Health care กับ Mega Trend ตอนที่ 3
จากตัวเลขของสถาบันวิจัยประชากรและสังคม
ซึ่งได้จัดพิมพ์ "สารประชากร มหาวิทยาลัยมหิดล" ได้ระบุว่าประมาณกลางปี 2561 ประเทศไทยจะมีประชากรที่มีอายุเกิน 60
ปีขึ้นไปเป็นจำนวน 11,770,000 คน จำนวนประชากรทั้งหมด 66,234,000 คน หรือคิดเป็นสัดส่วน 17.77% โดยในจำนวนนี้เป็นผู้หญิงที่มีอายุเกิน 60 ปีขึ้นไป
6,457,000 คนจากจำนวนประชากรผู้หญิงทั้งหมด 33,780,000 คน หรือคิดเป็นสัดส่วน 19.11%
และเป็นผู้ชายที่มีอายุเกิน 60 ปีขึ้นไป 5,313,000 คน จากจำนวนประชากรผู้ชายทั้งหมด 32,454,000 คน
หรือคิดเป็นสัดส่วน 16.37% สงสัยจะจริงอย่างที่เขาว่า
"ผู้หญิงแก่ง่ายตายยาก" มีการคาดการณ์กันว่าภายในปี 2565 ประเทศไทยจะมีประชากรที่มีอายุเกิน 60 ปีมากถึง 20
เปอร์เซ็นต์ของจำนวนประชากรทั้งหมดนั่นหมายความว่าประเทศไทยจกลายเป็นสังคมผู้สูงอายุแบบสมบูรณ์แบบ
ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับผู้สูงวัยเหล่านี้จึงน่าจะมีอนาคตที่สดใสตามไปด้วย
เท่าที่ผมคิดดูธุรกิจที่น่าจะได้รับอานิสงค์มีดังต่อไปนี้
1) ธุรกิจประกันชีวิต
แน่นอนฐานอายุเฉลี่ยของประชากรที่สูงขึ้น ย่อมทำให้ความต้องการที่จะทำประกันชีวิตเพื่อความมั่นคงของชีวิตมากขึ้น
จำนวนคนไทยที่ทำประกันชีวิตยังมีเพียง 38% เท่านั้น เมื่อเทียบกับประเทศญี่ปุ่นที่ทำประกันชีวิตมากกว่า 100% (บางคนทำประกันชีวิตมากกว่า 1 กรมธรรม์)
ดังนั้นโอกาสเติบโตยังมีอีกสูงมาก แต่น่าเสียดายที่บริษัทประกันชีวิตที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์มีเพียง
2 ผมอยากให้คปภ.
ซึ่งเป็นหน่วยงานกำกับและดูแลทั้งบริษัทประกันภัยและประกันชีวิต
นอกจากบังคับให้บริษัทประกันเหล่านี้เป็นบริษัทจำกัด (มหาชน) อย่างที่เป็นอยู่แล้ว
น่าจะผลักดันให้ทุกบริษัทต้องเข้ามาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ทั้งหมดภายในระยะเวลาไม่เกิน
3 ปีนับจากนี้
เพราะว่าการเข้ามาเป็นบริษัทจดทะเบียนทำให้ต้องทำงบการเงินที่โปร่งใส
ต้องมีการตั้งกรรมการอิสระที่ได้รับการอนุมัติจากเจ้าหน้าที่ตลาดหลักทรัพย์
เพราะว่าบริษัทประกันเหล่านี้เกี่ยวข้องกับเงินออมระยะยาวและการคุ้มครองผู้ถือกรมธรรม์เป็นจำนวนมาก
ถ้ามีความไม่มั่นคง ไม่โปร่งใส ผลกระทบย่อมเกิดในวงกว้างเป็นแน่ ถึงแม้คปภ.
จะมีการกำกับดูแลที่ดีอยู่แล้ว แต่ถ้าได้หน่วยงานอย่างเช่น ตลาดหลักทรัพย์และกลต.
ช่วยกำกับดูแลเพิ่มขึ้นอีกชั้นหนึ่ง น่าจะเป็นสิ่งที่ดีต่อผู้ถือกรมธรรม์
2) ธุรกิจ Health Care ซึ่งพอจะแบ่งเป็น 4 ประเภทได้ดังนี้
2.1) ธุรกิจยาและอาหารเสริม
ซึ่งประเทศไทยเรายังมีหน่วยงานวิจัยและพัฒนายาของเราเองยังน้อยมาก
เมื่อเทียบกับประเทศที่เจริญแล้ว โดยธุรกิจนี้ในต่างประเทศ หุ้นกลุ่มนี้จะซื้อขายกันที่
P/E เฉลี่ยประมาณ 18-20% แต่บางช่วงก็ขึ้นไปถึงเกือบ
40 เท่า แต่ช่วงที่เกิด Hamburger crisis ก็เคยเห็นซื้อขายกันที่ P/E ต่ำกว่า 10 เท่าก็เห็นมาแล้ว ในบ้านเราดูเหมือนมีอยู่บริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นที่ทำธุรกิจที่พออนุโลมเข้ามาในหมวดนี้ได้เช่นกัน
2.2) ธุรกิจ BIO
TECH ไทยเรายังล้าหลังสิงคโปร์มาก ปัจจุบันสิงคโปร์
พัฒนาประเทศโดยเน้นไปที่อุตสาหกรรม BIO TECH ซึ่งผมมองว่าเขาฉลาดและมาถูกทางแล้ว
หุ้นกลุ่มนี้ซื้อขายกันในตลาดโลกที่ P/E เฉลี่ย 26-29 เท่า บางช่วงเคยขึ้นไปซื้อขายกันที่ P/E
70 กว่าเท่าด้วยซ้ำไป ตอน Hamburger crisis เคยหล่นไปซื้อขายกันที่
P/E ประมาณ 12 เท่า
ส่วนในเมืองไทยผมยังไม่เห็นว่า
มีบริษัทไหนที่พอจะเข้าข่ายธุรกิจนี้ได้เลยในตลาดหุ้นบ้านเรา
2.3) ธุรกิจ Health
care equipment ก็เป็นธุรกิจที่เป็นดาวเด่นเช่นกัน ถึงแม้จะเป็นรอง BIO
TECH อยู่บ้าง ธุรกิจเครื่องไม้เครื่องมือทางการแพทย์และอนามัย ในตลาดหุ้นโลก
หุ้นกลุ่มนี้ซื้อขายกันที่ P/E เฉลี่ยประมาณ 22-25 เท่า ตอนตลาดบูมๆ เคยซื้อขายกันที่ P/E มากกว่า 40
เท่า ในช่วงที่ตลาดหุ้นฟุบ เคยหล่นลงไปซื้อขายกันที่ P/E 12 เท่า ส่วนตลาดหุ้นไทยก็มีบางบริษัทเข้าข่ายสามารถจัดอยู่ในอุตสาหกรรมนี้
แต่ธุรกิจนี้ในบ้านเรา ยังมีความสามารถผลิตแต่อุปกรณ์เครื่องไม้เครื่องมือที่เป็น LOW
TECH เท่านั้น ส่วน HIGH TECH ยังต้องนำเข้าอยู่
ผมมองว่ารัฐบาลน่าจะส่งเสริมธุรกิจนี้ โดยให้ BOI ออกมาตรการส่งเสริมให้บริษัทข้ามชาติต่างๆ
มาลงทุน ทำโรงงานผลิตเครื่องมือ อุปกรณ์เหล่านี้ เพราะว่าเราเป็นฐานการผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิคส์อยู่แล้ว
รวมทั้งเรามีฐานการผลิตในด้านต่างๆ ที่จำเป็นต้องมีอยู่แล้ว ในเมื่อ
ฐานประชากรรวมของประเทศในกลุ่ม ASEAN มีมากกว่า 652 ล้านคน(ตัวเลขจาก http://www.worldometers.info/world-population/south-eastern-asia-population/)
นับเป็นอันดับ 3 ของโลกรองจากจีนและอินเดียเท่านั้น
และอำนาจในการซื้อของคนใน ASEAN ก็สูงกว่าคนอินเดีย
สิ่งที่ควรจะบังคับบริษัทข้ามชาติเหล่านี้ก็คือต้องมีการถ่ายทอดเทคโนโลยีในการผลิตให้กับเราด้วย
อย่าให้เหมือนกับธุรกิจชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิคส์ที่เราได้รับการถ่ายทอดความรู้และเทคโนโลยีน้อยมาก
ดูอย่างจีนสิครับ จีนสามารถที่จะบังคับ SIEMENS ให้ถ่ายทอดเทคโนโลยีในการผลิตรถไฟความเร็วสูง
จนปัจจุบันจีนสามารถที่จะผลิตรถไฟดังกล่าวได้เองแล้ว
เนื้อที่หมดแล้วมาต่อธุรกิจ
Health
Care ตัวต่อไปตัวต่อไปในบทความหน้ากันนะครับ
กิติชัย เตชะงามเลิศ
18/6/61
อ่าน Health care กับ Mega Trend ตอนที่ 1 ได้ที่ http://kitichai1.blogspot.com/2018/06/health-care-mega-trend-1.html
Health care กับ Mega Trend ตอนที่ 2 ได้ที่ http://kitichai1.blogspot.com/2018/06/health-care-mega-trend-2.html
Health care กับ Mega Trend ตอนที่ 3 ได้ที่ http://kitichai1.blogspot.com/2018/06/health-care-mega-trend-3.html
Health care กับ Mega Trend ตอนที่ 4 ได้ที่ http://kitichai1.blogspot.com/2018/06/health-care-mega-trend-4.html
Health care กับ Mega Trend ตอนจบ ได้ที่ http://kitichai1.blogspot.com/2018/06/health-care-mega-trend.html
Health care กับ Mega Trend ตอนที่ 2 ได้ที่ http://kitichai1.blogspot.com/2018/06/health-care-mega-trend-2.html
Health care กับ Mega Trend ตอนที่ 3 ได้ที่ http://kitichai1.blogspot.com/2018/06/health-care-mega-trend-3.html
Health care กับ Mega Trend ตอนที่ 4 ได้ที่ http://kitichai1.blogspot.com/2018/06/health-care-mega-trend-4.html
Health care กับ Mega Trend ตอนจบ ได้ที่ http://kitichai1.blogspot.com/2018/06/health-care-mega-trend.html
ถ้าท่านชอบบทความผม ท่านสามารถสมัครสมาชิกโดยเอาเม้าส์ไปทางด้านขวามือจะมีแถบแสดงออกมา แล้วเลือกคลิกไอคอนที่เขียนว่าสมัครรับข้อมูล เมื่อผมมีบทความใหม่ ท่านก็จะทราบทันที
ติดตามสาระดีๆทั้งไลฟ์สไตล์และการลงทุนได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/VI.Kitichai
Twitter : http://twitter.com/value_talk
Instagram : Gid_Kitichai
Blog : http://kitichai1.blogspot.com
You Tube : http://www.youtube.com/c/KitichaiTaechangamlert
Twitter : http://twitter.com/value_talk
Instagram : Gid_Kitichai
Blog : http://kitichai1.blogspot.com
You Tube : http://www.youtube.com/c/KitichaiTaechangamlert
หรือ 1.หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ทุกวันพุธหน้า B6 ในคอลัมน์ "เขียนอย่างที่คิด"
2.หนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจหน้า 15 เดือนละครั้ง ในคอลัมน์ “จับช่องลงทุน”
3.วารสารเภตรา ของสมาคมศิษย์เก่าคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี และ จุลสารเตชะสาร ของสมาคมเตชะสัมพันธ์ ทุกไตรมาส
ขายดาวน์ ไนท์ บริดจ์ ไพร์ม สาทร Knight
Bridge Prime Sathorn 5 ยูนิต DUPLEX ชั้นสูง
ห้องมุมสุดสวย ซื้อมาในรอบ VVIP เจ้าของขายเอง ราคาพิเศษ
เดิน 8 นาทีจาก BTS ช่องนนทรี
5 Duplex ยูนิตที่จะขายดาวน์
ชั้น 31-38 ขนาด 37-58 ตรม. ทุกยูนิตเป็นห้องมุม วิวสุดยอด ได้โปร Fully
Furnished ราคาเพียง 5.40-7.60 ล้านบาท(ราคา/ตรม.
ประมาณ 130,000 -140,000)
Review : http://thinkofliving.com/2016/09/15/knightsbridge-prime-%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B8%A3/
CALL : 081-8118229
LINE : gid_kitichai
Wechat : gid_kitichai
Knight Bridge Prime Sathorn, 5 best high
floor corner duplex units, 8 minutes walk from BTS
Chongnonsi.
5 Duplex units
on 31st – 38th
fl., 37-58 sqm. All r corner units, superb view, with Fully Furnished, only 5.40-7.60 million baht(130,000 -140,000 Baht/Sqm.)
Review : http://thinkofliving.com/2016/09/15/knightsbridge-prime-%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B8%A3/
CALL : 081-8118229
LINE : gid_kitichai
Wechat : gid_kitichai
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น