จาก1ล้านเป็น500ล้านผมทำอย่างไร

จาก1ล้านเป็น500ล้านผมทำอย่างไร
เล่าประสบการณ์การลงทุนของผมที่นำไปใช้ได้ง่ายๆ

วันพุธที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2557

เกิดอะไรขึ้นกับตลาดหุ้นไทย

เกิดอะไรขึ้นกับตลาดหุ้นไทย


          ปีนี้เปิดมาตลาดหลักทรัพย์ดูไม่สดใส วันแรกที่มีการซื้อขายก็ลงแบบถล่มทลาย เหมือนกับอัดอั้นกันมานาน ลงวันเดียวเกือบ 70 จุด นับว่าเป็นการลงมากสุดภายในวันเดียวในรอบปีเลย พอมาดูว่าใครกันเป็นคนขาย กลับกลายเป็นว่าตัวการคือ สถาบันภายในประเทศ ขณะที่ฝรั่งกลับเป็นฝ่ายซื้อ ตั้งแต่ต้นปีมาจะเห็นได้ว่า สถาบันภายในประเทศเป็นผู้ขายหลัก ในขณะที่ฝรั่งเป็นผู้ซื้อ เรามาดูกันนะครับว่าสาเหตุที่สถาบันขายหุ้น น่าจะมาจากแรงขายของผู้ถือหน่วยลงทุนของกองทุน LTF ที่ถือมาครบ 5 ปีปฏิทิน ซึ่งก็ยังได้กำไรประมาณ 20% ถ้าเขาซื้อหน่วยลงทุนเมื่อปลายปี 2553 รวมทั้งผู้ถือหน่วยลงทุนของกองทุน RMF ที่ถือมาครบ 5 ปี และมีอายุเกิน 55 ปี และผู้ถือหน่วยลงทุนของกองทุนอื่นๆ ที่มีความไม่มั่นใจในสถาการณ์ การเมืองในประเทศที่กำลังร้อนระอุอยู่ และผลกระทบจากเหตุการณ์ Bangkok Shutdown ว่าจะเป็นอย่างไร จนทำให้ราคาหุ้นตกลงมาค่อนข้างมาก ทำให้หุ้นไทยดูมีความน่าลงทุนมากขึ้นในสายตานักลงทุนระยะยาว เมื่อเปรียบเทียบกับตลาดหุ้นของเพื่อนบ้าน กอรปกับค่าเงินบาทที่อ่อนตัวลงมาอย่างรวดเร็วลงไปต่ำกว่า 33 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐแล้วทำให้ต่างชาติใช้เงินดอลลาร์น้อยลงในการแลกเงินบาท บวกกับราคาหุ้นที่ถูกลงมามากแล้ว เมื่อเทียบกับจุดสูงสุดที่เกือบ 1,650 จุดเมื่อเดือนพฤษภาคมปีที่แล้ว นับว่าลงมาประมาณ 445 จุดแล้ว (ถ้าเทียบกับจุดต่ำสุดที่ 1,205.44  จุดเมื่อวันที่ 6 มกราคมที่ผ่านมา) งานนี้ฝรั่งกำไร 2 เด้งจริงๆ ขายไปตอน 1,600 จุดแล้วมารับกลับแถว 1,200 จุด ช่วงที่ขายหุ้นเงินบาทอยู่ที่ประมาณ 30 บาทต่อดอลลาร์ ขณะที่ช่วงที่กลับมาช้อนซื้อเงินบาทอยู่แถว 33 บาท กำไรหุ้นประมาณ 25% +ค่าเงินอีกเกือบ 10% นับว่าเป็นผลตอบแทนที่ช่างน่าอภิรมย์จริงๆ จริงอยู่แม้ฝรั่งทยอยขายลงมาเรื่อยๆ และคงจะทยอยซื้อไปเรื่อยๆ รวมทั้งค่าเงินบาทที่ทยอยอ่อนตัวลงมาตั้งตั้งแต่ไตรมาส 2 ปีที่แล้ว อย่างไรก็ตามคาดว่ากำไรถั่วเฉลี่ยของต่างชาติรอบนี้จากทั้งราคาหุ้นและค่าเงินน่าจะอยู่ที่ 20-25% การ Rebound รอบนี้ อยากให้ท่านนักลงทุนสำนึกไว้ในใจนะครับ เป็นการเด้งขึ้นมาเพราะภาวะ Oversold บวกกับราคาหุ้นบ้านเราดูแล้วถูกกว่าเมื่อเทียบกับหุ้นของตลาดเพื่อนบ้าน ไม่ใช่เพราะว่าพื้นฐานประเทศเราดี อย่าโกหกตัวเองเลยครับ ลองมาดูปัจจัยลบภายในปีนี้ว่ามีอะไรกันบ้าง ผมพยายามทบทวนและรวบรวมความคิดได้เป็นดังนี้ครับ
          1). ความไม่มีเสถียรภาพของการเมืองในประเทศ ซึ่งไม่มีใครสามารถคาดการณ์ได้เลยว่าจะจบอย่างไร จะมีเลือกตั้งไหม จากการพยายามขัดขวางไม่ให้มีการเลือกตั้งของกปปส. ด้วยวิธีการต่างๆ ถ้าสำเร็จผล ไม่สามารถจัดการเลือกตั้งได้ แต่นายกรัฐมนตรีรักษาการไม่ยอมลาออก นั่งเก้าอี้ลากยาวต่อไปเรื่อยๆ จะทำอย่างไร เพราะว่าตามมารยาทนายกรักษาการจะไม่สามารถออกนโยบายใหม่ๆ อะไรได้ คงได้แต่สานนโยบายเดิม และใช้เงินงบประมาณบริหารประเทศไปวันๆ หรือมีการเลือกตั้ง แต่ได้พรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาลเหมือนเดิม การประท้วงของกปปส. ก็คงจะยังดำเนินต่อไป และอาจจะเข้มข้นยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังต้องลุ้นระทึกการตัดสินของปปช. และศาลรัฐธรรมนูญภายในเดือนมกราคม ว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร จะมีผลต่อนายกและรัฐมนตรีท่านอื่นๆ รวมทั้งพรรคเพื่อไทยด้วยว่าจะเป็นอย่างไร ช่วงนี้คนเสื้อแดงก็ยังเงียบๆ อยู่ ยังไม่มีการรวมตัวประท้วงกันเป็นเรื่องเป็นราว ถ้าวันใด 2 กลุ่มนี้ (กปปส.กับคนเสื้อแดง) ปะทะกันจริงๆ อย่างที่หลายโหรทำนาย อะไรจะเกิดขึ้น ทหารจะต้องออกมาหรือไม่ เป็นเหตุการณ์ที่คาดการณ์ได้ยาก แต่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด เพราะจะเป็นปัจจัยสำคัญในการกำหนดชะตากรรมของประเทศ อย่างไรก็ตามผมคิดว่าความวุ่นวายเหล่านี้น่าจะจบภายในไตรมาส 1 ปีนี้
          2). สัดส่วนหนี้ครัวเรือนของไทยเราขึ้นมาที่ระดับเกิน 80% แล้ว ทำให้ความสามารถในการจับจ่ายใช้สอยของประชาชนไม่สามารถจะโตได้มากมายนักและจากนโยบายรถคันแรกเป็นการดึงกำลังซื้อของอนาคตมาใช้ไปตั้งแต่ปีที่แล้ว โดยเฉพาะกลุ่มที่ใช้สินเชื่อเช่าซื้อรถด้วยแล้ว ต้องมืภาระผ่อนอีกหลายปีจะดึงกำลังซื้อของกลุ่มคนนี้ไป คงได้แต่หวังว่าเศรษฐกิจโลกปีนี้จะเริ่มฟื้นตัวอย่างจริงจัง โดยตัวเลขเศรษฐกิจทางฝั่งสหรัฐก็ดูดีขึ้นเรื่อยๆ เศรษฐกิจของกลุ่มประเทศ EU ก็เริ่มฟื้นตัว จีนก็น่าจะเติบโตในระดับใกล้เคียงกับปีที่แล้ว น่าจะทำให้กลุ่มส่งออกของเราดีขึ้น ยิ่งค่าเงินบาทที่อ่อนตัวลงประมาณ 10% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว น่าจะทำให้สินค้าไทยดูมีราคาถูกลง อย่างไรก็ตามค่าเงินของประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียน ซึ่งเป็นคู่แข่งทางการค้าของเราในสินค้าบางประเภทก็อ่อนตัวลงเช่นกัน โดยเฉพาะอินโดนีเซียที่ค่าเงินรูเปียะห์อ่อนค่าลงค่อนข้างมาก
          3). การปรับประมาณการกำไรของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ของนักวิเคราะห์ทั้งหลาย น่าจะปรับลงจากครั้งก่อน ซึ่งจะทำให้ต้องมีการปรับราคาเป้าหมายของหุ้นแต่ละตัว โดยปกติยิ่งมีการเติบโตของกำไรยิ่งสูงค่าตัวคูณ P/E ที่นักวิเคราะห์ให้กับหุ้นนั้นๆ ก็จะสูง ในทางกลับกันถ้ามีอัตราเติบโตของกำไรในระดับต่ำ ค่า P/E ที่ให้ก็จะยิ่งต่ำลง ทำให้ราคาเป้าหมายของหุ้นจะแตกต่างกันยิ่งมาก ถ้าอัตราการเติบโตต่างกันมาก
          4). พรบ. 2 ล้านล้านบาทที่ตกไปและการที่รัฐบาลรักษาการซึ่งเปรียบเสมือนกับเป็ดง่อย จะทำให้ไม่มีเงินหรือนโยบายที่จะมากระตุ้นเศรษฐกิจ โอกาสที่เศรษฐกิจไทยจะโตเกิน 4% ในปีนี้คงไม่ใช่เรื่องง่าย คงต้องหวังภาคส่งออกเป็นหลักส่วนภาคท่องเที่ยวปีที่แล้วเป็นปีทองปีหนึ่ง แต่ปีนี้ไตรมาส 1 ซึ่งเป็นช่วง High Season คงได้รับผลกระทบจากการประท้วงแน่ๆ ที่เห็นชัดๆ คือ การยกเลิกทัวร์ของกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวจีน
          เนื้อที่หมดแล้ว เอาไว้คุยต่อในวันพุธหน้าและผมจะพูดถึงธุรกิจเด่นและดับในปี 2557 ในสายตาผมครับ

กิติชัย เตชะงามเลิศ
                                                                                          07/01/57
หนังสือ "จาก 1 ล้านเป็น 500 ล้าน ผมทำอย่างไร" ยอดขายขื้นอันดับหนื่งตั้งแต่วันแรกจำหน่ายและครองอันดับ 1 ติดต่อกันมานาน

ติดตามแนวทางการลงทุนของผมได้ที่ 
Facebook : https://www.facebook.com/VI.Kitichai
Twitter : http://twitter.com/value_talk 
Youtube : http://www.youtube.com/user/wittayu9
Blog :  http://kitichai1.blogspot.com
Instagram : Gid_Kitichai

หรือหนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ทุกวันพุธหน้า B6 หรือหน้า B10 และนิตยสารคนรวยหุัน, Condo Guide, Stock Review, Me(Market Evolution), Glow และ Lisa  ทุกเดือน
     

สนใจซื้ออสังหาเพื่ออยู่เองหรือเพื่อการลงทุน ลองเข้า http://www.pantipmarket.com/mall/homeproperty

 ขาย คอนโด วิช สามย่าน เดิน 2 นาที จาก รถไฟใต้ดิน สถานี สามย่าน ราคาต่ำกว่าโครงการสุด ๆ 2 ห้อง(ชั้น19) ราคา 4.2 ล้าน
                

   โครงการนี้มี 25 ชั้น มีจำนวนห้องทั้งหมด ประมาณ 500 ยูนิตถนนสี่พระยา บางรัก ห่างจาก สถานี รถไฟใต้ดิน  สามย่าน ประมาณ 100 เมตร ใกล้ อาคารจามจุรีสแควร์ ตลาดสามย่าน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เตรียมอุดมศึกษา สาธิตจุฬา อาคารชาญอิสระ โรงพยาบาลจุฬาฯ สวนลุมพินี ฯลฯ  มีสวนลอยฟ้า สระว่ายน้ำพร้อมสระเด็ก และห้องออกกำลังกาย ที่ชั้น 19    
การเดินทางโดยทางด่วน
ขึ้นลง ทางด่วนสามย่าน – หัวลำโพง
ขึ้นลง ทางด่วนเชื้อเพลิง – พระรามสี่
ขึ้นลง ทางด่วนสุรวงศ์ – สีลม
      การเดินทางโดยรถประจำทาง สายที่ผ่าน คือ 1 , 16 ,36 , 45 , 75, 93 และ 187

   ห้องที่จะขายอยู่ชั้น 19
1.ห้อง  18/112  ชั้น 19   พื้นที่ 36.51 ตรม. ราคา 4,200,000 บาท ชั้นนี้ มีสวนลอยฟ้า     ให้เช่าห้อง 22,000 บาท/เดือน
2.ห้อง  18/113  ชั้น 19   พื้นที่ 36.51 ตรม. ราคา 4,200,000 บาท ชั้นนี้ มีสวนลอยฟ้า     ให้เช่าห้อง 22,000 บาท/เดือน

  โปรโมชั่นพิเศษ  เข้าอยู่ได้เลย ฟรีค่าใช้จ่ายทุกรายการ พร้อมของแถมเพียบ
- ฟรีเงินกองทุนคอนโด มูลค่าเกือบ 20,000 บาท
- ฟรีเงินค่าส่วนกลางล่วงหน้าถึง 31 ธค. 56 มูลค่าเกือบ 20,000 บาท
- ฟรีเงินค่ามิเตอร์น้ำ/ไฟ มูลค่า 3,250 บาท

พิเศษสุด!!! สำหรับท่านผู้สนใจที่ตัดสินใจภายในวันที่ 31/1/56 แถมเครื่องใช้ไฟฟ้า ชิ้น ได้แก่ โทรทัศน์ Samsung smart TV จอ L.E.D. 3มิติรุ่นล่าสุด 40 นิ้ว เครื่อง  เครื่องทำน้ำอุ่น เครื่อง ไมโครเวฟ เครื่อง มูลค่าเกือบ 40,000 บาท

หมายเหตุ ทุกห้องของผมวิวดี ไม่มีตึกบัง
ดู VDO ที่ผมถ่ายภายในห้อง ที่ http://youtu.be/Y9j1a7pm-xk
สาเหตุที่ท่านควรจะซื้อคอนโดวิช@สามย่าน
1. ที่ดินย่านนี้ส่วนใหญ่จะเป็นที่เซ้ง แต่ของโครงการวิช@สามย่าน เป็นที่ซื้อขาด เพราะฉะนั้น ท่านจะได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินที่ตั้งคอนโดนี้
2. สำนักงานใหญ่ของดีแทคย้ายมาที่อาคารจามจุรีสแควร์ทั้งหมด (อาคารจามจุรีสแควร์เป็นที่เซ้ง ของจุฬาฯ)
3. อาคารพาณิชย์บริเวณตลาดสดสามย่านเก่า ทางจุฬาฯ ได้ทยอยทุบทิ้ง เพื่อจะพัฒนาปรับปรุงเป็นคอมเพล็กซ์ ซึ่งจะทำให้บริเวณสามย่านนี้มีความเจริญมากขึ้น**
4. มีลูกค้าแน่นอนคือ ผู้ปกครองของนักเรียนโรงเรียนเตรียมอุดม สาธิตจุฬาและนิสิตจุฬา รวมทั้งข้าราชการและครูอาจารย์
5. ศูนย์ข้าราชการ กทม. บางส่วนจะย้ายมาอยู่ที่บริเวณถนนบรรทัดทอง ซึ่งอยู่ใกล้กับสามย่านมาก****
6.การขยายครอบครัวของคนเยาวราช
7. โครงการสวนลุมไนท์บาซ่าร์ ที่เซ็นทรัลประมูลได้คาดว่าจะเริ่มพัฒนาโครงการในปี 2556
8.ห่างจากสถานีรถไฟใต้ดินสามย่านเพียงแค่เดิน 3 นาที และเดิน 10 นาทีก็ถึงสวนลุมแล้ว
9. ทาง กทม. กับรัฐบาลชุดปัจจุบันมีโครงการที่จะทำรถไฟฟ้าโมโนเรลล์ จากสยาม – มาบุญครอง  ผ่านหน้าบริเวณมหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณ์ ไปถึงบริเวณสามย่านแล้ว อ้อมไปถึงถนน  อังรีดูนังค์
10. ความต้องการที่พักอาศัยในย่านนี้จะมีมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น คนทำงานย่านสีลม สุรวงค์ ซึ่งบริเวณนี้แทบไม่มีโครงการใหม่เกิดขึ้น
****กทม.จับมือจุฬาฯ พัฒนาที่ดินสามย่าน ผุดสวนสาธารณะ 10 ไร่ ในพื้นที่ พร้อมศึกษาสร้างระบบเชื่อมรถไฟฟ้าสายสีลม ถ.พระราม และรถไฟฟ้าใต้ดิน ถ.พระราม 4

นายธีระชน มโนมัยพิบูลย์ รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) เปิดเผยว่า สัปดาห์ที่ผ่านมา สำนักงานจัดการทรัพย์สินจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้หารือร่วมกับ กทม.ในการพัฒนาพื้นที่บริเวณสามย่าน จำนวน 350 ไร่ หลังจากหมดสัญญากับบรรดาร้านอะไหล่รถยนต์หรือเซียงกงแล้ว โดยเบื้องต้นได้มีการตั้งคณะทำงานร่วมกัน ระหว่างสำนักงานจัดการทรัพย์สินจุฬาฯ และ กทม.เพื่อร่วมกำหนดแผนในการปรับปรุงพื้นที่ร่วมกันตามแผนแม่บทระหว่างภาครัฐ กับเอกชน
ทั้งนี้ ทางจุฬาฯ มีนโยบายที่จะมอบพื้นที่บางส่วนเพื่อให้ กทม.ร่วมใช้ประโยชน์ โดย กทม.จะใช้พื้นที่ ไร่ที่อยู่ระหว่างถนนบรรทัดทองและซอยจุฬาฯ ในการสร้างศูนย์ราชการของเขตปทุมวัน แบ่งเป็น สำนักงานเขต ศูนย์อนามัย สถานีดับเพลิง และศูนย์เยาวชน และในพื้นที่ว่างบริเวณซอยจุฬาฯ จำนวน 10 ไร่ จะทำการสร้างสวนสาธารณะเพื่อเป็นการปรับปรุงภูมิทัศน์ที่ดีขึ้น
นาย ธีระชน กล่าวว่า นอกจากนี้สำนักการโยธา(สนย.) จะมีการขยายถนนในพื้นที่ เส้น คือ ถนนบรรทัดทอง จากเดิมกว้าง 16 เมตร จะขยายเป็น 30 เมตร และซอยจุฬาฯ เดิมกว้าง 15 เมตรให้เป็น 20 เมตร เพื่ออำนวยความสะดวกในการเดินทาง ระหว่างถนนพระราม กับพระราม ซึ่งในส่วนของการก่อสร้างที่เกี่ยวข้องกับ กทม.ทั้งหมด กทม.จะลงทุนก่อสร้างเอง ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาว่าจะใช้งบประมาณเท่าไหร่ นอกจากนี้ ในส่วนของการอำนวยความสะดวกในการใช้พื้นที่นั้น จุฬาฯ ได้มีนโยบายให้ กทม.สามารถเข้ามาใช้ประโยชน์ในพื้นที่หน้า ฮาร์ดร็อค คาเฟ่ และลานหน้าจามจุรี สแควร์ ได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใด ๆ
ที่มา : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ (30 สิงหาคม 2552)

กทม.ร่วมมือจุฬาฯ โครงการโมโนเรล พญาไท ยาว 2.5 กิโลเมตร มั่นใจผู้ใช้บริการหลักหมื่น จาก สถานศึกษา
นายธีระชน มโนมัยพิบูลย์ รองผูว่าฯ กทม.เปิดเผยว่า หลังจากที่ได้ร่วมกับ รศ.น.อ.นพ.เพิ่มยศ โกศลพันธุ์ รองอธิการบดี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ฝ่ายจัดการทรัพย์สิน และผู้ที่เกี่ยวข้อง เช่น รศ.มานพ พงศทัต รศ.ประพันธ์พงศ์ เวชชาชีวะ ถึงความคืบหน้าการดำเนินโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าโมโนเรล (Monorail) หรือระบบรถไฟฟ้ารางเดี่ยวได้ข้อสรุปเบื้องต้นว่า ที่ ประชุมเห็นพ้องที่จะดำเนินโครงการก่อสร้างระบบรถไฟฟ้าโมโนเรลนำร่องสายแรกบน ถนนพญาไท ตั้งแต่อาคารจามจุรีสแควร์ ซึ่งเป็นจุดเชื่อมต่อกับรถไฟฟ้าใต้ดิน เป็นแนวยาวบนเกาะกลางถนนของถนนพญาไทมาบรรจบกับสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสสยาม สแควร์ รวมระยะทางทั้งสิ้น 2.5 กิโลเมตร มีจำนวน สถานี ได้แก่ สถานี CU1 จามจุรีสแควร์ CU2 เตรียมอุดมศึกษา และ CU3 สยามสแควร์
โดยจะนำต้นแบบจากการศึกษาดูงานจากเซ็นโตซาโมโนเรล ที่ข้ามไปเกาะเซ็นโตซา มีสีโบกี้รถเป็นสีลูกกวาด ตู้ สี โดย กทม.จะนำมาปรับให้เหมาะสมกับพื้นที่ แต่คาดว่าไม่น่าจะมีปัญหา เพราะเส้นทางที่ผ่านเป็นสถานศึกษา
ทั้งนี้ คาดว่าจะใช้งบประมาณในการก่อสร้าง กว่า 2,000 ล้านบาท โดยจะเป็นการของบจากโครงการไทยเข้มแข็ง ซึ่งผู้ว่าฯ กทม.ก็เห็นชอบในเรื่องนี้ และได้มอบหมายให้บริษัทที่ปรึกษาไปหารายละเอียดที่เกี่ยวข้องทั้งหมด เช่น จำนวนผู้โดยสารที่จะเข้าระบบ ซึ่งตนคิดว่าจะมีไม่ต่ำกว่าหมื่นคน เนื่องจากมีสถานศึกษาหลายแห่ง ทั้งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โรงเรียนสาธิตแห่งจุฬาฯ โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยศรีนครรินทรวิโรฒ ปทุมวัน
นายธีระชนกล่าวต่อว่า ในระหว่างนี้ ทางจุฬาฯ ศึกษาดูบริเวณใดเหมาะสมที่จะก่อสร้างเป็นศูนย์ซ่อมบำรุง (Depot) ส่วนเส้นทางถนนบรรทัดทอง และถนนอังรีดูนังต์นั้น คาดว่าจะเป็นเฟสที่ สำหรับการก่อสร้าง
ที่มา : ASTVผู้จัดการออนไลน์ ธันวาคม 2552


**โครงการจามจุรี สแควร์ ตามที่จุฬาฯ ศึกษาไว้เดิม ได้วางรูปแบบการพัฒนาโครงการเป็นรูปแบบมิกซ์ยูส (ผสม) ลักษณะเป็นกลุ่มอาคารเชื่อมต่อถึงกัน มีพื้นที่รวม 1.85-2.2 แสนตารางเมตร ประกอบด้วยพื้นที่โรงแรม 1-1.5 หมื่น ตารางเมตร ศูนย์การประชุม 1,000-2,000 ตารางเมตร ศูนย์การค้า 2.5-3 หมื่นตารางเมตร พื้นที่สำนักงาน 4-5.5 หมื่นตารางเมตร พิพิธภัณฑ์ 1,000-3,000 ตารางเมตร เซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ 1-1.5 หมื่นตารางเมตร และที่จอดรถอีกประมาณ แสนตารางเมตร


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น