จาก1ล้านเป็น500ล้านผมทำอย่างไร

จาก1ล้านเป็น500ล้านผมทำอย่างไร
เล่าประสบการณ์การลงทุนของผมที่นำไปใช้ได้ง่ายๆ

วันจันทร์ที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2561

CAPITAL GAIN กับตลาดหุ้น (ตอนจบ)


                                   CAPITAL GAIN กับตลาดหุ้น (ตอนจบ)


           บทความตอนที่แล้ว ผมกล่าวถึงประวัติความเป็นมาของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.)  ผลตอบแทนจากการลงทุนในตลท. รวมทั้งวิธีการเลือกซื้อกองทุนประเภทต่างๆ พร้อมทั้งกำหนดสัดส่วนของสินทรัพย์แต่ละประเภทที่จะลงทุน ตามช่วงอายุของผู้ลงทุน เพื่อให้ได้ผลตอบแทนที่สูงสุด ในอัตราความเสี่ยงที่พอที่จะยอมรับได้

             จากการที่อัตราผลตอบแทนจากการลงทุนในตลาดหุ้น เมื่อลงทุนในระยะยาว  จะสร้างผลตอบแทนที่งดงามมาก เมื่อเทียบกับอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก 1 ปีของธนาคารพาณิชย์  จึงทำให้มีข่าวเกี่ยวกับเรื่องการเก็บภาษี Capital gain tax อยู่เป็นระยะๆ โดยเฉพาะในช่วงที่ตลาดหุ้นขึ้นมามากๆ  อย่างเช่นเมื่อเร็วๆนี้ก็มีข่าวออกมาจากสื่อต่างๆที่มีนักวิชาการบางท่านออกมาให้สัมภาษณ์ เกี่ยวกับเรื่องการที่ควรจะมีภาษี Capital gain tax เรียกเก็บกับนักลงทุนในตลาดหุ้น โดยเรียกเก็บภาษีจากส่วนต่างกำไรจากการขายหุ้นและเงินปันผล โดยอ้างว่าในเมื่อนักลงทุนมีรายได้ก็ควรจะต้องเสียภาษีเช่นเดียวกับผู้มีรายได้อื่นๆที่จะต้องเสียภาษีเช่นกัน โดยแบ่งระดับการเก็บภาษีดังกล่าวจากช่วงเวลาการถือครองหุ้น โดยที่ถ้าเป็นนักลงทุนที่ซื้อและถือยาว 1 ปีขึ้นไป จะเสียภาษีต่ำกว่าทุนนักลงทุนที่ซื้อขายแบบเก็งกำไรในระยะสั้น แล้วยังเห็นว่าควรจะให้นำเงินปันผล ที่ถึงแม้ว่าจะถูกหักภาษีณที่จ่ายแล้ว ให้นำกลับมาคิดรวมกับรายได้อื่นๆด้วย ตอนยื่นเสียภาษีรายได้บุคคลธรรมดา  ซึ่งถ้าทำเช่นนี้แล้วก็จะทำให้ผู้เสียภาษีที่ได้เงินปันผลจากบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ต้องเสียภาษีในอัตราที่สูงขึ้น

         ตั้งแต่ที่มีการก่อตั้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เรายังไม่เคยมีการเก็บภาษีดังกล่าว เนื่องจากรัฐต้องการส่งเสริมการลงทุนในตลาดทุน เพื่อสร้างแรงจูงใจให้กับผู้มีเงินออมและนักลงทุนต่างๆ ให้นำเงินออมและเงินลงทุนเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้น และเมื่อมองดูประเทศต่างๆรอบบ้านเรา โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศอาเซียนจะเห็นได้ว่า ในปัจจุบันยังไม่มีประเทศใดเลย ที่มีการเก็บภาษีดังกล่าวนี้ แม้กระทั่งสิงคโปร์ซึ่งเป็นประเทศที่ถือว่าเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว ก็ยังไม่มีการเรียกเก็บภาษีตัวนี้เลย เพราะว่ารัฐบาลทุกประเทศในกลุ่มอาเซียน ได้เล็งเห็นผลประโยชน์ที่มีมากกว่าการเรียกเก็บภาษีดังกล่าวนี้ ที่ว่ามีอยู่มากมาย ยกตัวอย่างเช่น

1.กระตุ้นให้ผู้มีเงินออมนำเงินออมมาลงทุนในตลาดหลักทรัพย์  ทำให้ตลาดหลักทรัพย์มีสภาพคล่องสูงขึ้น ถึงแม้ว่าจะมีนักลงทุนบางส่วนเป็นนักเก็งกำไรระยะสั้นก็ตามแต่ก็นับว่าเป็นส่วนน้อย  อย่างไรก็ตาม กลุ่มนักเก็งกำไรเหล่านี้ ก็ทำให้ตลาดหุ้นมีสภาพคล่องสูงขึ้น ซึ่งจะเป็นการเพิ่มเสน่ห์ให้กับตลาดหุ้น ในสายตาของนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ คงไม่มีนักลงทุนอยากจะลงทุนในตลาดหุ้นที่มีสภาพคล่องต่ำ อยากจะซื้อหรืออยากจะขายก็ลำบากเป็นแน่
2.ดึงดูดให้บริษัทต่างๆที่ยังไม่เคยจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ให้ความสนใจที่จะนำบริษัทของตนเข้ามาจดทะเบียน เพราะว่าจะทำให้มูลค่าของบริษัทสูงขึ้น มากกว่าการอยู่นอกตลาดหลักทรัพย์  ทำให้เกิดผลพลอยได้ คือมีการจัดทำระบบบัญชีที่ถูกต้องก่อนเข้าตลาด ทำให้รัฐสามารถเก็บภาษีได้เต็มเม็ดเต็มหน่วยมากขึ้น ยิ่งมีบริษัทที่เข้ามาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์มากขึ้นเท่าไหร่ ก็จะทำให้มูลค่า market Cap ของตลาดหุ้นไทยยิ่งใหญ่ขึ้น และมีโอกาสเข้าไปอยู่ในดัชนีการลงทุนของหน่วยงานต่างๆมากขึ้น เช่น MSCI, FTSE เป็นต้น ทำให้ตลาดหุ้นไทยเข้าไปอยู่ในเรดาร์ของกองทุนใหญ่ๆระดับโลกมากขึ้น  ก็จะยิ่งดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศได้มากขึ้น

3. ดึงดูดเม็ดเงินลงทุนทางอ้อม(Indirect Investment)จากต่างประเทศ ให้เข้ามาลงทุนในตลาดหลักทรัพย์  เมื่อมีเงินเหล่านี้เข้ามาเป็นจำนวนมาก ก็จะทำให้มูลค่าหุ้นของบริษัทต่างๆ ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์สูงขึ้น  ทำให้ต้นทุนของเงินทุนของบริษัทที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ต่ำลง ยิ่งถ้าหุ้นของบริษัทเหล่านี้ซื้อขายกันด้วย PE ที่สูงขึ้น ต้นทุนของเงินทุนก็จะยิ่งต่ำลงเข้าไปอีก นอกจากนั้นยังทำให้บริษัทเหล่านี้มีความแข็งแรงของกิจการมากขึ้น ดังจะเห็นได้จากบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์หลายบริษัท ที่ขยายกิจการไปยังต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นการไปตั้งสาขา หรือตั้งโรงงาน หรือไปเทคโอเวอร์กิจการในต่างประเทศ ทำให้มีความสามารถในการแข่งขันมากขึ้นทั้งในระดับภูมิภาค หรือแม้กระทั่งในระดับโลก

              เมื่อเปรียบเทียบผลประโยชน์ที่ได้รับ จากการยกเว้น Capital gain tax ให้กับนักลงทุน กับผลเสียที่จะเกิดขึ้นเมื่อมีการเรียกเก็บภาษีดังกล่าวแล้ว  คงมีคำตอบอยู่ในใจกันแล้วนะครับ

              อ่าน CAPITAL GAIN กับตลาดหุ้น (ตอนที่ 1) ได้ที่
http://kitichai1.blogspot.com/2018/06/capital-gain-1.html

กิติชัย เตชะงามเลิศ



     18/6/61


ถ้าท่านชอบบทความผม ท่านสามารถสมัครสมาชิกโดยเอาเม้าส์ไปทางด้านขวามือจะมีแถบแสดงออกมา แล้วเลือกคลิกไอคอนที่เขียนว่าสมัครรับข้อมูล เมื่อผมมีบทความใหม่ ท่านก็จะทราบทันที

  
      ติดตามสาระดีๆทั้งไลฟ์สไตล์และการลงทุนได้ที่


      หรือ 1.หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ทุกวันพุธหน้า B6 ในคอลัมน์ "เขียนอย่างที่คิด"   
              2.หนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจหน้า 15 เดือนละครั้ง ในคอลัมน์ “จับช่องลงทุน” 
              3.วารสารเภตรา ของสมาคมศิษย์เก่าคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี และ จุลสารเตชะสาร ของสมาคมเตชะสัมพันธ์ ทุกไตรมาส


ไฮด์ สุขุมวิท 11(Hyde Sukhumvit 11) ขายและให้เช่า ห้องมุม 2 นอน 2 น้ำ วิวสวน




ห้องที่จะขายและให้เช่า

        อาคาร A พื้นที่ 58.54 ตรม. 2 นอน 2 น้ำ เป็นห้องมุม เฟอร์นิเจอร์และเครื่องใช้ไฟฟ้าครบครัน ตกแต่งสวยมาก มี ผ้าม่าน 2 ชั้น เตาไฟฟ้า เครื่องดูดควัน แอร์ ตู้เย็น เครื่องซักผ้าฝาหน้า Digital TV 49 & 32 นิ้ว เครื่องทำน้ำอุ่น และ Microwave วิวสวน ไม่ใกล้ลิฟต์ ไม่ใกล้ห้องขยะ ไม่โดนบล็อกวิว ราคา 10,000,000 บาท ปล่อยเช่า 46,000 บาท/เดือน ดู VDO ได้ที่ https://youtu.be/A3bkkoVM9rw

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น