จาก1ล้านเป็น500ล้านผมทำอย่างไร

จาก1ล้านเป็น500ล้านผมทำอย่างไร
เล่าประสบการณ์การลงทุนของผมที่นำไปใช้ได้ง่ายๆ

วันอาทิตย์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2558

มหาวิปโยคของไทย (ตอนที่ 4)



มหาวิปโยคของไทย (ตอนที่ 4)

            บทความที่แล้วผมค้างไว้ถึงเรื่องโครงการรถคันแรกของรัฐบาลชุดที่แล้ว ซึ่งทำให้ยอดขายรถยนต์ในช่วงนั้นเติบโตขึ้นอย่างมาก เป็นการดึงเอา DEMAND ในอนาคตมาใช้ก่อนโดยโครงการนี้มีต้นทุนทางด้านภาษีที่รัฐบาลต้องสูญเสียไปประมาณ 100,000 ล้านบาท เป็นที่น่าเสียดายอย่างมาก ถ้าเราเอาเงินนี้ไปใช้สร้างรถไฟฟ้าได้ 1 สาย แถมยังมีเงินเหลือนิดหน่อยเสียด้วย ถนนหนทางไม่ว่าจะเป็นกรุงเทพฯหรือต่างจังหวัดมีการสร้างขึ้นน้อยมาก ทั้งๆที่ในปัจจุบันรถก็แน่นถนนกันอยู่แล้ว และผู้จองซื้อรถยนต์เพื่อหวังนโยบายรถคันแรก ส่วนใหญ่ก็ยังไม่ค่อยมีประสบการณ์ในการขับรถ ทำให้มีโอกาสเกิดอุบัติเหตุได้ง่ายขึ้น และเมื่อเกิดอุบัติเหตุบนถนนขึ้น มักจะทำให้รถติดกันเป็นแพเลย ยิ่งถ้าเกิดในช่วง RUSH HOUR และบนถนนที่มีปริมาณรถยนต์อยู่มาก ทำให้หลายๆครั้งดูเหมือนกับว่าถนนหนทางแม้กระทั่งทางด่วนกลายเป็นสถานที่จอดรถไปซะงั้น
            กลุ่มอุตสาหกรรมรถยนต์ในส่วนที่น่าเห็นใจมากที่สุด ก็คือ กลุ่ม SME ที่ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ ได้ขยายกำลังการผลิต มีการสั่งเครื่องจักรใหม่เข้ามา จ้างแรงงานใหม่เพิ่มขึ้นเพื่อรองรับออร์เดอร์ที่จู่ๆก็ไหลเข้ามาอย่างถล่มทลาย แล้วหลังจากหมดโครงการรถคันแรก นรกก็โผล่ ยอดสั่งซื้อชิ้นส่วนเหล่านี้หดตัวลงอย่างมาก ทีนี้ทำไงหล่ะ เงินที่ใช้ขยายกิจการส่วนใหญ่ก็เป็นเงินที่กู้จากธนาคาร หรือสถาบันการเงินต่างๆ ในเมื่อรายได้หดตัวลงอย่างมาก จะหาเงินที่ไหนมาส่งต้นส่งดอกให้กับเจ้าของเงินกู้ บทเรียนครั้งนั้นควรจะจดจำไว้ทั้งรัฐบาลที่จะออกนโยบายประชานิยมอะไรก็ตาม ต้องคำนึงถึงผลกระทบในระยะยาว ไม่ใช่มองแต่ผลลัพธ์ระยะสั้น รวมทั้งภาคเอกชน ก็ต้องมีการวางแผนธุรกิจให้รอบคอบรัดกุมมากกว่านี้ มิฉะนั้นเราจะเห็นเหตุการณ์แบบนี้ซ้ำซาก เพราะว่ารัฐบาลก็อยากจะแสดงผลงานอะไรที่เห็นได้เร็วๆ โดยเฉพาะนโยบายที่จะทำให้รัฐบาลของตนได้รับความนิยมจากประชาชน ส่วนภาคเอกชนก็ต้องเปรียบเทียบความโลภจากรายได้ที่มากขึ้นจากการขยายกิจการในภายภาคหน้ากับความยั่งยืนของออร์เดอร์ในอนาคต ต้องลงทุนอย่างรอบคอบมากขึ้น
            หลังจากนั้น เราก็กลับมาเล่นการเมืองบนท้องถนนกันอีกครา มีการประท้วงกันในย่านใจกลางเมืองหลายจุดไม่ว่าจะเป็นอโศก สีลม ราชประสงค์ รวมทั้งย่านชานเมืองกันอย่างยืดเยื้อ นำโดยกลุ่ม กกปส. โชคดีหน่อยที่คราวนี้ไม่มีการเผาบ้านเผาเมืองเหมือนคราวก่อนหน้านั้นที่มีการเผาห้างเซ็นทรัลเวิลด์ เซ็นเตอร์วัน และมีการเผายางรถยนต์ตามจุดต่างๆทั้งกรุงเทพฯจนมีบางคนเรียกม็อบเผาบ้านเผาเมืองเป็นม็อบคนต่างจังหวัด และม็อบกลุ่ม กปปส.เป็นม็อบคนกรุง โดยดูจากคนส่วนใหญ่ที่เข้าร่วมประท้วงเป็นหลัก ช่วงที่ผมได้ข่าวว่ามีการเผาห้างเซ็นทรัลเวิลด์ ผมแทบไม่เชื่อเลยว่า นี่จะเป็นฝีมือของคนไทยด้วยกัน เพราะผมไม่เคยเชื่อเลยว่าคนไทยเราจะทำลายบ้านทำลายเมืองอันเป็นที่รักของตนได้ขนาดนี้ ในสมัยโบราณก็คนต่างจังหวัดนี่แหละ เช่นชาวบ้านบางระจันที่ช่วยปกป้องประเทศชาติ โดยเสียสละเลือดเนื้อไปตั้งเท่าไหร่ เพื่อปกปักรักษาประเทศชาติของเราจากอริราชศัตรู การแตกสามัคคีในสมัยช่วงเสียกรุงศรีอยุธยา ครั้งที่ 2 ทำให้พม่าบุกเข้ามาทำสงครามและเอาชนะไทยเราได้อย่างง่ายดาย คราวนี้เราไม่ได้รบกับต่างชาติ แต่เรามารบกันเอง ยิ่งเห็น VDO ใน YOUTUBE ที่เห็นถึงผู้นำม็อบบางคนปลุกปั่นให้ผู้คนเผาบ้านเผาเมืองทำให้ผู้เข้าร่วมประท้วงบางคนที่ไม่ได้ไตร่ตรองให้ดี ทำการจุดไฟเผาอย่างที่เราเห็นๆกัน ผมได้แต่ภาวนาว่าต่อจากนี้ไป จะไม่เกิดเหตุการณ์ร้ายแรงแบบนี้ขึ้นอีก ผู้ที่กระทำความผิดทุกคนไม่ว่าจะเป็นผู้ปลุกระดม ผู้ลงมือกระทำ ต้องรับโทษทัณฑ์ตามกระบวนกฏหมาย ไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่าง เพื่อจะได้เข็ดหลาบ และเป็นอุทาหรณ์แก่คนที่คิดจะทำอะไรที่ส่งผลร้ายแก่ชาติบ้านเมืองจะได้ยั้งคิด จากการประท้วงทุกๆครั้ง ทำให้การท่องเที่ยวไทยหยุดชะงักลง จำนวนนักท่องเที่ยวที่เข้ามาเที่ยวไทยก็ลดลงอย่างน่าใจหาย ลองคิดดูสิครับ ถ้าประเทศที่ท่านจะเดินทางไปเที่ยว มีการประท้วงกันเต็มท้องถนน หรือมีการเผาตึกรามบ้านช่องอย่างนี้ ท่านยังจะอยากออกไปเที่ยวประเทศนั้นๆหรือไม่ น่าเสียดายที่อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทยเป็นตัวจักรที่สร้างรายได้ให้แก่ประเทศเป็นอย่างมาก กระทบต่อหลากหลายอุตสาหกรรมทั้งใหญ่และเล็ก ไล่ไปตั้งแต่ ธุรกิจสนามบิน ธุรกิจเติมเชื้อเพลิงให้อากาศยาน โรงแรมทั้งใหญ่และเล็ก รวมทั้ง SERVICE APARTMENT HOSTEL ห้างสรรพสินค้า ร้านค้าต่างๆ ร้านอาหาร ธุรกิจ LOGISTIC ไม่ว่าจะเป็น BTS BMCL รถบัสรับจ้าง คนขับรถ TAXI สามล้อ ฯลฯ รวมไปถึงธุรกิจ SPA โรงพยาบาล ธุรกิจทัวร์ INBOUND มัคคุเทศก์ และอาชีพต่างๆที่พึ่งรายได้จากนักท่องเที่ยว เนื้อที่หมดแล้ว ไว้อ่านต่อในบทความหน้าครับ

กิติชัย เตชะงามเลิศ
         20/09/58
อ่าน
มหาวิปโยคของชาติไทย (ตอนที่1) ที่ http://kitichai1.blogspot.com/2015/08/1.html

      มหาวิปโยคของชาติไทย (ตอนที่2) ที่ http://kitichai1.blogspot.com/2015/09/2.html

        มหาวิปโยคของชาติไทย (ตอนที่3) ที่ http://kitichai1.blogspot.com/2015/09/3.html

MFC ขอเรียนเชิญร่วมกิจกรรมสัมมนา "ผันผวนกันขนาดนี้ ควรจะลงทุนกันอย่างไร " วิทยากรโดย คุณกิติชัย เตชะงามเลิศ ผู้เขียนหนังสือ "ออมจากน้อยเป็นร้อยล้าน" ในวันพุธที่ 23 กันยายน 2558 เวลา 13.00 - 16.00 น. ลงทะเบียนฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย สำรองที่นั่งได้ที่ โทร 0-2649-2000 กด 0 รับจำนวนจำกัด 80 เท่านั้น

 
 


ติดตามสาระดีๆทั้งไลฟ์สไตล์และการลงทุนได้ที่
 Facebook : https://www.facebook.com/VI.Kitichai
 Twitter : http://twitter.com/value_talk
 Instagram : Gid_Kitichai
 Blog : http://kitichai1.blogspot.com
 You Tube : http://www.youtube.com/user/wittayu9
 Google+ : https://www.google.com/+KitichaiTaechangamlert
 Linkedin : https://www.linkedin.com/in/homeproperty
 Pinterest : http://www.pinterest.com/kitichai/
 หรือ หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ทุกวันพุธหน้า B8หนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ และนิตยสารคนรวยหุัน, Condo Guide, Glow, และ Me(Market Evolution) ทุกเดือน 
ถ้าท่านชอบบทความผม ท่านสามารถสมัครสมาชิกโดยเอาเม้าส์ไปทางด้านขวามือจะมีแถบแสดงออกมา แล้วเลือกคลิกไอคอนที่เขียนว่าสมัครรับข้อมูล เมื่อผมมีบทความใหม่ ท่านก็จะทราบทันที 
หาอสังหาทั้งถูกและดีเพื่ออยู่เองหรือเพื่อการลงทุน ได้ที่ http://www.pantipmarket.com/mall/homeproperty



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น