จาก1ล้านเป็น500ล้านผมทำอย่างไร

จาก1ล้านเป็น500ล้านผมทำอย่างไร
เล่าประสบการณ์การลงทุนของผมที่นำไปใช้ได้ง่ายๆ

วันศุกร์ที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

ภาษีสินค้าฟุ่มเฟือยควรลดหรือไม่



ภาษีสินค้าฟุ่มเฟือยควรลดหรือไม่

          คนไทยเป็นชนชาติที่รักการช้อปปิ้ง ติดอันดับต้นๆ ของโลกเลยทีเดียวจากการเปิดเผย การใช้จ่ายต่อวันของนักท่องเที่ยวไทย ไม่ว่าจะเป็นสิงคโปร์ ญี่ปุ่น และยุโรป ปรากฏว่าคนไทยติด TOP5 บ้าง TOP10 บ้าง ไม่รู้ว่าเราควรจะภูมิใจกันดีไหม หรือว่าคนไทยรวยกว่าคนชาติอื่นๆ สินค้าที่คนไทยนิยมไปช้อปปิ้งที่ต่างประเทศ ส่วนใหญ่จะเป็นสินค้าฟุ่มเฟือยไม่ว่าจะเป็น เครื่องสำอาง ซึ่งพักหลังคนไทยนิยมไปซื้อเครื่องสำอางที่เกาหลี มากจนทำให้บรรดาร้านค้าเครื่องสำอางแบรนด์เกาหลีเหล่านี้ ในย่านช้อปปิ้ง เช่นเมียงดอง ต้องจ้างพนักงานคนไทยมาต้อนรับลูกค้าคนไทยกันเลยทีเดียว คงจะเป็นเพราะว่ากระแสภาพยนต์และละครเกาหลี ทำให้คนไทยรับเอาวัฒนธรรมบางอย่างรวมไปถึงเสื้อผ้า หน้า ผม ปัจจุบันถ้าสังเกตให้ดีเวลาเดินตามเคาน์เตอร์เครื่องสำอางตามห้างสรรพสินค้า ก็จะพบแบรนด์เกาหลีมากขึ้น นับดูแล้วก็ร่วม 10 แบรนด์เลยทีเดียว แต่ราคาที่เมืองไทยจะแพงกว่าที่เกาหลีมาก ทำให้สาวไทยบินไปเกาหลีเพื่อซื้อสินค้าเหล่านี้กันมากมาย ทั้งซื้อใช้เอง และซื้อตามลิสต์รายการที่ญาติพี่น้อง เพื่อนฝูงฝากซื้อ
       นอกจากเกาหลีแล้วคนไทยเราเป็นชนชาติที่ซื้อนาฬิกาหรูๆ ติดอันดับของนักท่องเที่ยวที่บินไปยุโรป ไม่ว่าจะเป็นสุภาพบุรุษหรือสุภาพสตรี ในเมืองไทยเอง เวลาห้างสรรพสินค้าจัด Watch Fair ทีไร ยอดขายเป็นหลักร้อยล้าน พันล้านบาททุกที จนปีหนึ่งๆ จากเดิมเคยจัดปีละครั้งกลายเป็นปีละหลายๆ ครั้ง นอกจากนั้นกระเป๋าถือของคุณสุภาพสตรีบางแบรนด์ใบละหลายๆ แสน แล้วต้องเข้าคิวกันซื้อ บางรุ่นถ้าไม่ใช่ลูกค้าเก่าแก่ ลูกค้าชั้นหนึ่งก็ไม่สามารถซื้อได้ เพราะว่าทางร้านเขามีจำกัด เวลาผมเดินผ่านร้านพวกนี้ทีไร อดสงสัยไม่ได้เลยว่าแต่ละร้านก็ออกจะใหญ่โต ทำไมต้องให้ลูกค้าต่อคิวเพื่อจะเข้าไปช้อปปิ้งสินค้าในร้าน จะบอกว่ากลัวจะดูแลลูกค้าไม่ทั่วถึง ก็ยังดูไม่สมเหตุสมผล น่าจะเป็นกลยุทธการตลาด เรียกร้องความสนใจจากคนที่เดินผ่านไปมา ประมาณว่าร้านขายดีจนลูกค้าต้องมาต่อคิวรอกัน อีกคำถามที่คาใจก็คือ ทำไมคนเหล่านี้ยอมที่จะซื้อกระเป๋าใบละเป็นหลักแสนทั้งๆ ที่ดูแล้วต้นทุนเป็นเพียงหลักพันบาทเท่านั้น สร้างผลกำไรให้กับบริษัทที่เป็นเจ้าของแบรนด์สินค้าเหล่านี้มโหฬาร จนกระทั่งมีบริษัทหลักทรัพย์จดทะเบียนกองทุนรวมของไทยบางบริษัท เอากองทุนจากต่างประเทศที่เน้นลงทุนในสินค้า Luxury นี้โดยเฉพาะมาขายให้นักลงทุนไทย
          เกริ่นมาตั้งนานขอเข้าเรื่องสักที ผมไม่เห็นด้วยกับการที่จะลดภาษีสินค้าฟุ่มฟือย เพราะว่าจะทำให้สินค้าฟุ่มเฟือยจากต่างชาติเหล่านี้ถูกลงมาก (ถ้าร้านค้าลดราคาลงเท่ากับภาษีที่ลดลง แต่ผมเกรงว่าร้านเหล่านี้จะลดราคาลงน้อยกว่า ภาษีที่ลดลงซะมากกว่า และเจ้าของแบรนด์ก็คงเพิ่มราคาสินค้าของตน เพื่อทำให้ราคาสินค้าของตนในแต่ละประเทศไม่แตกต่างกันมากนัก) สินค้า Made In Thailand ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า เครื่องสำอาง เครื่องหนัง ฯลฯ ก็จะมีความแตกต่างในด้านราคาลดลง นิสัยคนไทยที่นิยมใช้ของนอกมากกว่าของที่ผลิตในประเทศ ก็จะทำให้บรรดาผู้ผลิตไทยโดยเฉพาะธุรกิจ SME ทั้งหลาย อาจจะต้องลดการผลิตลง จากยอดขายที่ลดลง หรืออาจจะถึงขั้นเลิกกิจการ ถ้าธุรกิจเหล่านั้นไม่สามารถปรับตัวได้ คนก็จะตกงานมากขึ้น ผมคิดว่ามีอีกวิธีหนึ่งที่จะช่วยกระตุ้นการท่องเที่ยวให้ Thailand เป็น Shopping Destiny แข่งกับฮ่องกงและสิงคโปร์ ก็คือ การคืนอากรนำเข้า โดยอาจจะไม่จำเป็นต้องคืน VAT เพราะอากรนำเข้าสินค้าเหล่านี้จะสูงกว่า ภาษี VAT มากพอควร เพราะว่าอากรนำเข้าเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้ราคาสินค้าฟุ่มเฟือยของไทยแพงกว่าประเทศคู่แข่ง โดยให้ร้านค้าแบรนด์เนมเหล่านี้แยกแสดงอากรออกมาในใบเสร็จรับเงิน
        ถ้าทำอย่างที่ผมแนะนำ เชื่อได้เลยว่าจะมีนักท่องเที่ยว เข้ามาท่องเที่ยวในเมืองไทยมากขึ้นเลยทีเดียว จากราคาสินค้าที่ไม่แพงกว่าประเทศคู่แข่ง สินค้าฟุ่มเฟือยเหล่านี้ ก็จะมาเปิดสาขาในไทยมากขึ้น แบรนด์ที่ไม่เคยเปิดร้านที่เมืองไทย ถ้าเห็นคู่แช่งขายดี คงต้องมาเปิดร้านในไทยตามไปด้วย เจ้าของห้างได้เก็บค่าเช่ามากขึ้นจากการที่มีผู้เช่าเพิ่มขึ้นและอาจจะเพิ่มค่าเช่าได้อีกกรณีที่ OCCUPANCY RATE สูงขึ้น ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว ไม่ว่าจะเป็นโรงแรม ร้านอาหาร สปา LOGISTICS โรงพยาบาล ฯลฯ ก็จะพลอยดีขึ้นไปด้วย การจ้างงานก็จะมากขึ้น รัฐบาลได้เก็บภาษี VAT บวกกับภาษีจากกำไรของธุรกิจเหล่านี้มากขึ้น นอกจากนั้นประเทศไทยยังมีทรัพยากรธรรมชาติที่สวยงาม มีวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ สิ่งปลูกสร้างสวยมากมาย นักท่องเที่ยวเข้ามามากขึ้น ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวก็จะดีไปด้วย มีคนมาข่วยจับจ่ายใช้สอยในประเทศมากขึ้น เศรษฐกิจไทยที่ไม่ค่อยดี ก็จะเริ่มเห็นอนาคตที่สดใส ถ้ารัฐทำเช่นนี้ มีบริษัทที่ทำ Duty Free ในประเทศไทยเข้ามาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ผมคงต้องรีบขายหุ้นตัวนี้ทิ้งทันที เพราะว่าอนาคตเริ่มไม่ค่อยจะสดใสเสียแล้ว


กิติชัย เตชะงามเลิศ
        26/2/59



1.หนังสือ "จาก1ล้านเป็น500ล้านผมทำอย่างไร" เล่าประสบการณ์การลงทุนของผมที่นำไปใช้ได้ง่ายๆ
2.หนังสือ "ออมจากน้อยเป็นร้อยล้าน" แนะวิธีออมเงินเพียงเดือนละหลักพัน ก็เป็นเศรษฐี 100 ล้าน ก่อนอายุ 50 ปี!
 
      ติดตามสาระดีๆทั้งไลฟ์สไตล์และการลงทุนได้ที่

 Facebook : https://www.facebook.com/VI.Kitichai
 Twitter : http://twitter.com/value_talk
 Instagram : Gid_Kitichai
 Blog : http://kitichai1.blogspot.com และ http://money.sanook.com/kitichai/
 You Tube : http://www.youtube.com/user/wittayu9
 Google+ : https://www.google.com/+KitichaiTaechangamlert
 Linkedin : https://www.linkedin.com/in/homeproperty
 Pinterest : http://www.pinterest.com/kitichai/
 
     หรือ

1.หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ทุกวันพุธหน้า A10 ในคอลัมน์ "เขียนอย่างที่คิด"   
2.หนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจหน้า 15 เดือนละครั้ง ในคอลัมน์ “จับช่องลงทุน”
3.นิตยสาร Condo Guide ทุกเดือน
4.นิตยสาร คนรวยหุัน  Me(Market Evolution) และ วารสารเภตรา ทุกไตรมาส


         

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น