่วงนี้ ตลาดหุ้นจะยื้อได้คงถึงแต่กลางเดือนสิงหาคม หลังผลประกอบการไตรมาส 2 ของบริษัทจดทะเบียนประกาศหมด แต่ทางเทคนิค Indicator หลายตัวเริ่มส่งสัญญานขาย รวมทั้งเป็น Bearish Divergence ระหว่าง SET INDEX กับ RSI มา 3-4 ครั้งแล้ว หรือตลาดจะลงก่อนก็ไม่แน่เหมือนกันนะครับ

กิติชัย เตชะงามเลิศ
                                                                                          30/07/57


ติดตามสาระดีๆทั้งไลฟ์สไตล์และการลงทุนได้ที่ 

Facebook : https://www.facebook.com/VI.Kitichai
Twitter     : http://twitter.com/value_talk
Instagram : Gid_Kitichai
Blog         : http://kitichai1.blogspot.com
You Tube : http://www.youtube.com/user/wittayu9 
Google+  : https://www.google.com/+KitichaiTaechangamlert
Linkedin   : https://www.linkedin.com/in/homeproperty
Pinterest   : http://www.pinterest.com/kitichai/


 หรือหนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ทุกวันพุธหน้า B6  และนิตยสารคนรวยหุัน, Condo Guide, Glow, L'Optimum และ Me(Market Evolution) ทุกเดือน
     

หาอสังหาทั้งถูกและดีเพื่ออยู่เองหรือเพื่อการลงทุน ได้ที่  http://www.pantipmarket.com/mall/homeproperty

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น