จาก1ล้านเป็น500ล้านผมทำอย่างไร

จาก1ล้านเป็น500ล้านผมทำอย่างไร
เล่าประสบการณ์การลงทุนของผมที่นำไปใช้ได้ง่ายๆ

วันพุธที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2558

มหาวิปโยคของชาติไทย (ตอนที่ 2)



มหาวิปโยคของชาติไทย (ตอนที่ 2)

               บทความที่แล้ว ผมจบลงตรงที่ผมตัดใจขายหุ้นในราคาที่ต่ำติดดิน และขายทรัพย์สินที่ไม่จำเป็นและไม่ก่อให้เกิดรายได้ทั้งหมดจนผมเป็นไท ปลดหนี้ปลดสินจนหมด และยังเหลือเงินไว้จำนวนหนึ่ง เอาไว้จับจ่ายใช้สอย เพราะว่าช่วงนี้ผมเป็นนักลงทุนอิสระ ไม่มีธุรกิจหรือร้านค้า จึงแทบจะไม่มีรายได้เลย นี่ก็เป็นตัวอย่างหนึ่งอันน่าสะพรึงกลัวของคนรุ่นใหม่ที่อยากจะเป็นนักลงทุนอิสระแบบผม เพราะว่าในยามที่เศรษฐกิจดี ลงทุนอะไรก้ได้ผลตอบแทนที่ดี คุณก็สามารถอยู่ได้อย่างสุขสบาย แต่ยามที่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจแบบรุนแรง สินทรัพย์ที่คุณลงทุนเสื่อมมูลค่าลง ไม่ว่าจะเป็นหุ้นหรืออสังหาริมทรัพย์ ราคาตกลงกันถ้วนหน้า แต่อสังหาริมทรัพย์อาจจะตกน้อยกว่าหุ้น แต่สภาพคล่องในการซื้อขายยามนั้น ก็ทำให้อยากจะขายก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลย นอกเสียจากคุณจะยอมลดราคาขายลงถูกมากๆถึงจะขายได้ และยิ่งถ้าคุณเป็นนักลงทุนที่ลงทุนแบบ AGGRESSIVE แบบผม ยิ่งจะตกที่นั่งลำบาก ไหนเลยจะขาดทุนจากสินทรัพย์ที่ราคาตกลงมาก ไหนจะต้องส่งดอกเบี้ยให้กับสถาบันการเงิน เรื่องร้ายๆจะทับถมทวีคูณใส่คุณจนคุณอาจจะต้องล้มหมอนนอนเสื่อ หรือบางรายอาจจะคิดสั้น ฆ่าตัวตายเลยทีเดียว อย่างในคราววิกฤตต้มยำกุ้ง ก็มีหลายรายที่ปลิดชีพตนเองและหรือครอบครัวเพื่อจบปัญหา ผมจึงตั้งใจเขียนบทความนี้ไว้เตือนใจเด็กรุ่นใหม่ที่ความใฝ่ฝันว่าทำงานไม่กี่ปีก็อยากจะเป็นนักลงทุนอิสระไม่ต้องทำงานไปจนถึงอายุ 60 ปี คุณไม่รู้หรอกว่า นักลงทุนอิสระในปัจจุบันเขาผ่านพ้นวิกฤตต่างๆมาอย่างไร และมีกี่คนที่วิ่งถึงเส้นชัย ซึ่งผมบอกคุณได้เลยว่าที่วิ่งถึงเส้นชัยคิดเป็นเปอร์เซ็นต์มีน้อยมากเมื่อเทียบกับคนที่วิ่งไม่ถึงเส้นชัย
               กลับมาที่กีฬาสีของบ้านเรา ทำให้นักลงทุนต่างชาติที่คิดจะเข้ามาลงทุนในประเทศไทยในรูป FDI (FOREIGN DIRECT INVESTMENT) ก็ชะงัก รอดูสถานการณ์ของเมืองไทยไปก่อน บางรายก็หันไปลงทุนในประเทศเพื่อนบ้านของเราแทน หรือธุรกิจต่างชาติที่ลงทุนอยู่แล้วก็หยุดกิจการ เพราะว่า ไม่เชื่อในสถานการณ์ของประเทศไทย บางรายถึงกับย้ายขบวนการผลิตออกไปยังประเทศเพื่อนบ้าน เช่น SAMSUNG ,LG ซึ่งย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศเวียดนามแทน กระทั่งกิจการของไทยเองก็ยังไปลงทุนในประเทศเพื่อนบ้านมากมายไม่ว่าจะเป็นกลุ่มปูนซีเมนต์ไทย ปตท. เป็นต้น ดูแล้วเวียดนามได้รับส้มหล่นจากสถานการณ์ของประเทศไทยเป็นอย่างมาก จากค่าแรงที่ถูกกว่าไทยเราครึ่งหนึ่ง จำนวนประชากรที่มากกว่าเราถึง 30% และฐานประชากรเป็นคนหนุ่มสาวที่ชอบใช้จ่าย ขณะที่ไทยเราได้เข้าสู่สังคมผู้สูงอายุมาหลายปีแล้ว เรามีคนไทยที่อายุมากกว่า60ปี เกิน 10% โดยไทยกับสิงคโปร์เป็น 2 ชาติใน ASEAN ที่เข้าสู่สังคมผู้สูงอายุแล้ว แต่เราไม่ต้องไปเป็นห่วงสิงคโปร์ เพราะว่า รายได้ต่อหัว/GDP เขาเป็นอันดับหนึ่งของอาเซี่ยน และปัจจุบันแซงหน้า สหรัฐไปเรียบร้อยแล้ว ทั้งๆที่เมื่อ 30 ปีที่แล้ว เราไม่น้อยหน้าสิงคโปร์เลย ผมเคยคิดเล่นๆว่า ถ้า 40 ปีที่แล้วเอานักการเมืองไทยไปไว้ที่สิงคโปร์แล้วเชิญ พณฯ ลีกวนยู มาอยู่เมืองไทย มาเป็นนายกรัฐมนตรีของไทย ป่านนี้คนไทยคงรวยกันทั้งประเทศ รายได้ต่อหัว/GDP ของคนไทยคงมากเป็น 2 เท่าของคนมาเลเซีย (ปัจจุบัน รายได้ต่อหัว/GDP ของคนไทยเท่ากับครึ่งหนึ่งของคนมาเลเซีย ) ไหนใครเคยบอกว่าการเมืองไม่ส่งผลต่อเศรษฐกิจระยะยาว ลองนึกภาพตามที่ผมสมมติดูกันครับ ยิ่งไปกว่านั้นคนไทยเราไม่ค่อยมีวินัย และไม่มีสำนึกในการอยู่ร่วมกัน ผมจึงเห็นว่าคนไทยเราต้องการผู้นำเผด็จการ แต่หมายเหตุ ตัวเป้งๆว่าต้องเป็นผู้นำที่ดีสไตล์ลีกวนยูมาสร้างกฏระเบียบที่เคร่งครัดให้แก่สังคม ท่านที่เคยไปเที่ยวสิงคโปร์จะเห็นได้ชัดว่าบ้านเมืองเขาสะอาด ร่มรื่น เต็มไปด้วยพื้นที่สีเขียว ผู้คนทีระเบียบวินัย กฏหมายที่นั่นเคร่งครัด ไม่ว่าจะเป็นการถ่มน้ำลายหรือทิ้งขยะในที่สาธารณะ การข้ามถนนตรงทางม้าลาย เมื่อมีสัญญาณไฟให้ข้าม การห้ามเคี้ยวหมากฝรั่งและสูบบุหรี่ในที่สาธารณะ การห้ามนำเข้าหมากฝรั่งไปในราชอาณาจักรสิงคโปร์ ฯลฯ  ด้วยกฏระเบียบที่เคร่งครัดดังกล่าว จึงทำให้บ้านเมืองเขาเป็นระเบียบเรียบร้อย พอมองย้อนกลับมาดูประเทศไทยของเราแล้วอดหดหู่ใจไม่ได้ วัฒนธรรมดีๆของหลายชาติที่เราน่าจะเลียนแบบ เช่น การยืนบนบันไดเลื่อนชิดขวาไปทางเดียวกัน แล้วเหลือที่ว่างด้านซ้าย ให้คนที่เร่งรีบ สามารถเดินผ่านได้สะดวก เป็นต้น ตอนที่เกิดแผ่นดินไหวครั้งรุนแรงที่ญี่ปุ่นคราวที่แล้ว เราเห็นภาพคนญี่ปุ่นยืนต่อคิวยาวเหยียดเพื่อรับสิ่งของบรรเทาสาธารณภัยจากหน่วยงานรัฐอย่างเป็นระเบียบ ลองถ้าเกิดเหตุการณ์นี้ที่เมืองไทย คุณคิดว่าจะเห็นคนไทยยืนต่อคิวแบบคนญี่ปุ่น หรือเหยียบกันตายเพื่อแย่งสิ่งของบรรเทาสาธารณภัยกันครับ
               เนื้อที่หมดแล้ว อ่านต่อในบทความหน้ากันครับ

กิติชัย เตชะงามเลิศ
          02/09/58
อ่าน
มหาวิปโยคของชาติไทย (ตอนที่1) ที่ http://kitichai1.blogspot.com/2015/08/1.html



ติดตามสาระดีๆทั้งไลฟ์สไตล์และการลงทุนได้ที่
 Facebook : https://www.facebook.com/VI.Kitichai
 Twitter : http://twitter.com/value_talk
 Instagram : Gid_Kitichai
 Blog : http://kitichai1.blogspot.com
 You Tube : http://www.youtube.com/user/wittayu9
 Google+ : https://www.google.com/+KitichaiTaechangamlert
 Linkedin : https://www.linkedin.com/in/homeproperty
 Pinterest : http://www.pinterest.com/kitichai/
 หรือ หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ทุกวันพุธหน้า B8หนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ และนิตยสารคนรวยหุัน, Condo Guide, Glow, และ Me(Market Evolution) ทุกเดือน 
ถ้าท่านชอบบทความผม ท่านสามารถสมัครสมาชิกโดยเอาเม้าส์ไปทางด้านขวามือจะมีแถบแสดงออกมา แล้วเลือกคลิกไอคอนที่เขียนว่าสมัครรับข้อมูล เมื่อผมมีบทความใหม่ ท่านก็จะทราบทันที 
หาอสังหาทั้งถูกและดีเพื่ออยู่เองหรือเพื่อการลงทุน ได้ที่ http://www.pantipmarket.com/mall/homeproperty


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น