Health
care กับ Mega Trend (ตอนจบ)
บทความ 4 ตอนที่ผ่านมาที่ผมพูดเกี่ยวกับธุรกิจ
Health care สวนใหญ่จะเป็นการมองในภาพรวมของทั้งโลก
ส่วนบทความสัปดาห์นี้ผมจะเน้นถึงธุรกิจนี้ที่อยู่ในประเทศไทยครับ ธุรกิจ Health
care ในประเทศไทยมีมาตั้งนานแล้ว ผมขอเริ่มตั้งแต่สมัยที่มีเริ่มตั้งโรงพยาบาลเป็นเรื่องเป็นราวสมัยล้นเกล้ารัชกาลที่
5 ที่พระองค์ได้เล็งเห็นถึงการขาดสถานพยาบาล เพื่อดูแลรักษาพสกนิกรที่เจ็บป่วย
จึงมีพระราชดำริก่อตั้งโรงพยาบาลขึ้นเป็นครั้งแรกในราชอาณาจักรสยาม
แต่ในสมัยนั้นมีจุดประสงค์เพื่อช่วยเหลือประชาขน ไม่ได้หวังค้ากำไร
เนื่องจากเป็นโรงพยาบาลของรัฐ
ต่อมาคนไทยที่มีรายได้สูงเริ่มมีจำนวนมากขึ้น
จึงเริ่มมีธุรกิจโรงพยาบาลเอกชนมาตอบสนองความต้องการในบริการที่ดีขึ้น
ต่อมาเริ่มมีการแตกขยายสาขาเป็น Hospital chain หรือ hospital
network เริ่มมีการนำโรงพยาบาลเอกชนเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์มากขึ้น
จนปัจจุบันมีมากกว่า 10 บริษัทแล้วและยังมีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
โดยมี บริษัทกรุงเทพดุสิตเวชการ (BDMS) เป็น Chain ที่ใหญ่ที่สุด มี Market cap มากถึง 350,000 ล้านบาทเลยทีเดียว จนทำให้กลุ่มการแพทย์ ซึ่งเมื่อย้อนหลังไป 10 ปีที่แล้ว กลุ่มนี้นับว่าเป็นกลุ่มที่เล็ก Market cap ทั้งกลุ่มมีมูลค่าน้อยมากเมื่อเทียบกับ Market cap รวมของตลาด
ต่อมาหลังจากเริ่มได้รับความนิยมจากนักลงทุน ทำให้กลุ่มการแพทย์มี P/E ที่สูงขึ้น จนถึงปัจจุบันเฉลี่ยประมาณ 30-40 กว่าเท่า
เนื่องจากช่วงที่ผ่านมาอัตราการเจริญเติบโตของรายได้และกำไรค่อนข้างสูง
ประเทศไทยเรายังมีจำนวนบุคลากรทางการแพทย์ รวมทั้งสถานพยาบาลค่อนข้างน้อย
ยิ่งต่างจังหวัดแล้วยิ่งน้อยใหญ่ ทำให้โอกาสของธุรกิจนี้ยังมีอีกมากมาย
นี่ยังไม่รวมผลกระทบจาก
AEC ซึ่งทำให้ Hospital chain ของไทยไม่ว่าจะเป็น
Chain ใหญ่หรือเล็ก
มีโอกาสสอดแทรกเข้าไปตั้งคลีนิคหรือโรงพยาบาลที่ประเทศในกลุ่ม ASEAN โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศ CLMV (Cambodia, Laos,
Myanmar, และ Vietnam) ซึ่งยังขาดแคลนโรงพยาบาลชั้นนำอย่างมาก
นอกจากการไปตั้งสถานพยาบาลในประเทศเหล่านี้แล้ว ยังสามารถที่จะรับบริหารจัดการโรงพยาบาลอื่นๆ
โดยรับรู้เป็นค่าจ้างบริหารจัดการ อย่างเช่น ที่กลุ่ม IHH ของมาเลเซียทำอยู่ในหลายๆ
ประเทศ ทำให้บริษัทมีโอกาสได้เรียนรู้ตลาดในประเทศนั้นๆ
ว่ามีความต้องการบริการในรูปแบบไหน และประเภทของโรคภัยไข้เจ็บ ทำให้สามารถตั้งเป็นศูนย์รักษาโรคเฉพาะทางได้อีกด้วย
ซึ่งการรับบริหารเป็นหนึ่งในนโยบาย Asset light ทำให้กลุ่มโรงพยาบาลที่รับบริหารไม่ต้องลงทุนมากมายเหมือนการลงทุนแบบ
Green field ที่ใช้การลงทุนที่มากและต้องใช้เวลาในการก่อสร้างโรงพยาบาล
หรืออาจจะเข้าไป Takeover โรงพยาบาลทั้งในต่างจังหวัด
และโรงพยาบาลในกลุ่ม ASEAN ด้วยกัน
ยิ่งเครือข่ายที่ใหญ่มากขึ้นเท่าไร Economy of scale ก็จะมากขึ้นเท่านั้น
อำนาจในการต่อรองทางธุรกิจไม่ว่าจะเป็นการสั่งอุปกรณ์ทางการแพทย์
ยาและเวชภัณฑ์ต่างๆ
ผมยังสงสัยว่าทำไมกลุ่มโรงพยาบาลต่างๆ
ไม่เข้ามาสนับสนุนสถานศึกษาต่างๆ
ให้สามารถรับนิสิตนักศึกษาเข้ามาเรียนได้เพิ่มจำนวนมากขึ้น
และให้ทุนการศึกษาแก่นิสิตนักศึกษาที่เรียนดี
โดยอาจจะมีข้อผูกพันว่าจะต้องมาทำงานใช้ทุนที่โรงพยาบาลที่ให้ทุนการศึกษาต่อจากการใช้ทุนของรัฐ
คิดแล้วโรงพยาบาลเอกชนที่ให้ทุนน่าจะได้ประโยชน์
เพราะว่าบุคลากรทางการแพทย์นี้จบใหม่เหล่านี้ ในช่วงการใช้ทุนของรัฐ
ก็เปรียบเสมือนได้ฝึกงานไปในตัว พอเริ่มทำงานใช้ทุนให้กับโรงพยาบาลเอกชน
ก็จะมีประสบการณ์มากขึ้นแล้ว ซึ่งจะมีส่วนทำให้สถาบันการศึกษาต่างๆสามารถรับนิสิตนักศึกษาที่จะมาศึกษาคณะที่เกี่ยวข้องกับการรักษาพยาบาลไม่ว่าจะเป็น
คณะแพทยศาสตร์ คณะทันตศาสตร์ คณะเทคนิคการแพทย์ คณะพยาบาลศาสตร์ เป็นต้น
ซึ่งจะมีส่วนช่วยทำให้อัตราส่วนของจำนวนบุคลากรทางการแพทย์เมื่อเทียบกับจำนวนประชากรไทยทั้งหมดสูงขึ้น
ทำให้โอกาสที่คนไทยจะเข้ารับการรักษาพยาบาลได้มากขึ้น
ยิ่งไปกว่านั้นจากการที่ปัจจุบันประเทศไทยเราเป็นฮับทางการแพทย์ของเอเชีย
ซึ่งเรามีจุดที่ได้เปรียบคือค่ารักษาพยาบาลยังถูกกว่าประเทศที่พัฒนาแล้ว
ประเทศไทยเรายังได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่มีการให้บริการแบบประทับใจ
ซึ่งเกิดจากพื้นฐานของนิสัยใจคอของคนไทยเรานั่นเอง
ผมอยากให้ BDMS
เป็นผู้ริเริ่มโครงการนี้ ปัจจุบัน BDMS มีโรงพยาบาลในเครือเกือบ
50 แห่งแล้ว ยังตั้งเป้าหมายจะเพิ่มอีกหลายแห่งในอนาคต นับว่ามีโรงพยาบาลในเครือมากที่สุดในประเทศไทย
และเห็นว่ากำลังจะทำโครงการเวลเนสเซ็นเตอร์บนที่ดินผืนใหญ่ ที่เคยเป็นที่ตั้งของโรงแรมปาร์คนายเลิศในอดีต
คงจะต้องการใช้บุคลากรทางการแพทย์เพิ่มขึ้นอีกเป็นจำนวนมาก รีบๆ ทำเถอะครับ เพราะว่าโครงการดีๆ
แบบนี้ถือเป็น CSR ที่ตรงกับลักษณะธุรกิจและดีมากๆ ครับ ยิ่งถ้าโครงการเหล่านี้สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี
ก็จะเป็นการนำร่องให้กับโรงพยาบาลอื่นๆ เข้ามาร่วมโครงการสนับสนุนทางการศึกษา
ที่เกี่ยวข้องกับการรักษาพยาบาลมากขึ้น ซึ่งจะทำให้ประเทศไทยมีบุคลากรทางการแพทย์มากขึ้น
จากดัชนีชี้วัดความสุขของประเทศไทย ที่รายงานโดย Bloomberg ว่าประเทศไทยเป็นประเทศที่มีความสุขมากที่สุดในโลก
ก็จะทำให้เราครองตำแหน่งนี้ไปได้อีกนาน นานจนคนชาติอื่นจะต้องอิจฉาเรา
กิติชัย เตชะงามเลิศ
18/6/61
อ่าน Health care กับ Mega Trend ตอนที่ 1 ได้ที่ http://kitichai1.blogspot.com/2018/06/health-care-mega-trend-1.html
Health care กับ Mega Trend ตอนที่ 2 ได้ที่ http://kitichai1.blogspot.com/2018/06/health-care-mega-trend-2.html
Health care กับ Mega Trend ตอนที่ 3 ได้ที่ http://kitichai1.blogspot.com/2018/06/health-care-mega-trend-3.html
Health care กับ Mega Trend ตอนที่ 4 ได้ที่ http://kitichai1.blogspot.com/2018/06/health-care-mega-trend-4.html
ถ้าท่านชอบบทความผม ท่านสามารถสมัครสมาชิกโดยกรอกอีเมลของท่าน ในช่องใต้ Follow by Email ทางด้านขวามือ เมื่อมีบทความใหม่ๆ ก็จะมีการส่งอีเมลแจ้งเตือนให้ท่านทราบ เพื่อจะได้ไม่พลาดบทความดีๆกันนะครับ
ติดตามสาระดีๆทั้งไลฟ์สไตล์และการลงทุนได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/VI.Kitichai
Twitter : http://twitter.com/value_talk
Instagram : Gid_Kitichai
Blog : http://kitichai1.blogspot.com
You Tube : http://www.youtube.com/c/KitichaiTaechangamlert
Twitter : http://twitter.com/value_talk
Instagram : Gid_Kitichai
Blog : http://kitichai1.blogspot.com
You Tube : http://www.youtube.com/c/KitichaiTaechangamlert
หรือ 1.หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ทุกวันพุธหน้า B6 ในคอลัมน์ "เขียนอย่างที่คิด"
2.วารสารเภตรา ของสมาคมศิษย์เก่าคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี และ จุลสารเตชะสาร ของสมาคมเตชะสัมพันธ์ ทุกไตรมาส
คอนโดแอสปาย สาธร-ราชพฤกษ์ Aspire
Sathorn-Rajpruek ขายดาวน์ 6 ยูนิตสุดสวย ราคาพิเศษ 1 ก้าวจาก SKY WALK รถไฟฟ้าบางหว้า และรถไฟฟ้า MRT (เป็นสถานี INTERCHANGE)
ห้องที่จะขายดาวน์(คาดว่าจะแล้วเสร็จ พย. 2561) ขนาด 26 ตรม. แบบ STUDIO ห้องหันไปทางทิศใต้
รับลมตลอดทั้งปี ราคา 2,000,000 บาท
ปัจจุบันโครงการขายที่ราคาเริ่มต้น
2.99
ล้านบาทแล้วครับ
Review VDO @ https://youtu.be/Ry9tLa2NOt4
สามารถดาวน์โหลดรูปภาพและวีดีโอทั้งหมดของ
แอสปาย สาธร-ราชพฤกษ์ Aspire Sathorn-Rajpruek ได้ที่ https://www.dropbox.com/sh/4bocn8qjdrhpfdk/AABGsSAcZwp4zZGj4SUPeXQEa?dl=0
Aspire Sathorn-Rajpruek, 1 step
from BTS Bangwah & MRT, the best 6 units for sales.
Down
Payment sales:
Studio
type, 26 sqm., the balcony facing south, only 2 million
baht. Now, the developer's starting price is 2.49 million Baht. Ready to be
transferred in Nov.2018.
U can download photo & VDO from https://www.dropbox.com/sh/4bocn8qjdrhpfdk/AABGsSAcZwp4zZGj4SUPeXQEa?dl=0
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น