ธุรกิจที่เชิดหน้าชูตาของประเทศไทย
และสามารถต่อกรกับประเทศอื่นๆบนโลกใบนี้ได้อย่างดีทีเดียว
ก็คือธุรกิจการท่องเที่ยว
จะเห็นได้จากตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติที่มาเยือนประเทศไทย ติดอันดับที่ 9 ของประเทศทั่วโลก โดยปี 2559 มีนักท่องเที่ยวที่เข้ามาในประเทศไทย 32.60 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากปี 2558 ที่ 29.9 ล้านคน เพิ่มขึ้นมา 2.7 ล้านคนหรือคิดเป็น 8.9% (ที่มา : United Nations World Tourism Organization) ตามภาพที่ 1 จะเห็นได้ว่าประเทศที่ติดอันดับ Top
10
เป็นประเทศในทวีปยุโรปถึง 6 ประเทศ( ฝรั่งเศส สเปน อิตาลี สหราชอาณาจักร
และเยอรมันตามลำดับ) ทวีปอเมริกาเหนือ 2
ประเทศ(สหรัฐอเมริกา และเม็กซิโก)
ทวีปเอเชีย 2 ประเทศ(สาธารณรัฐประชาชนจีน และประเทศไทย)
ที่เป็นเช่นนี้น่าจะเป็นเพราะว่าชาวยุโรปและชาวอเมริกา มีรายได้ประชากรต่อหัวสูง
เมื่อเทียบกับคนชาติอื่นๆในทวีปอื่นๆ
และการที่ชาวยุโรปมีประเทศติดกัน การเดินทางสะดวก
และไม่ต้องขอวีซ่าเวลาจะเข้าประเทศ
ในขณะที่ประเทศจีนมีขนาดพื้นที่กว้างใหญ่
มีทรัพยากรการท่องเที่ยวเป็นจำนวนมาก และในกลุ่มประเทศอาเซียนมีประเทศไทยเราประเทศเดียว
ที่ติดอันดับ Top 10 น่าชื่นใจจริงๆ
ภาพที่
1 : จุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวสากลปี
2559 ที่มา :
WIKIPEDIA
ในปัจจุบันบนโลกใบนี้มีประเทศถึง
195 ประเทศโดยที่ 193 ประเทศเป็นสมาชิกสหประชาชาติขณะที่อีก 2 ประเทศยังเป็นแค่เพียง
Non-Member Observer States ซึ่งได้แก่ประเทศ The Holy See และ The State of Palestine
(ที่มา
: http://www.worldometers.info/) สะท้อนให้เห็นถึงความเข้มแข็งของธุรกิจท่องเที่ยวของไทย
นอกจากธุรกิจเหล่านี้จะดำเนินธุรกิจในประเทศไทยแล้วหลายปีที่ผ่านมา
ทั้งไปรับบริหารกิจการโรงแรม และรีสอร์ทต่างๆในหลายประเทศ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มไมเนอร์อินเตอร์ เซ็นทรัล
ดุสิตธานี ๆลๆ ยิ่งไปกว่านั้นยังมีความแข็งแกร่งมาก ถึงขนาดที่ไปเทคโอเวอร์กลุ่มโรงแรมต่างชาติ
อย่างเช่นกลุ่มไมเนอร์อินเตอร์ที่ไปเทคกลุ่มโรงแรม TIVOLI
ในโปรตุเกส และบราซิล เมื่อต้นปี 2558 รวมทั้งโรงแรมในกลุ่มของ Oaks
Hotels and Resorts
เมื่อมาดูจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ ที่มาเข้ามาเที่ยวในเมืองไทยปี ตั้งแต่ ปี 2550 ถึง 2559(ภาพที่ 2) จะเห็นได้ว่ามีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่มขึ้นเกือบทุกปี
ในอัตราที่โตพอสมควร โดยบางปีโตมากกว่า 30% เสียด้วย มีอยู่เพียง 2
ปีที่มีอัตราการเติบโตติดลบ คือปี 2552 ซึ่งในปีนั้นเกิดเหตุการณ์ความไม่สงบทางการเมืองในประเทศไทย
ช่วงเมษายน หรือ สงกรานต์เลือด
เป็นเหตุการณ์การเดินขบวนทางการเมืองในกรุงเทพมหานครและพัทยา
เพื่อขับไล่รัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และมีการสลายการชุมนุมด้วยทหารตามมา
ช่วงที่การประท้วงถึงขีดสุด มีผู้ประท้วงมากถึง 100,000 คน จนรัฐบาลอภิสิทธิ์ต้องประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน และปี 2557
ซึ่งได้เกิดเหตุการณ์รัฐประหาร โดยพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในวันที่ 22 พฤษภาคม ทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวลดฮวบลงอย่างน่าใจหาย
ที่จองโรงแรมไปแล้วก็ขอยกเลิก ทำให้ธุรกิจท่องเที่ยวและธุรกิจต่อเนื่องมีความซบเซา
ซึ่งส่งผลกระทบกับการเติบโตของเศรษฐกิจไทยใน 2 ปีนั้นเป็นอย่างมาก
ภาพที่ 2 : สถิตินักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาไทย
ปี 2550 ถึง 2559
ที่มา : กรมการท่องเที่ยว กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
เมื่อมาชำแหละดูจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ ที่มาเข้ามาเที่ยวในเมืองไทยปี 2553 ถึง 2559(ภาพที่ 3) ถ้านับเป็นรายประเทศ
จะเห็นได้ว่านักท่องเที่ยวจีนเป็นอันดับที่ 1 ซึ่งเริ่มเข้ามาติดอันดับที่
1 ตั้งแต่ปี 2555 แล้วก็ติดอันดับที่หนึ่งมาตลอด
ถ้าดูจำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่เข้ามาเที่ยวประเทศไทย ตั้งแต่ปี 2552 ซึ่งมีจำนวน
777,508 คน จนถึงปีล่าสุดคือปี
2559 มีจำนวน 8,757,466
คน เท่ากับว่าในช่วง 7
ปีที่ผ่านมามีนักท่องเที่ยวจีนเพิ่มขึ้นมาถึง 7,979,958 คน
หรือคิดเป็นการเพิ่มขึ้นมาถึง 1,026.35% ถือว่าเป็นอัตราการเติบโตที่สูงมาก
ในขณะที่นักท่องเที่ยวในประเทศกลุ่มอาเซียน
ถ้าเปรียบเทียบตั้งแต่ปี 2552 ซึ่งมีจำนวน 3,968,579 คน จนถึงปีล่าสุดคือปี 2559 มีจำนวน 8,658,051 คน
เท่ากับว่าในช่วง 7 ปีที่ผ่านมามีนักท่องเที่ยวจีนเพิ่มขึ้นมาถึง 4,689,472 คน
หรือคิดเป็นการเพิ่มขึ้นมาถึง 118.17%
ถือว่าเป็นอัตราการเติบโตที่น่าพอใจเลยทีเดียว
10 อันดับนักท่องเที่ยวต่างชาติ ตั้งแต่ปี 2549 ถึง 2559
* ประเทศในกลุ่มอาเซียน
ภาพที่ 3 : 10 อันดับนักท่องเที่ยวต่างชาติ ตั้งแต่ปี 2549 ถึง 2559
ที่มา : กรมการท่องเที่ยว กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
ยังไม่ทันเข้าเรื่อง
เนื้อที่ก็หมดเสียแล้ว ติดตามอ่านตอนต่อได้ที่ http://kitichai1.blogspot.com/2017/12/blog-post_88.html
กิติชัย เตชะงามเลิศ
ถ้าท่านชอบบทความผม ท่านสามารถสมัครสมาชิกโดยเอาเม้าส์ไปทางด้านขวามือจะมีแถบแสดงออกมา แล้วเลือกคลิกไอคอนที่เขียนว่าสมัครรับข้อมูล เมื่อผมมีบทความใหม่ ท่านก็จะทราบทันที
ติดตามสาระดีๆทั้งไลฟ์สไตล์และการลงทุนได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/VI.Kitichai
Twitter : http://twitter.com/value_talk
Instagram : Gid_Kitichai
Blog : http://kitichai1.blogspot.com
You Tube : http://www.youtube.com/c/KitichaiTaechangamlert
Twitter : http://twitter.com/value_talk
Instagram : Gid_Kitichai
Blog : http://kitichai1.blogspot.com
You Tube : http://www.youtube.com/c/KitichaiTaechangamlert
หรือ 1.หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ทุกวันพุธหน้า B6 ในคอลัมน์ "เขียนอย่างที่คิด"
2.หนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจหน้า 15 เดือนละครั้ง ในคอลัมน์ “จับช่องลงทุน”
3.นิตยสาร Be Link ทุกเดือน
4.นิตยสาร GQ เดือนเว้นเดือน
5.นิตยสาร Me(Market Evolution) วารสารเภตรา ของสมาคมศิษย์เก่าคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี และ จุลสารเตชะสาร ของสมาคมเตชะสัมพันธ์ ทุกไตรมาส
หาอสังหาทั้งถูกและดีเพื่ออยู่เองหรือเพื่อการลงทุน ได้ที่ http://www.pantipmarket.com/mall/homeproperty
แอสปาย สาธร-ราชพฤกษ์ Aspire
Sathorn-Rajpruek ขายดาวน์ 6 ยูนิตสุดสวย เพียง 2 ล้านบาทเท่านั้น 1 ก้าวจาก SKY
WALK รถไฟฟ้าบางหว้า และรถไฟฟ้า MRT (เป็นสถานี
INTERCHANGE)
ห้องที่จะขายดาวน์(คาดว่าจะแล้วเสร็จ กย. 2561) ขนาด 26 ตรม. แบบ STUDIO ห้องหันไปทางทิศใต้
รับลมตลอดทั้งปี ราคา 2,000,000 บาท
CALL : 081-8118229
LINE : gid_kitichai
Wechat : gid_kitichai
Aspire Sathorn-Rajpruek, 1 step
from BTS Bangwah & MRT, only 2 million baht.
Down Payment sales : Studio type, 26
sqm., the balcony facing south, only 2 million baht.
CALL :
081-8118229
LINE :
gid_kitichai
Wechat : gid_kitichai
EMAIL : gid1998@gmail.com
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น